Playto Therapy ให้บริการบำบัดและเยียวยาจิตใจผ่านการเล่นสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

บริการจิตบำบัดผ่านการบูรณาการกิจกรรมการเล่นในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งการเล่นบำบัด (Play Therapy), การเล่นในถาดทราย (Sand Play), การบำบัดด้วยเลโก้ตามวิธีการ LEGO® SERIOUS PLAY®, ศิลปะบำบัด (Art Therapy)

แก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเล่นบำบัด (Play Therapy)❎"เล่นบำบัดก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเล่นของเล่นที่บ้านรึเปล่า?" ✅เป็นค...
10/06/2025

แก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเล่นบำบัด (Play Therapy)

❎"เล่นบำบัดก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเล่นของเล่นที่บ้านรึเปล่า?"
✅เป็นคำถามแรกๆ ที่ครูโบนัสจะต้องตอบอยู่ตลอด แต่หลักๆ ก็คือ การที่เด็กเล่นเองคนเดียว (โดยอาจมีพ่อแม่แค่นั่งอยู่ใกล้) กับการมาเล่นในห้องเล่นบำบัดที่มีนักบำบัดให้ความสนใจกับเด็กแบบ 100% มันต่างกันจริงๆ นะ และเด็กก็รับรู้สิ่งนี้ได้ เพราะเหตุนี้ การเล่นบำบัดจึงไม่แนะนำให้ไปทำที่บ้านเด็กเท่าไร แต่ต้องพาเด็กมาในพื้นที่ที่จัดไว้โดยเฉพาะ เพื่อให้เด็กสามารถเกิดกระบวนการภายในได้อย่างเต็มที่

❎"เดี๋ยวโตขึ้นก็หายเอง ไม่จำเป็นต้องบำบัดหรอก"
✅อันนี้ก็เป็นสิ่งที่หลายคนคิด และสุดท้ายก็รอจนกระทั่งไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยมาปรึกษานักเล่นบำบัด แต่อยากจะบอกว่ายิ่งเราเริ่มบำบัดเร็วเท่าไร ปัญหาก็จะยิ่งคลี่คลายได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่มีไม่ได้หายไปเองตามวัยที่โตขึ้น แต่เด็กแค่รู้จักการเก็บกดมันไว้ข้างในใจต่างหาก และสุดท้ายก็จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่จะระเบิดขึ้นมาตอนไหนก็ได้ และอาจจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ต่อไป (โรคซึมเศร้า, โรควิตกกังวล, บุคลิกภาพผิดปกติ ฯลฯ)

❎"เล่นบำบัดน่าจะมีไว้ให้เด็กที่มีปัญหาหนักๆ ของเราแค่นิดหน่อย ไม่ต้องบำบัดหรอก"
✅ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ปัญหาก็คือปัญหา ถ้าปัญหาเล็ก ก็ใช้เวลาในการบำบัดน้อย แต่ปัญหาใหญ่ก็จะใช้เวลาในการบำบัดมากกว่า คนส่วนใหญ่จะมองข้ามปัญหาในวัยอนุบาลและคิดเองว่าเดี๋ยวก็หาย แต่จากประสบการณ์ของครูโบนัส (และน่าจะนักเล่นบำบัดคนอื่นๆ ด้วย) การบำบัดเด็กในช่วงวัยอนุบาลนี้ เห็นผลลัพธ์ที่ดีได้ชัดเจนที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอให้เป็นปัญหาใหญ่แล้วค่อยมาบำบัดหรอกค่ะ

สำหรับส่วนตัวครูโบนัสเองมีเพิ่มเติมที่ต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองและบุคลากรที่เกี่ยวข้องดังนี้...

❎เล่นบำบัด (Play Therapy) ไม่ใช่ กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy)
✅ทั้งสองอย่างอาจมีส่วนทับซ้อนคือ "การเล่น" แต่เป้าหมายและรูปแบบนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ เล่นบำบัดเป็นไปเพื่อซัพพอร์ตจิตใจ (สมอง) ของเด็ก ในขณะที่กิจกรรมบำบัดเป็นการฝึกให้เด็กเกิดทักษะตามพัฒนาการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

❎เล่นบำบัด เหมาะสำหรับเด็กพิเศษ เท่านั้น
✅อันนี้ก็ย้อนกลับไปข้อเมื่อกี้ คือคนไทยส่วนใหญ่จะสับสนระหว่างการเล่นบำบัดกับกิจกรรมบำบัดและมองว่าเป็นแบบเดียวกัน จึงมุ่งเน้นว่าเด็กที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือพิเศษ คือ เด็กพิเศษเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้มีสาเหตุมาจากการที่ในไทยยังไม่ได้มีหลักสูตร "เล่นบำบัด" ในมหาวิทยาลัย ตอนนี้นักเล่นบำบัดจึงมีแต่ที่ขึ้นทะเบียนกับต่างประเทศเท่านั้น ต่างกับกิจกรรมบำบัดที่มีใบประกอบวิชาชีพและหลักสูตรระดับปริญญาตรีในไทย ทำให้คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับกิจกรรมบำบัดมากกว่า และกิจกรรมบำบัดที่ทำกับเด็กก็ต้องใช้การเล่นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หลายคนก็เลยเอาคำว่า "เล่นบำบัด" ไปใช้เป็นคำกลางๆ ด้วย

ตอนนี้ถ้าส่วนตัวครูโบนัสเลยพยายามปรับใช้คำว่า "เล่นบำบัด" มาเป็น "จิตบำบัดผ่านการเล่น" เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดค่ะ

