31/05/2025
“การเล่นเกม“
#ความเห็นเรื่องการเล่นเกมของเด็ก
โดย ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*
ถ้าถามผมว่าควรให้เด็กเล่นเกมไหม? ตอบสั้นๆ ก่อนเลยว่า “เล่นได้ แต่ดูแลให้ดี”
เกมสำหรับเด็ก (หรือผู้ใหญ่) ก็เหมือนของเล่นอย่างนึง เล่นแล้วสนุกก็อยากเล่นอีก
มนุษย์เราก็ต้องการความบันเทิง เด็กๆ ก็ต้องการการผ่อนคลาย
ถ้าเอาเวลาที่ใช้เล่นเกมไปทำการบ้านอ่านหนังสือเพิ่มก็อาจจะดี แต่ก็น่าคิดว่าถ้าอ่านกันทั้งวันทั้งคืนจะยังดีอยู่ไหม?
Stress Performance Curve บอกเราว่าถ้ามนุษย์อยู่สบายเกินไปก็จะไม่มีแรงจูงใจใฝ่หาความเจริญก้าวหน้า
พ่อแม่ที่ตั้งกฎระเบียบ วางเงื่อนไข ใส่ stress ให้ลูกบ้างก็ดีเหมือนกัน ลูกจะได้กระตือรือร้น
แต่ถ้า stress หนักเกินไป จะเห็นว่าปลาย curve มนุษย์จะล้าไปจนไม่สามารถ perform ได้แล้ว
หรือถ้ายัง perform อยู่ก็จะเป็นไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนม้าเหมือนวัวที่ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ เพราะกลัวจะโดนเฆี่ยนตี
ระดับ stress ที่เหมาะสมกับแต่ละคนคงไม่เท่ากัน บอกเป็นสูตรสำเร็จไม่ได้ว่าแค่ไหนถึงจะ “พอดี” แต่ละบ้านต้องใช้ “ปัญญา” หากันเอาเอง
ประโยชน์ที่อาจจะคาดไม่ถึงอีกอย่างของเกมคือทักษะการใช้มือหรือที่เรียกว่า dexterity
สังเกตดู เด็กเล่นเกมจะมือไม้ว่องไว เวลาเขา manipulate gadgets อะไรใหม่ๆ คนรุ่นก่อนหน้านั้นได้แต่มอง
นิสิตนักศึกษาแพทย์ที่ผมสอนอยู่นั้นจด lecture ใส่ iPad เสียเป็นส่วนใหญ่ ผมเคยพยายามลองเอามาเขียนบ้างได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ยอมแพ้
น้องๆ ที่เป็นศัลยแพทย์บอกว่าไอ้คนที่ผ่าเก่งๆ น่ะ ตอนเด็กๆ ติดเกมมาทั้งนั้น
แล้วอนาคตของการผ่าตัดเรื่องนึงก็คือการใช้หุ่นยนต์ ซึ่งเท่าที่ผมเคยไปชะโงกดูผมว่าหมอที่ควบคุมเครื่องนี่มันก็ยังกะเล่นเกมดีๆ นี่เอง
แล้วถ้าเด็กๆ ที่มีปัญญาทางมิติสัมพันธ์ล่ะ อะไรจะพัฒนาเค้าได้ดีกว่าเล่น Minecraft ผมยังนึกไม่ออก
การก่อสร้างและเคลื่อนตัวไปใน 3 มิติเวลาเด็กเล่น Minecraft นี่ผมว่าน่าอัศจรรย์มาก
แล้วพวกนี้ก็อาจจะกลายไปเป็นเมล็ดพันธุ์ของสถาปนิกหรือนักออกแบบสร้างสรรค์อะไรให้โลกได้อีกเยอะ
แต่แน่นอนชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว ผมว่าเล่นเกมก็เหมือนกินเหล้า กินแต่พอดีก็ผ่อนคลายสบายใจ กินมากไปก็เป็นปัญหาต่อตัวเองและสังคม
อาชีพผมมีโอกาสต้องเจอโดยตรงกับเด็กที่เล่นเกมแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ก็ควบคุมไม่ได้ หนังสือไม่เรียน งานการไม่ทำ
เราอาจจะนึกเห็นแต่ Mark Zuckerberg ว่าไม่เห็นต้องเรียนจบก็ประสบความสำเร็จร่ำรวยมหาศาลได้ จนลืมไปว่า “ส่วนใหญ่” ของพวกที่เรียนไม่จบนั้นมีชีวิตที่ไม่ค่อยจะดีนัก
นิสิตแพทย์ติดเกมเอาตัวรอดไปได้ก็อาจจะไปเป็นหมอผ่าตัดเก่งๆ ได้ แต่ก็อย่านึกว่าพวกติดเกมจนเรียนแพทย์ไม่จบนั้นไม่มี
หรือจะเอาแบบเล่นเกมจนคลุ้มคลั่งเสียสติมาให้เพื่อนร่วมวิชาชีพจิตแพทย์ของผมรักษาก็มีไม่น้อย (แม้ว่าจะโทษเกมว่าเป็นเหตุโดยตรงไม่ได้ แต่ตำแหน่ง “จำเลยร่วม” นี่ดิ้นไม่หลุดแน่ๆ)
เวลามองเรื่องเกมผมเลยคิดว่าเรามอง “สุดขั้ว” ไม่ได้
มันไม่ได้ขาวสะอาดแบบควรจะส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนเล่นกันเข้าไปเป็นค่านิยมไทยใหม่ 4.0
แต่มันก็ไม่ได้ดำสนิทแบบเผลอไปเล่นเมื่อไหร่กลายเป็นตราบาปโง่เขลางมงายขนาดนั้น
มองไปในโลกข้างหน้า ไม่รู้สินะ ผมว่ามนุษย์ที่มันสุดขั้วเกินไปนี่น่าเป็นห่วง
อัลวิน ทอฟเลอร์ นักคิดคนสำคัญชองโลกคนหนึ่งบอกไว้ว่า..
“The illiterate of the 21st century will not be those who cannot read and write, but those who cannot learn, unlearn, and relearn”
แทนที่จะเชื่อแบบหัวปักหัวปำว่าเล่นเกม “ดี” หรือ “เลว”
จะดีกว่าไหมถ้าเด็ก (หรือผู้ใหญ่) คิดได้ว่าเล่นแค่ไหนถึงจะพอดี เล่นตอนไหนถึงจะถูกเวลา เล่นเกมแบบไหนจะเป็นประโยชน์กับชีวิต
ถ้าเกิดคิดผิดขึ้นมา (ซึ่งมั่นใจได้ว่าต้องมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เพราะทุกคนก็ต้องเคยคิดผิด) ผู้ใหญ่หรือกัลยาณมิตรก็มาช่วยให้เขาคิดใหม่ หาจุดพอดีใหม่
เกมก็เหมือนเหล้า เรากำจัดมันออกไปจากชีวิตไม่ได้หรอก
อยู่ร่วมกับมัน แล้วใช้ประโยชน์จากมันให้ดีที่สุดดีกว่า
•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*•*
เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/E6js95nx3qnrwEEp8