29/05/2025
พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่พระอานนท์ ให้ใช้ธรรมวินัยที่ตรัสไว้ เป็นศาสดาแทนต่อไป
อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า ‘ธรรมวินัยของพวกเรา มีพระศาสดาล่วงลับ ไปเสียแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ดังนี้. ��อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมก็ดีวินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอ ทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ ทั้งหลายโดยกาลล่วงไปแห่งเรา��อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดีใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็น สรณะ ไม่เอา สิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่ ��อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศ ที่สุดแล
เพราะไม่รู้อริยสัจ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ
ภิกษุท.! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อย่าง, เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึง เพียงนี้ ภิกษุ ท.! อริยสัจสี่อย่าง เหล่าไหนเล่า ? ภิกษุ ท.!เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจคือทุกข์, อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์, อริยสัจคือความดับ ไม่เหลือของทุกข์, และอริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;
เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้
ภิกษุ ท.! เมื่ออริยสัจ คือทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์. ความดับไม่เหลือ และทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,เป็นความจริงที่เราและ ของทุกข์, พวกเธอทั้งหลาย รู้ถึง และแทงตลอดแล้ว ตัณหาในภพก็ถูกถอนขึ้นขาด ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพ ก็สิ้นไปหมด บัดนี้ความต้องเกิดขึ้นอีก มิได้มี; ดังนี้
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๑/๑๖๙๘
“เมื่อยังไม่รู้อริยสัจ ก็ไม่สามารถลงหลักแห่งความรู้ของตน”
ภิกษุ ท.! สมณพราหมณ์บางพวก ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "นี้ คือทุกข์, นี้ คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้
เขาย่อมมองสีหน้าของ สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า “ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้ เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย เป็นของเบา ลมพาไปได้, เมื่อวางอยู่บนพื้นที่อันเสมอ ลมทิศตะวันออกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันตก, ทิศตะวันตกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันออก, ลม ลมทิศเหนือก็พัดพามันไปทิศใต้, ลมทิศใต้ก็พัดพามันไปทางทิศเหนือ.
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? ภิกษุ ท.! เพราะ ปุยฝ้ายนั้นเป็นของเบา, ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่สมณพราหมณ์บางพวก ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า “นี้ คือทุกข์, นี้ คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้ เขาย่อม มองสีหน้าของสมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า “ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริง หรือ, เมื่อเห็นก็เห็นจริงหรือ" ดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุ ท.! ข้อนั้น เพราะความที่เขาเป็นผู้ไม่เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่
ภิกษุ ท.! ส่วนสมณพราหมณ์บางพวก รู้ชัดตามเป็นจริงว่า "นี้ คือทุกข์, นี้คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้คือ ทางดำเนินให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้ เขาย่อมไม่มองสีหน้าของ สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า "ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้ เปรียบเหมือนเสาเหล็กหรือเสาอินทขีล มีรากลึก เขาฝังไว้ดีแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน, แม้พายุฝนอย่างแรงพัดมาจากทิศตะวันออก..... จากทิศตะวันตก...จากทิศเหนือ...จากทิศใต้, ก็ไม่สั่นคลอน ไม่สั่นสะเทือน ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุไรเล่า ? เพราะมีรากลึก เพราะฝังไว้ดี, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! ข้อนี้ฉันนั้น ที่สมณพราหมณ์บางพวก รู้ชัดตามเป็นจริงว่า "นี้คือทุกข์. นี้คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้คือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้ เขาย่อม ไม่มองสีหน้าของ สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า "ท่านผู้เจริญนี้เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็นจริงหรือ" ดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ข้อนั้น เพราะความที่เขา เป็นผู้เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่ด้วยดีแล้ว อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ อริยสัจคือทุกข์ อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความไม่เหลือแห่งทุกข์
ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า "ทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ทุกข์ เป็นอย่างนี้" ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ดังนี้
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๔/๑๗๒๒-๑๗๒๓