และอยากจะบอกว่า "จิตบำบัดผ่านการเล่น" นี้ เหมาะสำหรับเด็กๆ ทุกคน เพราะบางครั้งเราก็ต้องเจอกับปัญหา/อุปสรรคที่ยากจะก้าวข้ามผ่านไปได้ การที่เด็กๆ ได้มีพื้นที่ที่ช่วยซัพพอร์ตใจของเขา ก็จะทำให้เขาเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างดีค่ะ

ครูโบนัส / นักจิตบำบัดผ่านการเล่น

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวานนี้เด็กๆ หลายคนได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและจากการรับรู้ความรู้สึกและบรรยากาศจากผู้ใหญ่รอบตัว...
29/03/2025

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวานนี้

เด็กๆ หลายคนได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและจากการรับรู้ความรู้สึกและบรรยากาศจากผู้ใหญ่รอบตัว

บางคนอาจแสดงอาการตื่นตกใจ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ วนไปวนมา นอนหลับฝันร้าย หรือเกาะติด งอแงมากขึ้น

เด็กมักระบายความรู้สึกผ่านการวาดภาพ เล่นบทบาทสมมุติ หรือเล่าเรื่อง แม้จะฟังดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่การเล่นคือวิธีที่ที่เด็กๆ ใช้ในการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง

หากผ่านไปสักระยะแต่เด็กๆ ยังมีอาการหวาดกลัว หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติอยู่อย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือนักเล่นบำบัด เพื่อฟื้นฟูและเยียวยาจิตใจของเด็กๆ ให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมค่ะ

ด้วยรักและห่วงใย
จากเพลย์โต (เล่นบำบัด)

ปล. หากมีความกังวลเกี่ยวกับเด็กๆ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ติดต่อเพลย์โตมาได้ทุกช่องทางนะคะ ครูโบนัสยินดีให้คำปรึกษาฟรีค่ะ 😊

#แผ่นดินไหว #เล่นบำบัด

สนใจติดต่อครูโบนัสได้เลยนะคะ 😊สำหรับคอร์ส Filial Play นี้ เป็นคอร์สสำหรับคุณพ่อคุณแม่คอร์สแรกและคอร์สเดียวในไทยเลยนะคะ ท...
27/03/2025

สนใจติดต่อครูโบนัสได้เลยนะคะ 😊

สำหรับคอร์ส Filial Play นี้ เป็นคอร์สสำหรับคุณพ่อคุณแม่คอร์สแรกและคอร์สเดียวในไทยเลยนะคะ ที่เป็นการลงมือฝึกจริงภายใต้การแนะนำโดยนักเล่นบำบัดอย่างใกล้ชิด ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือน

รับรองว่าคุณพ่อตุณแม่จะได้ปลดล็อกทักษะการเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตแข็งแรง ไปพร้อมๆ กับอาจจะได้ปลดล็อกบางอย่างในใจตัวเองด้วยก็ได้นะคะ

เพราะการเลี้ยงลูกไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีทักษะที่สามารถฝึกกันได้

เพลย์โตสนับสนุนให้ทุกบ้านสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพให้กับโลกใบนี้ค่ะ

#เล่นบำบัด

 #เด็กที่มีสุขภาพจิตดีต้องแฮปปี้ตลอดเวลา... จริงหรือ?ในโลกอุดมคติ พ่อแม่ทุกคนคงอยากให้ลูกมีความสุขเสมอ ไม่อยากเห็นน้ำตาข...
19/02/2025

#เด็กที่มีสุขภาพจิตดีต้องแฮปปี้ตลอดเวลา... จริงหรือ?

ในโลกอุดมคติ พ่อแม่ทุกคนคงอยากให้ลูกมีความสุขเสมอ ไม่อยากเห็นน้ำตาของลูก ไม่อยากให้ลูกต้องผิดหวัง หรือรู้สึกทุกข์ใจกับเรื่องอะไรเลย
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง... ไม่มีใครที่มีความสุขตลอด 24/7 แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเราเองก็ยังมีวันที่เฟลสุด ๆ แล้วทำไมเด็ก ๆ จะไม่มีสิทธิ์รู้สึกเศร้าหรือหงุดหงิดบ้างล่ะ?
ปัญหาใหญ่คือ เรามักเข้าใจกันว่า “เด็กที่มีสุขภาพจิตดี” ต้องเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงเสมอ
แต่จริง ๆ แล้วเด็กที่มีสุขภาพจิตดี คือเด็กที่สามารถรับรู้และจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้อย่างเหมาะสม "ไม่ใช่เด็กที่ไม่มีอารมณ์เชิงลบเลย"

--------
#อารมณ์กับร่างกาย: แยกกันไม่ได้!
เคยรู้สึกไหมว่า เวลาตื่นเต้นมาก ๆ หัวใจเต้นแรง มือเย็น หรือเวลาหงุดหงิดรู้สึกเหมือนมีแรงกดที่หน้าอก?
นั่นเป็นเพราะอารมณ์ไม่ได้อยู่แค่ในสมอง แต่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรง!
มีงานวิจัยจากฟินแลนด์ที่ศึกษาพบว่ามนุษย์รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ผ่านการตอบสนองของร่างกาย โดยได้ทำแผนที่ร่างกายที่แสดงถึงอารมณ์ต่างๆ และพบว่า...

- *ความสุข* → ร่างกายกระฉับกระเฉง มีพลัง

- *ความกลัว* → หัวใจเต้นแรง มือเย็น

- *ความโกรธ* → ความร้อนพุ่งขึ้นที่ศีรษะ

- *ความเศร้า* → ร่างกายหนักอึ้ง พลังงานต่ำ
สมมุติว่าลูกกลับมาบ้านแล้วพูดว่า "ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว" อาจไม่ใช่เพราะเขาแค่ดื้อหรือขี้เกียจ แต่ร่างกายของเขาอาจกำลังส่งสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับอารมณ์ที่เขารู้สึกอยู่
พ่อแม่ควรพิจารณาดูก่อนว่า...
- ลูกดูเหนื่อยไหม? (เล่นเยอะไป หมดแรง?)
- ลูกกังวลอะไรหรือเปล่า? (อาจมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจที่โรงเรียน)
- ลูกกำลังสับสนระหว่างความสนุกกับความเสียดายไหม? (เล่นสนุกแต่ไม่อยากจบ)
แทนที่จะรีบพูดว่า "แม่เห็นหนูเล่นที่โรงเรียนกับเพื่อนสนุกอยู่เลย ทำไมเปลี่ยนใจ?" ลองช่วยลูกเชื่อมโยงอารมณ์กับร่างกายของเขาเอง

--------
#การระบุอารมณ์ = กุญแจสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
สมองของเรามี 2 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
1. *Amygdala* → อามิกดาลา สมองส่วนอารมณ์ รีแอคไวมาก ตกใจ หวาดกลัว โกรธง่าย
2. *Prefrontal Cortex* → สมองส่วนคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ
เวลาคนเรารู้สึกอะไรแรง ๆ สมอง Amygdala จะตื่นตัวทันที แต่ถ้าเราสามารถ "ตั้งชื่อ" หรือ "ระบุ" อารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น สมอง Prefrontal Cortex จะเริ่มทำงานและช่วยควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น (มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเรียกสิ่งนี้ว่า Affect Labeling)
พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราฝึกให้ลูกระบุว่า "ฉันกำลังเสียใจ/ โกรธ/ ผิดหวัง" แทนที่จะปล่อยให้รู้สึกแย่อยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร จะช่วยให้สมองจัดการกับอารมณ์ได้ดีกว่า
ลองสังเกตดู เวลาผู้ใหญ่เครียดมาก ๆ แล้วพูดว่า "โอ๊ย เครียด!" เราจะรู้สึกเบาขึ้นนิดนึงทันทีเลยใช่ไหม? เพราะสมองเราเริ่มประมวลผลความรู้สึกแทนที่จะให้ Amygdala ลุกเป็นไฟ

--------
#ช่วยลูกระบุอารมณ์อย่างไรดี?
1. สะท้อนอารมณ์ แทนที่จะบอกให้ลูก “หยุด”*
❌ "อย่าร้องไห้!"
✅ "หนูร้องไห้เพราะกำลังเสียใจรึเปล่านะ?"
2. ใช้คำถามปลายเปิดให้ลูกได้อธิบาย*
- "ตอนนี้หนูรู้สึกยังไง?" (ถ้าเป็นเด็กเล็ก ครูโบนัสแนะนำให้ลองถามความรู้สึกทางร่างกายก็ได้ค่ะ ว่ามันร้อนๆ หนักๆ ตรงไหนบ้าง หรือรู้สึกถึงหัวใจเต้นแรงไหม)
- "มันเหมือนตอนที่เคยเกิดอะไรขึ้นไหม?"
3. ใช้เครื่องมือช่วย เช่น หนังสือหรือการ์ดอารมณ์
เด็กเล็กอาจยังอธิบายอารมณ์ของตัวเองได้ไม่ดีนัก ภาพประกอบ การ์ดอารมณ์ หรือหนังสือเกี่ยวกับอารมณ์ จะช่วยได้มาก

--------
#พ่อแม่ไม่ต้องแก้ปัญหาทุกอย่าง แค่ช่วยให้ลูกเข้าใจตัวเอง
หลายครั้งพ่อแม่พยายามรีบแก้ปัญหาให้ลูก เช่น
- "ไม่อยากไปโรงเรียนเหรอ? เดี๋ยวแม่ช่วยคุยกับครูให้นะ!"
- "หนูโกรธพี่ใช่ไหม? เอ้า เดี๋ยวแม่ไปดุพี่ให้!"
จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เด็กต้องการอาจไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เป็นการที่มีคนเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง

--------
#อารมณ์ทุกแบบมีคุณค่า ถ้าเรารู้จักมัน*
การเรียนรู้จักอารมณ์เป็นพัฒนาการที่สำคัญมากของเด็กๆ ค่ะ หลายครั้งครูโบนัสเห็นพ่อแม่ผู้ปกครองที่ "เป็นห่วง" มากเกินไป จนกลายเป็น "ปกป้อง" ไม่ให้เด็กๆ ต้องเผชิญกับอารมณ์เชิงลบ
แต่นี่เป็นการทำร้ายเด็กโดยที่ไม่รู้ตัวนะคะ เพราะเด็กๆ จะ "พลาดโอกาส" ในการได้เรียนรู้จักและรับมือกับอารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นตามวัย ทำให้เด็กๆ ขาดภูมิคุ้มกันทางใจค่ะ
เด็กที่สามารถรู้จักและจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ดี จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงทางอารมณ์ มีความฉลาดทางสังคม และรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น ลดโอกาสในการป่วยด้วยโรคทางใจเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ด้วยนะคะ
#ภารกิจของพ่อแม่ไม่ใช่การทำให้ลูกมีความสุข แต่เป็นการช่วยให้ลูกเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง
ดังนั้น ถ้าลูกกลับมาจากโรงเรียนแล้วร้องไห้ แต่บอกว่าวันนี้สนุกมาก... แทนที่จะกังวลหรือตกใจ ให้ลองบอกว่า
"หนูอาจจะรู้สึกได้หลายอย่างพร้อมกันนะ แม่เข้าใจนะ"
เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ลูกเริ่มเข้าใจตัวเองแล้วค่ะ 😊💖
ครูโบนัส/ นักเล่นบำบัด
--------
📌 แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
📖 [Mapping the Bodily Basis of Emotion – Nummenmaa et al. (2014)](https://www.pnas.org/content/111/2/646)
📖 [Affect Labeling and Emotion Regulation – Lieberman et al. (2007)](https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2731204/)
📖 [Emotional Intelligence in Children – Research from CASEL](https://casel.org/)

พ่อคือใครกันแน่??ครูโบนัสได้ดูคลิปวิดิโอสั้นๆ ที่ชื่อว่า “The Six Ways You’ll See Your Dad” (6 มุมมองที่เรามีต่อพ่อ) จาก...
29/01/2025

พ่อคือใครกันแน่??

ครูโบนัสได้ดูคลิปวิดิโอสั้นๆ ที่ชื่อว่า “The Six Ways You’ll See Your Dad” (6 มุมมองที่เรามีต่อพ่อ) จาก CollegeHumor (แปะลิงค์ไว้ให้ในคอมเมนต์นะคะ) แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะทำให้เราได้เห็นว่า ในสายตาของลูกในแต่ละช่วงอายุและประสบการณ์นั้น จะมองภาพคุณพ่อที่แตกต่างกันออกไปได้ถึง 6 แบบเลยทีเดียวค่ะ
---------------------------

1. พ่อคือซูเปอร์ฮีโร่ (The Superhero) สำหรับเด็กน้อยในวัยประมาณ 3-6 ขวบ จะยกย่องว่าคุณพ่อเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ ทำได้ทำเป็นทุกอย่าง เช่น แข็งแรง วิ่งเร็ว ยกของหนัก เจาะกล่องน้ำผลไม้ได้ หรือแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้เราได้ทุกครั้ง ในวัยนี้เด็กๆ จะรู้สึกอัศจรรย์ใจว่าคุณพ่อเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก เชื่อว่าคุณพ่อรู้ทุกอย่าง เหมือนในวิดีโอที่เราจะเห็นว่า เด็กน้อยมองคุณพ่อด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพและชื่นชมแบบไม่มีเงื่อนไข
2. พ่อคือตัวตลก (The Joke) เมื่อเด็กๆ โตขึ้นมาอีกหน่อย เข้าสู่วัยประถม (7-12 ขวบ) ความรู้สึกที่มีต่อคุณพ่อจะเริ่มเปลี่ยนไป เด็กในวัยนี้มองว่าคุณพ่อ “น่าขายหน้า” เวลาเล่นมุกตลกที่เราไม่ขำด้วย หรือทำตัวแปลกๆ แต่งตัวตลกๆ (ในมุมมองของลูก) จนลูกรู้สึกว่าอายที่จะบอกว่าคนนี้คือคุณพ่อของเขา อย่างในวิดีโอจะเห็นว่าคุณพ่อพยายามเข้าหาลูก แต่ลูกกลับแสดงออกว่าไม่อยากจะอยู่ใกล้พ่อในที่สาธารณะ อาจมีคำพูดที่ชวนให้คุณพ่อปวดใจอย่าง “พ่ออย่ามารับหนูที่โรงเรียนนะ” หรือ “พ่อห้ามมาคุยกับเพื่อนหนูนะ”
3. พ่อคือเผด็จการ (The Dictator) ช่วงวัยรุ่น (13-18 ปี) อาจถือได้ว่าเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกตึงเครียดที่สุด ลูกมักจะมองว่าคุณพ่อเป็นเผด็จการ สั่งห้ามนู่นนี่ เรารู้สึกขัดใจกับทุกสิ่งที่พ่อบอก และทะเลาะกันบ่อยๆ เป็นช่วงที่เรามักตั้งคำถามกับทุกสิ่งและรู้สึกว่าพ่อ "ไม่เข้าใจเรา"
4. พ่อคือพนักงานเงินเดือน (The Suit) ช่วงที่ลูกเริ่มเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (19-22 ปี) จะมองคุณพ่อว่าเป็น “คนธรรมดา” มีตารางชีวิตและการทำงานธรรมดาๆ ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ ลูกมักจะคิดว่าตัวเองฉลาดกว่า ขยันกว่า และมั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีวันมีชีวิตที่น่าเบื่อเหมือนพ่อ
5. พ่อคือบอดี้การ์ด (The Bodyguard) เมื่อลูกเข้าสู่วัยทำงาน (23-30 ปี) ความจริงของชีวิตเริ่มปรากฏ เราต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เช่น มีรายจ่ายต่างๆ การดูแลซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ในบ้าน หรือความเครียดจากงาน ในจุดนี้เราจะเริ่มหันกลับมามองหาคุณพ่ออีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือ ช่วงเวลานี้คุณพ่อจะเป็นเสมือน “บอดี้การ์ด” หรือคนที่ลูกจะโทรหายามเกิดวิกฤต เช่น ขอคำปรึกษาเรื่องต่างๆ หรือขอความช่วยเหลือด้านการเงิน
6. พ่อคือมนุษย์คนหนึ่ง (The Human) หลังจากอายุ 30 ปีขึ้นไป ลูกเริ่มเข้าใจว่าพ่อไม่ได้เป็นซูเปอร์ฮีโรหรืออื่นๆ เราจะเริ่มมองเห็นพ่อในแบบที่เราไม่เคยมองเห็นมาก่อน คือ พ่อเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีทั้งความกลัว ความฝัน ความผิดพลาดเหมือนๆ กันกับเรา พ่อพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในแบบที่เขาทำได้ในเวลานั้น การมองเห็นพ่อในฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง” ช่วยให้เราตระหนักว่าพ่อแม่เองก็ต้องการความเข้าใจและการให้อภัยเช่นกัน
---------------------------

ครูโบนัสนึกถึงคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "อย่าใช้ปัจจุบันของเราตัดสินอดีตของพ่อแม่ เพราะเราไม่รู้ว่าพวกเขาต้องเจอกับอะไรในตอนนั้น" เพราะมันไม่แฟร์เลยที่เราจะใช้มาตรฐานในปัจจุบันไปตัดสินการตัดสินใจในอดีตของพวกเขา
ในขณะเดียวกัน พ่อแม่เองก็ควรเข้าใจตัวเองว่าเราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป การเป็นพ่อแม่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันที่ผิดพลาด สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่ลืมที่จะให้อภัยตัวเอง
ในฐานะนักเล่นบำบัด ครูโบนัสอยากจะให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ เชื่อว่าทุกคนกำลังพยายามทำให้ดีที่สุดในแบบของตัวเอง อย่าลืมว่า “พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง” เพราะทุกคนไม่ได้มีคู่มือติดตัวมาตั้งแต่แรก เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านประสบการณ์ที่ผิดพลาด ล้มเหลว เพื่อให้สามารถเรียนรู้และก้าวต่อไปได้ค่ะ ❤️

#จิตวิทยาเด็ก #เล่นบำบัด #ครูโบนัสเล่นบำบัด

ทำไมลูกถึงดื้อแต่กับพ่อแม่?คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยกันมั้ยคะ ว่าทำไมเวลาอยู่ที่โรงเรียน หรืออยู่กับคนอื่น ลูกของเราดูเป็นเด็...
21/01/2025

ทำไมลูกถึงดื้อแต่กับพ่อแม่?

คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยกันมั้ยคะ ว่าทำไมเวลาอยู่ที่โรงเรียน หรืออยู่กับคนอื่น ลูกของเราดูเป็นเด็กดี เชื่อฟัง น่ารัก

แต่พออยู่กับคุณพ่อหรือส่วนใหญ่จะเป็นกับคุณแม่ กลับแสดงพฤติกรรมตรงกันข้าม คือ ดื้อ ต่อต้าน ไม่เชื่อฟังหรือไม่น่ารักเหมือนตอนอยู่กับคนอื่น

คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในคำว่า “Safe Zone” หรือ พื้นที่ปลอดภัยของลูก

เพราะเด็กๆ มองว่าคุณพ่อคุณแม่เป็น Safe Zone หรือพื้นที่ที่เขารู้สึกปลอดภัยที่สุด เป็นคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด เขาจึง “กล้าแสดงตัวตน” (express) ออกมาอย่างเต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวเขาในมุมไหน พ่อแม่ก็จะยอมรับและรักเขาเสมอ ต่างจากการอยู่กับคนอื่น ที่เขาอาจต้องพยายามแสดงด้านที่ดีเท่านั้นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ

เหมือนกับในห้องเล่นบำบัด เด็กๆ ที่มาในช่วงแรกหลายคนจะทำตัวเป็น good boy/ good girl (เด็กดี) เล่นแล้วเก็บของเรียบร้อยกันทั้งนั้น แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่เด็กเริ่มกล้าเล่นเลอะเทอะ ทำข้าวของในห้องกระจัดกระจายเละเทะ (โดยไม่ละเมิดกฎห้ามทำลายข้าวของ) ครูโบนัสจะรู้สึกดีใจมากค่ะ เพราะนั่นแปลว่าเด็กๆ เริ่มที่จะไว้ใจครูโบนัส และกล้าที่จะแสดงตัวตนจริงของเขาออกมาแล้ว เป็นสัญญาณที่ดีในการบำบัดค่ะ

พฤติกรรมดื้อของเด็กๆ จึงเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติเพื่อระบายอารมณ์เชิงลบภายในใจ (ความเครียด ความกังวล) และที่ทำเฉพาะกับพ่อแม่เพราะเด็กรู้สึกมั่นใจว่าพ่อแม่จะยังรักเขาอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้สมบูรณ์แบบหรือไม่น่ารักเสมอไป

อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ตั้งความคาดหวังว่าจะเห็นแต่ด้านที่ดีของลูกเสมอ อาจทำให้ลูกเกิดการรับรู้ว่า "พ่อแม่จะรักฉันก็ต่อเมื่อฉันเป็นเด็กดีเท่านั้น" สิ่งนี้คือ "ความรักแบบมีเงื่อนไข" (Conditional Love) ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของลูก

ความจริงที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจคือ เมื่อตัดสินใจมีลูก เราจะไม่ได้พบเพียงด้านที่น่ารักของเขาเท่านั้น แต่ต้องพร้อมรับมือกับทุกด้านของเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นวันที่เขางอแง เจ้าอารมณ์ หรือไม่เชื่อฟัง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอยู่เคียงข้างลูก เข้าใจและยอมรับความรู้สึกของเขาในวันที่เขาไม่สมบูรณ์แบบ

ในขณะเดียวกัน พ่อแม่เองก็ควรยอมรับและใส่ใจอารมณ์ของตัวเองด้วย การเลี้ยงลูกนั้นบางครั้งก็เป็นเรื่องที่แสนเหน็ดเหนื่อย ท้อใจ และอาจทำให้รู้สึกโกรธหรือหงุดหงิด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราว และมันไม่ได้ลดทอนความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกเลย

อย่าลืมดูแลใจตัวเองด้วย การเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ เริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเองก่อน พักใจเมื่อรู้สึกเหนื่อย และอย่ากดดันตัวเองจนเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว ลูกต้องการพ่อแม่ที่มีพลังใจแข็งแรงเพื่อเดินเคียงข้างเขาในทุกช่วงเวลา ทั้งวันที่เขาน่ารัก และวันที่เขาไม่น่ารักเลยก็ตาม

ขนาดนักเล่นบำบัดที่มีหน้าที่ดูแลใจของเด็กๆ โดยเฉพาะ ก็ยังมีกฎให้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลทางคลินิก (clinical supervision) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการดูแลใจและเตรียมความพร้อมให้ใจแข็งแรงเพื่อจะช่วยซัพพอร์ตใจของเด็กๆ ที่มาบำบัดได้ต่อไปค่ะ

ครูโบนัสอยากฝากข้อคิดให้คุณพ่อคุณแม่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจค่ะ
1. เราแต่ละคนต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง ไม่มีใครมีหน้าที่ไปรับผิดชอบความรู้สึกแทนใครได้
2. อารมณ์ทุกชนิดไม่ใช่เรื่องผิด เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ สิ่งที่เราทำได้คือการควบคุมการกระทำของตัวเองที่อาจเกิดจากอารมณ์นั้น
3. ใจดีกับตัวเองเยอะๆ ไม่มีความผิดพลาดใดที่แก้ไขไม่ได้ เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

พ่อแม่ที่เข้าใจและยอมรับอารมณ์ของตัวเองได้ คือจุดเริ่มต้นของครอบครัวที่มีสุขภาพใจแข็งแรงค่ะ

ครูโบนัสเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ หากมีความกังวลใจเกี่ยวกับลูก ต้องการที่ปรึกษาก็สามารถทักอินบ็อกซ์ หรือติดต่อครูโบนัสได้ทุกช่องทางที่สะดวกเลยค่ะ

#เล่นบำบัด #จิตวิทยาเด็ก #สอนลูก

24/12/2024

สอนลูกให้รู้จักความรับผิดชอบด้วย "Natural Consequence"

ช่วงเทศกาลปีใหม่กำลังมาถึงแล้วนะคะ! ช่วงเวลาแบบนี้ ใครๆ ก็อยากจะเริ่มต้นสิ่งดีๆ ในชีวิต แต่เคยสงสัยไหมว่า “สิ่งดีๆ” เหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?

จริงๆ แล้วมันไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เกิดจากการกระทำที่ผ่านมาของเราที่สะสมมาเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับการสอนลูกเรื่อง “ความรับผิดชอบ”

ถ้าอยากให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและตัดสินใจได้ดี พ่อแม่ต้องช่วยสร้างพื้นฐานนี้ให้กับเด็กๆ ด้วยวิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า “Natural Consequence” หรือผลลัพธ์ตามธรรมชาติ
Natural Consequence หรือผลลัพธ์ตามธรรมชาตินี้ คืออะไร?
Natural Consequence ก็คือ ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยตรง เช่น ถ้าเราทำสิ่งที่ดี ผลดีจะเกิดขึ้น แต่ถ้าทำอะไรผิดพลาด ผลที่ตามมาก็จะกลายเป็นบทเรียนที่สำคัญ เช่น ถ้าเราไม่ใส่เสื้อกันหนาว ก็จะรู้สึกหนาว หรือถ้าเราวางของเล่นทิ้งไว้ข้างนอกแล้วฝนตก ของเล่นนั้นก็จะเปียก เป็นต้น
ซึ่งเด็กๆ ควรได้มีโอกาสจะพบเจอผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยน่าแฮปปี้เท่าไหร่นี้ด้วยตัวเอง และได้มีประสบการณ์กับอารมณ์ในเชิงลบที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาจากเหตุการณ์เหล่านี้เพื่อจะได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง
วิธีการนี้ไม่จำเป็นต้องใช้การดุ ลงโทษ หรือซ้ำเติมเพิ่มแต่อย่างใด เพราะผลลัพธ์จากการกระทำนั้นชัดเจนอยู่แล้วและเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากสำหรับเด็ก เพราะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง หากคุณพ่อคุณแม่รับมืออย่างถูกต้อง จะยิ่งช่วยให้สมองส่วนหน้า (การคิด/ เหตุผล) ของเด็กพัฒนาได้ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
มีแนวทางง่ายๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะฝึกให้เด็กๆ เพิ่มความรับผิดชอบต่อตัวเองและการกำกับตนเอง (Self-Regulation) ผ่าน Natural Consequence นี้ค่ะ
1. กำหนดขอบเขตชัดเจน: คุณพ่อคุณแม่ควรต้องอธิบายผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน เมื่อจะให้ทางเลือกกับลูก เช่น “ถ้าหนูเลือกจะวางของเล่นไว้ข้างนอก คืนนี้ฝนอาจจะตกทำให้ของเล่นของหนูเปียกนะลูก” เพื่อให้เด็กเข้าใจและเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง ส่วนคุณพ่อคุณแม่ต้องเคารพการตัดสินใจของลูก (พิจารณาความเหมาะสมตามวัย และยึดถือเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ)

**สิ่งสำคัญ** อย่าให้ลูกต้องแบกรับความรับผิดชอบเกินวัยของเขา เช่น หากให้ลูกวัยอนุบาลเลือกของเล่นแล้วบอกว่า “ถ้าซื้อไปแล้วไม่เล่น คราวหน้าแม่จะไม่ซื้อให้อีก” อาจทำให้เด็กเครียดเกินไป เพราะผลกระทบนี้ใหญ่เกินไปสำหรับเขา ทางที่ดี พ่อแม่ควรอธิบายผลลัพธ์จากการเลือกในแบบที่เด็กเข้าใจได้ เช่น “ถ้าหนูอยากซื้อของเล่นชิ้นนี้ไป เราจะไม่ได้ซื้อของเล่นใหม่อีก 1 เดือน หนูโอเคกับการเลือกนี้ไหม?” หากเด็กเปลี่ยนใจในภายหลัง พ่อแม่ก็แค่เตือนสิ่งที่ตกลงกันไว้อย่างเรียบๆ (และอาจต้องพูดซ้ำหลายครั้ง) โดยไม่ทำให้เด็กรู้สึกผิด “หนูจำได้มั้ย วันที่เราไปเดินห้างกันหนูเลือกซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ไปแล้ว และเราจะไม่ซื้อของเล่นใหม่ไปจนหมดเดือนนี้จ้ะ”
2. อย่าตีฟูเหตุการณ์: เมื่อเด็กต้องเจอกับผลลัพธ์จากการกระทำที่เขาเลือกเองแล้ว พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องดุ สอน หรือซ้ำเติม ให้หลีกเลี่ยงคำพูดจำพวก “เห็นไหม บอกแล้ว” หรือ “สมน้ำหน้า อยากเลือกแบบนี้เอง” เพราะแทนที่เด็กจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธและเสียใจของเด็กมากขึ้น และเมื่ออารมณ์พลุ่งพล่าน สมองส่วนหน้า (การคิด) จะไม่ได้ทำงาน กลายเป็นการใช้อารมณ์มาตัดสินเหตุการณ์แทน

**และอย่าลืมว่า การสอนรูปแบบนี้ต้องใช้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่จัดฉากขึ้นมาค่ะ**
3. รับรู้และเห็นอกเห็นใจ: สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเมื่อเด็กต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาเลือกทำเอง คือการรับรู้อารมณ์ของลูก และแสดงความเห็นอกเห็นใจ เช่น “ของเล่นหนูเปียกหมดเลยเนอะ หนูคงรู้สึกแย่มากๆ” ในการต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของเหตุการณ์ เด็กอาจเกิดอารมณ์เชิงลบได้ตามธรรมชาติ เช่น เสียใจ โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ และอาจมีการแสดงอารมณ์ออกมาได้หลากหลายรูปแบบ แต่การที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยซัพพอร์ตในด้านอารมณ์นี้ จะทำให้เด็กสงบลงได้ในเวลาไม่นานค่ะ

**สิ่งสำคัญ** อาจเป็นเรื่องยากที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทนเห็นลูกร้องไห้เสียใจ แต่ขอให้เตือนตัวเองไว้ว่า เราไม่ควรตัดโอกาสในการเรียนรู้ของลูก การเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ของสิ่งที่ตัวเองเลือก (ที่เหมาะสมตามวัย) จะทำให้เด็กได้ฝึกการจัดการอารมณ์ ฝึก Self-Regulation (การกำกับตนเอง) และเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่คิดก่อนตัดสินใจ และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองค่ะ
4. สะท้อนคิด: เมื่อลูกอารมณ์เย็นลงแล้ว อาจลองสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง เพื่อให้ลูกได้ทบทวนและเรียนรู้ สำหรับเด็กเล็ก แนะนำให้ลองทบทวนเรื่องราวด้วยการเล่นบทบาทสมมุติกับของเล่น/ตุ๊กตา เพื่อให้เด็กเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะการพูดคุยเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เด็กคิดภาพตามไม่ออกค่ะ
สำหรับช่วงเริ่มต้นปีใหม่นี้ ครูโบนัสอยากชวนคุณพ่อคุณแม่มาลองเริ่มต้นการใช้แนวคิด “Natural Consequence” เพื่อสอนลูกให้เรียนรู้ว่า การกระทำทุกอย่างมีผลตามมา เด็กจะได้เข้าใจว่า หากอยากให้ชีวิตมีสิ่งดีๆ ก็จะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง และสิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณพ่อคุณแม่จะคอยอยู่เคียงข้างลูกในทุกการเรียนรู้ เพื่อให้ปีนี้และปีต่อๆ ไป เป็นปีที่เต็มไปด้วยการเติบโตและพัฒนาการที่ดีของทั้งครอบครัวค่ะ 👨‍👩‍👧‍👦
สุขสันต์วันปีใหม่ Happy New Year ล่วงหน้านะคะ 🥳🎊🎉🎁

ปล. แอบกระซิบว่าปีหน้าครูโบนัสและเพลย์โต้จะมีอะไรใหม่ๆ มาด้วย รอติดตามกันนะคะ 🤩

#เล่นบำบัด #จิตวิทยาเด็ก #สอนลูก

ปีหน้าจะมีคอร์ส Filial Play Coach เปิดสอนในไทยเป็นรุ่นแรกค่ะ!!อันที่จริงครูโบนัสตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะได้เรียนคอร์สนี้มา...
03/11/2024

ปีหน้าจะมีคอร์ส Filial Play Coach เปิดสอนในไทยเป็นรุ่นแรกค่ะ!!

อันที่จริงครูโบนัสตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะได้เรียนคอร์สนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มที่ได้รู้จักกับการเล่นบำบัด (Play Therapy) เลยทีเดียว เพราะจากประสบการทั้งสอนเด็ก ขายของเด็ก และบำบัดเด็กมา ทำให้รู้ว่าเด็กคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับพ่อแม่/ผู้เลี้ยงดูเกือบจะ 100%

Filial Play เป็นการทำงานโดยตรงกับพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยจะสอนวิธีใช้การเล่น (Play Work) เพื่อสื่อสารกับลูก ส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันในระดับที่ลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาทักษะในการฟังและการตอบสนองเชิงบวกกับลูก ซึ่งเราได้ยินได้ฟังเรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวกมาเยอะแหละ แต่อันนี้จะเป็นวิธีการปฏิบัติจริงแบบเป็นขั้นตอน เข้าใจง่าย และเป็นเหตุเป็นผลแบบที่คิดว่ายังไม่มีที่ไหนเคยเปิดสอน

พูดง่ายๆ คือเป็นการสอนพ่อแม่ให้สามารถสร้างเด็กที่มีความเข้มแข็งทางใจผ่านการเล่นที่ยังคงยึดตามหลักการสำคัญของการเล่นบำบัด เพื่อช่วยลดและป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการเลี้ยงลูก

โดยส่วนตัวแล้ว ครูโบนัสคิดว่าหากพ่อแม่ได้เรียนรู้วิธีการนี้ จะช่วยให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุขและสบายใจมากขึ้นอีกเยอะเลย รวมถึงเด็กที่ใจแข็งแรง เมื่อโตขึ้นไปก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียคน (ช่วงวัยรุ่น) และลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพจิตได้แน่นอน (โรคซึมเศร้า, ปัญหาความผิดปกติทางบุคลิกภาพต่างๆ และโรคทางจิตเวชอื่นๆ)

เอาไว้ถ้าเปิดรับสมัครครอบครัวมาทดลองโปรแกรมเมื่อไหร่จะประกาศอีกครั้ง รอติดตามกันด้วยนะคะ 😊

#เล่นบำบัด

"ทำยังไงดีคะ? ลูกถูกเพื่อนรังแกที่โรงเรียน""ลูกดื้อต่อต้านมากๆ แม่พูดอะไรไม่เคยเชื่อฟังเลยค่ะ""ลูกเหมือนอิจฉาน้อง ทำแรงๆ...
17/06/2024

"ทำยังไงดีคะ? ลูกถูกเพื่อนรังแกที่โรงเรียน"
"ลูกดื้อต่อต้านมากๆ แม่พูดอะไรไม่เคยเชื่อฟังเลยค่ะ"
"ลูกเหมือนอิจฉาน้อง ทำแรงๆ กับน้องตลอดเลย กลัวว่าโตขึ้นพี่น้องจะไม่รักกัน"
"ลูกไม่มีสมาธิเลยค่ะ คุณครูบอกว่าเป็นสมาธิสั้น ให้พาไปพบหมอ"
"พ่อแม่กำลังจะหย่ากัน เป็นห่วงใจลูกมากๆ ค่ะ"
"ลูกเข้าวัยรุ่นมีภาวะซึมเศร้า ทำร้ายตัวเอง แม่กังวลใจมากๆ เลยค่ะ"
ฯลฯ
ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง จะมีความกังวลถึงปัญหาที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกในเรื่องใดก็ตาม อยากให้ลองมาปรึกษานักเล่นบำบัดเพื่อเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้คุณหาทางออกจากปัญหาได้ค่ะ
เพราะนอกจากเราจะทำการเล่นบำบัดซึ่งเป็นเสมือนการดีท็อกซ์ของเสียออกจากจิตใจ ให้ภายในใจของเด็กๆ เกิดภาวะสมดุลและเข้มแข็งขึ้นแล้ว เรายังยินดีให้คำแนะนำคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง ทั้งวิธีการรับมือสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน วิธีการสื่อสารกับลูก วิธีการช่วยส่งเสริมลูก รวมถึงผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับคุณพ่อคุณแม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันสร้างสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งให้กับครอบครัวค่ะ
สนใจเล่นบำบัดติดต่อครูโบนัส โทร.081-820-7303
Line:
สาขากทม. สุขุมวิท 61 (ให้บริการวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์เช้า)
สาขาราชบุรี ร้านอักษรศีล ถ.รถไฟ อ.เมือง (ให้บริการวันอาทิตย์บ่าย-วันพุธ)

#เล่นบำบัด #เล่นบำบัดราชบุรี #นักจิตวิทยาเด็ก #จิตบำบัดเด็ก

ที่อยู่

58/1 Rodfai Rd.
Ratchaburi
70000

เบอร์โทรศัพท์

+66818207303

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Playto Therapyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Playto Therapy:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram