สวนปัญญาธรรม

สวนปัญญาธรรม สถานปฏิบัติธรรม กรรมฐาน เดินจงกรมน?

ในยุคสมัยที่ธรรมะ ไม่ว่าพระไตรปิฏก พุทธวจนะหรือข้อธรรมจากคณาจารย์ทั้งหลายสามารถเข้าถึง หาอ่านได้โดยง่าย ผู้ไม่ประมาทควรข...
21/07/2025

ในยุคสมัยที่ธรรมะ ไม่ว่าพระไตรปิฏก พุทธวจนะหรือข้อธรรมจากคณาจารย์ทั้งหลายสามารถเข้าถึง หาอ่านได้โดยง่าย ผู้ไม่ประมาทควรขวยขวายในการปฏิบัติ ให้แจ้งชัดด้วยตนเอง เป็นพยานได้ด้วยตนเอง ว่าเป็นจริงตามตำราว่าไว้หรือไม่ ไม่ควรทำตัวเป็น ช้อนแกงไม่รู้รสแกง ใบลานเปล่าไม่รู้รสธรรม ไม่เคยน้อมเข้าหา กายใจ ของตน ได้แต่จำเอาไปคิด เป็นมานะทิฏฐิ สำคัญตนผิด
..เชื่อว่า สวนปัญญาธรรม จะเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ผู้ขวนขวายในการปฏิบัติธรรมได้อย่างดี ช่วยเป็นกระจกส่อง ให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจตนเอง เพ่งโทษปรับปรุงตน วางรากฐานอันเป็นไปตาม ศีล สมาธิ ปัญญา

คำสอนง่ายๆ เช่น ลมเข้า ท้องพองหรือยุบ? เป็นคำถามให้ผู้ฟังตรวจสอบตนเอง ในสิ่งซึ่งทุกคนรู้อยู่แล้วว่า ลมเข้า ท้องพองนั้น , ลมออก ท้องยุบนั้น ผู้ปฏิบัติธรรม”รู้จริง” เช่นนั้นหรือไม่ หากรู้จริงตามนั้น ก็พออนุโลมเป็นเด็กอนุบาล...หากรู้จริงอย่างต่อเนื่อง นานพอเพียง ก็พออนุโลมเป็นเด็กประถมได้...รู้ตามลมเข้าออกเช่นนั้น(ปราศจากการบังคับ) จิตรวมเกิดสมาธิ ก็เป็นอานาปานสติ เป็นบาทฐาน ตามดู รู้อารมณ์ เกิดวิปัสสนาญาณได้

ผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อได้ยิน ได้เห็น รับรู้ “สิ่งเดียวกัน” ย่อมมีปฏิกิริยาต่างกันไปตาม ความหลง ความถือมั่นในตน

หากผู้ใด เป็นผู้ขวนขวาย แยบคายมีปัญญา เพ่งโทษ
ตนเองอยู่เสมอ ย่อมรู้จัก หยิบฉวย ปรับปรุงตนเอง ให้เกิดความก้าวหน้าในธรรมได้

“ทางสู่ความเจริญ อย่างยั่งยืน”อะไรไม่ควรทำแล้วยังทำอยู่ …ทำให้น้อยลง ตัดทิ้งไปอะไรควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ …ทำให้มากขึ้น ให้...
13/07/2025

“ทางสู่ความเจริญ อย่างยั่งยืน”

อะไรไม่ควรทำแล้วยังทำอยู่ …ทำให้น้อยลง ตัดทิ้งไป

อะไรควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ …ทำให้มากขึ้น ให้เป็นอุปนิสัย

ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ให้ใช้ศีล ช่วยแยกแยะ ศีล ๕ …ศีล ๘ …ศีล ๑๐ …ศีล ๒๒๗ …ศีล ๓๑๑

10/07/2025
01/06/2025

โลกุตตรผล มีได้จากการตั้งจิตไว้ถูก

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนเดือยเมล็ดข้าวสาลี หรือเดือยเมล็ดข้าวยวะ ที่มันตั้งอยู่ในลักษณะผิดปกติ ถูกย่ำด้วยมือหรือเท้าแล้ว จักตำมือหรือเท้าที่ย่ำลงไป หรือจักทำโลหิตให้ห้อขึ้นมาได้ นี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไร เล่า? เพราะเหตุว่าเดือยแห่งเมล็ดข้าวสาลีนั้นตั้งอยู่ผิดลักษณะ

ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ภิกษุมีจิตตั้งไว้ผิด จักทำลายอวิชชา จักทำวิชชาให้เกิดขึ้น หรือจักกระทำนิพพานให้แจ้งได้ นั้นไม่เป็นฐานะที่มีได้ เพราะความที่จิตตั้งไว้ผิด แล.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนเดือยเมล็ดข้าวสาลี หรือเดือยเมล็ดข้าวยวะ ที่มันตั้งอยู่ถูกลักษณะ ถูกย่ำด้วยมือหรือเท้าแล้ว จักตำมือหรือเท้าที่ย่ำลงไป หรือจักทำโลหิตให้ห้อขึ้นมาได้ นี้เป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไรเล่า ? เพราะ เหตุว่าเดือยแห่งเมล็ดข้าวสาลีนั้นตั้งอยู่ถูกลักษณะ

ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ภิกษุมีจิตตั้งไว้ถูก จักทำลายอวิชชา จักทำวิชชาให้เกิดขึ้น หรือจักกระทำ นิพพานให้แจ้งได้ นั้นเป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไรเล่า ? เพราะความที่ จิตตั้งไว้ถูก แล.

- เอก. อ. ๒๐/๔/๔๒-๔๓.

พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่พระอานนท์ ให้ใช้ธรรมวินัยที่ตรัสไว้ เป็นศาสดาแทนต่อไปอานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า ‘ธรร...
29/05/2025

พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่พระอานนท์ ให้ใช้ธรรมวินัยที่ตรัสไว้ เป็นศาสดาแทนต่อไป

อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า ‘ธรรมวินัยของพวกเรา มีพระศาสดาล่วงลับ ไปเสียแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ดังนี้. ��อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมก็ดีวินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอ ทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ ทั้งหลายโดยกาลล่วงไปแห่งเรา��อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดีใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็น สรณะ ไม่เอา สิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่ ��อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศ ที่สุดแล

เพราะไม่รู้อริยสัจ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ

ภิกษุท.! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อย่าง, เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึง เพียงนี้ ภิกษุ ท.! อริยสัจสี่อย่าง เหล่าไหนเล่า ? ภิกษุ ท.!เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจคือทุกข์, อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์, อริยสัจคือความดับ ไม่เหลือของทุกข์, และอริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;

เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้

ภิกษุ ท.! เมื่ออริยสัจ คือทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์. ความดับไม่เหลือ และทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,เป็นความจริงที่เราและ ของทุกข์, พวกเธอทั้งหลาย รู้ถึง และแทงตลอดแล้ว ตัณหาในภพก็ถูกถอนขึ้นขาด ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพ ก็สิ้นไปหมด บัดนี้ความต้องเกิดขึ้นอีก มิได้มี; ดังนี้

มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๑/๑๖๙๘

“เมื่อยังไม่รู้อริยสัจ ก็ไม่สามารถลงหลักแห่งความรู้ของตน”

ภิกษุ ท.! สมณพราหมณ์บางพวก ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "นี้ คือทุกข์, นี้ คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้

เขาย่อมมองสีหน้าของ สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า “ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้ เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย เป็นของเบา ลมพาไปได้, เมื่อวางอยู่บนพื้นที่อันเสมอ ลมทิศตะวันออกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันตก, ทิศตะวันตกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันออก, ลม ลมทิศเหนือก็พัดพามันไปทิศใต้, ลมทิศใต้ก็พัดพามันไปทางทิศเหนือ.

ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? ภิกษุ ท.! เพราะ ปุยฝ้ายนั้นเป็นของเบา, ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่สมณพราหมณ์บางพวก ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า “นี้ คือทุกข์, นี้ คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้ เขาย่อม มองสีหน้าของสมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า “ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริง หรือ, เมื่อเห็นก็เห็นจริงหรือ" ดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุ ท.! ข้อนั้น เพราะความที่เขาเป็นผู้ไม่เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่

ภิกษุ ท.! ส่วนสมณพราหมณ์บางพวก รู้ชัดตามเป็นจริงว่า "นี้ คือทุกข์, นี้คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้คือ ทางดำเนินให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้ เขาย่อมไม่มองสีหน้าของ สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า "ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้ เปรียบเหมือนเสาเหล็กหรือเสาอินทขีล มีรากลึก เขาฝังไว้ดีแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน, แม้พายุฝนอย่างแรงพัดมาจากทิศตะวันออก..... จากทิศตะวันตก...จากทิศเหนือ...จากทิศใต้, ก็ไม่สั่นคลอน ไม่สั่นสะเทือน ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุไรเล่า ? เพราะมีรากลึก เพราะฝังไว้ดี, นี้ฉันใด;

ภิกษุ ท.! ข้อนี้ฉันนั้น ที่สมณพราหมณ์บางพวก รู้ชัดตามเป็นจริงว่า "นี้คือทุกข์. นี้คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้คือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้ เขาย่อม ไม่มองสีหน้าของ สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า "ท่านผู้เจริญนี้เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็นจริงหรือ" ดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?

ภิกษุ ท.! ข้อนั้น เพราะความที่เขา เป็นผู้เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่ด้วยดีแล้ว อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ อริยสัจคือทุกข์ อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความไม่เหลือแห่งทุกข์

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า "ทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ทุกข์ เป็นอย่างนี้" ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ดังนี้

มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๔/๑๗๒๒-๑๗๒๓

วิราคธรรมภิกษุ ท.! สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด, วิราคธรรม เรากล่าวว่า เป็นยอดของสังขตธรรม และอสังขตธรรมเ...
26/05/2025

วิราคธรรม

ภิกษุ ท.! สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด, วิราคธรรม เรากล่าวว่า เป็นยอดของสังขตธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้นทั้งหมด.

วิราคธรรมนั้นได้แก่ ธรรมอันเป็นที่สร่างแห่งความเมา, เป็นที่ขจัด ความกระหาย, เป็นที่ถอนความอาลัย, เป็นที่ตัดวัฏฏะ (วน), เป็นที่สิ้นตัณหา, เป็นที่คลายความกำหนัด, เป็นที่ดับกิเลส, นี่แลคือ นิพพาน

อิติวุ, ขุ. ๒๕/๒๙๘/๒๗๐.

สังขตลักษณะและอสังขตลักษณะ

ภิกษุ ท.! สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม สามอย่างอย่างไรเล่า?
สามอย่างคือ :- อย่าง เหล่านี้ มีอยู่

๑. มีการเกิดปรากฏ (อุปปาโท ปญฺญายติ);

๒. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปญฺญายติ) ;

๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (จิตสุส อญฺญถตต์ ปญฺญายติ).

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คือสังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม สามอย่างอย่างไรเล่า?
สามอย่างคือ :- อย่างเหล่านี้ มีอยู่

๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปปาโท ปญฺญายติ) ;

๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ;

๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น จิตสุส อญฺญถตฺต ปญฺญายติ).

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม

ติก. ๑. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗

เจตนาสูตร[๒๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีล ไม่ต้องทำด้วยเจตนา ว่าขอความไม่เดือดร้อน จงเกิดขึ้นแก่เราเ...
17/05/2025

เจตนาสูตร

[๒๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีล ไม่ต้องทำด้วยเจตนา ว่าขอความไม่เดือดร้อน จงเกิดขึ้นแก่เราเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ความไม่เดือด ร้อนเกิดขึ้นแก่ บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีลนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่มีความเดือดร้อน ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอความปราโมทย์จงเกิดขึ้นแก่เราเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ความปราโมทย์เกิดขึ้นแก่ บุคคลผู้ไม่มีความเดือดร้อนนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความปราโมทย์ ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอปีติจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปีติเกิดขึ้นแก่ บุคคลผู้มีความปราโมทย์นี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอกายของเราจงสงบเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กายของบุคคลผู้มีใจประกอบด้วยปีติสงบนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีกายสงบแล้ว ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอเราจงเสวยสุขเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีกายสงบแล้วเสวยสุขนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีสุข ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอจิตของเราจงตั้งมั่นเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่จิตของบุคคลผู้มีสุขตั้งมั่นนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอเราจงรู้จงเห็นตามเป็นจริงเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลายข้อที่บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วรู้เห็นตามเป็นจริงนี้ เป็น ธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้รู้เห็นตามเป็นจริง ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอเราจงเบื่อหน่ายเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้รู้เห็นตามเป็นจริงเบื่อหน่ายนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เบื่อหน่าย ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่าขอเราจงคลายกำหนัดเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้เบื่อหน่ายคลายกำหนัดนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตคลายกำหนัดแล้ว ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่าขอเราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสนะเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลคลายกำหนัดแล้วทำ ให้ แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสนะนี้ เป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสนะเป็นผล.. มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์

นิพพิทา มีวิราคะเป็นผล.. มีวิราคะเป็นอานิสงส์

ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาเป็นผล.. มีนิพพิทาเป็นอานิสงส์

สมาธิ มียถาภูตญาณทัสนะเป็นผล ..มียถาภูตญาณทัสนะเป็นอานิสงส์

สุข มีสมาธิเป็นผล.. มีสมาธิเป็นอานิสงส์

ปัสสัทธิ มีสุขเป็นผล.. มีสุขเป็นอานิสงส์

ปีติ มีปัสสัทธิเป็นผล.. มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์

ความปราโมทย์ มีปีติเป็นผล.. มีปีติเป็นอานิสงส์

ความไม่เดือดร้อน มีความปราโมทย์เป็นผล.. มีความปราโมทย์เป็นอานิสงส์

ศีลที่เป็นกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นผล.. มีความไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์

ด้วยประการดังนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ธรรมทั้งหลาย.. ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย

ธรรมทั้งหลาย.. ย่อมยังธรรมทั้งหลาย ให้บริบูรณ์เพื่อการถึงฝั่ง (คือนิพพาน)

จากสถานอันมิใช่ฝั่ง (คือสังสารวัฏ) ด้วยประการฉะนี้แล ฯ

จบสูตรที่ ๒

ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต หน้าที่ ๒๘๙

12/05/2025

ธรรมชาติ

ธรรมชาติ คือ ความมีอยู่ เป็นความต่างกันของธาตุ

ธรรมชาติ ที่เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วมีความเสื่อม เปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น ชื่อว่าสังขตธรรม เช่น ธาตุ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖

ธรรมชาติที่ไม่ปรากฎมีการเกิด ไม่ปรากฎมีความเสื่อม ไม่ปรากฎมีการแปรเปลี่ยนใดๆ ชื่อว่า อสังขตธรรม เช่น สุญญตาธาตุ นิพพานธาตุ

เราเดิมแท้เป็นธรรมชาติ เป็นอมตธาตุประเภทอสังขตธรรม แต่เพราะความไม่รู้ความต่างกันแห่งธาตุ จึงหลงเข้ามายึดเอาสังขตธรรม เป็นของเรา แต่ด้วยความที่ไม่ตายนี้เอง จึงเป็นเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเพื่อให้ผู้หลง ได้รู้จักมัชฌิมาปฏิปทา มีความเพียรเผากิเลสได้ตามเห็น เรียนรู้ เข้าถึงธรรมชาติทั้งสองนั้น เมื่อใดบรรลุถึงอสังขตธรรมแล้วไม่หลงยึดเอาอสังขตธรรมมาเป็นของเรา ก็จะใช้อสังขตธรรมนั้นได้ เป็นที่ชำระตน คลายกำหนัดเกิดนิพพิทาวิราคะ

หากทำได้จนเกิดเป็นอุปนิสัย เป็นความมีอยู่ของนิพพิทาวิราคะ อสังขตธรรมนั้นชื่อว่าสุญญตาวิหารเห็นธรรมแสดงธรรม ถ่ายถอนความไม่รู้ ชื่อว่าเข้าถึงเหตุแห่งความรู้ และเป็นนิพพานเมื่อแก่รอบบริบูรณ์

หากยังไม่บริบูรณ์ ถูกปรุงแต่งได้ จึงเป็นความมีอยู่ซึ่งเหตุทั้ง ๒ คือ ความรู้และความไม่รู้
ผู้ที่แจ้งชัดความเป็นไปในเหตุทั้ง ๒ ชื่อว่ารู้จัก ตถตา เมื่อหนึ่งเหตุ จางคลาย ดับสนิทไม่เหลือ จึงเหลือเพียงเหตุเดียว เป็นความมีอยู่สมบูรณ์ซึ่ง ๑ เหตุ โดยส่วนเดียว เป็นความรอบรู้ทั้งความรู้และความไม่รู้ ไม่ต้องยังความเป็นไป…ให้เป็นไปต่อไปอีก

………………………………………

นิพพานธาตุ
ภาวะเดิมความมีอยู่ก่อนบัญญัติ

ชื่อว่านิพพานเพราะดับกิเลส(ตัณหาราคะ)ดับความสำคัญผิด(อวิชชา)ที่ไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่เรา (ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖)…มาเป็นเรา ของเรา

ชื่อว่าสติปัญญา เพราะมีความรู้จากการถอดถอนความไม่รู้ รอบรู้ทั้งเหตุแห่งความรู้และความไม่รู้

ชื่อว่าสติสัมปชัญญะ เพราะความรู้นั้น ทำให้ไม่ย้อนคืน(วิราคะอุปนิสัย) เป็นความรู้ตัวที่ไม่ต้องตามรักษา

ชื่อว่าความหมดจด เพราะรู้แจ้งชัดในความหมายแท้จริงแห่งพุทธดำรัส โดยไม่ต้องอาศัยนั่งร้าน[อุทานธรรม บุคลาธิษฐาน ปริศนาธรรม คำอธิบาย]…ไม่มีประเด็นใดให้ต้องเพ่งพินิจอีกต่อไป

12/05/2025

วิสัชนาธรรม: เมื่อเราไม่ใช่เรา… “เรา” คืออะไร?

สัตว์ทั้งหลายมีความเป็นอมตธาตุอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ไม่ตายนี้เอง จึงเป็นเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ด้วยความไม่รู้(อวิชชา)หลงไปยึดในสิ่งซึ่งไม่ใช่ตน เอามาเป็นตน ของตน สิ่งเหล่านั้นเป็นความต่างกันแห่งธาตุ(ธรรมธาตุ)เป็นความสมบูรณ์พร้อมในตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับ เราที่เป็นอมตธาตุ

พระพุทธเจ้าจึงใช้เหตุแห่งความไม่ตายนี้ มาชี้ให้สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ได้ตระหนักรู้(เห็น)อริยสัจทั้ง๔ ซึ่งเป็นอาการของสัตว์ผู้หลง โดยสัจจะธรรมแรกคือทุกขสัจจ์ที่รู้เห็น ก็รู้ที่ใจของเรานี้เอง เป็นอาการทุรนทุราย เสียดแทงของจิตผู้หลง เมื่อกำหนดรู้ทุกข์(มรรค) จนถึงความดับทุกข์(สละละวางตัณหา)นิโรธได้ จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม

ผู้ที่จะรู้เห็นอริยสัจทั้ง๔ ได้ ต้องเป็นผู้มีความคุ้นเคยในการสละละวาง(บารมีขั้นกลางเต็มแล้ว)ตามที่พระพุทธเจ้าแสดง ทาน ศีล ภาวนา ไว้ดีแล้ว เมื่อบารมีขั้นกลางเต็มแล้ว เดินตามมรรค ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา) จนเป็นอุปนิสัย อริยสัจจึงเป็นเหตุให้ปรมัตถ์บารมีเต็ม

สุดทางสมมุติ เมื่อหมดอาการอริยสัจ[สมุทเฉทนิโรธ] เราคืออมตธาตุ ผู้วิชชาวิมุตติ เพราะรอบรู้ธรรม(ทุกข์)พร้อมทั้งเหตุ รู้จักอาการอริยสัจ[วิชชา]จนหมดอาการ ถึงวิมุตติหลุดพ้น(สมยวิมุตติ)…มากครั้งเป็นความแก่รอบแห่งอินทรีย์[กระพี้สร้างแก่นไม้]…จนถึงความบริบูรณ์แห่งอินทรีย์[ถากเอาแก่นถือไป] ทำกิจที่พึงทำด้วยไม้แก่นของเขา เป็นวิมุตติที่ไม่กลับกำเริบอีก(อสมยวิมุตติ) เพราะเผาเชื้อกิเลส แยกสังขารออกจากจิต ดับแล้วจากใจ ทำให้รู้(เห็น)ธรรมแสดงธรรม จึงรู้จักและเป็นอิสระ มีความเอกเทศทั้งจากสังขตลักษณะและอสังขตลักษณะ เกิดปัญญาไม่ย้อนคืน [นิสรณนิโรธ]

หากจะกล่าวถึงความอมตะ โดยนัยด้วยความที่มีอยู่แล้วของสัตว์ทั้งหลาย ทุกคนจึงเข้าถึงได้ ก็ไม่ถูกซะทีเดียว ถึงแม้จะเห็นความดับของสิ่งนั้นๆ อันเป็นของหยาบ กลาง เช่นเดียวกับฤาษี ดาบส ทั้งหลาย ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศอริยสัจ๔

หากจะกล่าวเช่นนั้น ควรจะแสดงทาง เหตุปัจจัยในการสละละวาง(ทานศีลภาวนา) เพื่อความไม่เบียดเบียนต่อทั้งตนเองและผู้อื่น(ศีลสมาธิปัญญา:มรรค)จึงจะถูกโดยชอบ แก่ผู้ที่สมควรแก่ธรรมนั้นๆด้วย
เพราะจะเข้าถึงความเป็นอมตธาตุ ก็ต้องอาศัยกำหนดรอบรู้ทุกข์เป็นทาง[มรรค] จึงจะเข้าถึงได้(ฐิติภูตัง) เมื่อเข้าถึงแล้ว…พึงทำกิจที่ควรทำด้วยไม้แก่นของเขา[อุปนิสัยแห่งมรรค] ชำระตนให้หมดจดในอาการแห่งอริยสัจ (ฐิติญาณัง)

ผัสสะบังหน้าสัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว  มีผัสสะบังหน้า ย่อมกล่าวซึ่งโรค(ความเสียดแทง)นั้นโดยความเป็นตัวเป็นตน เขา...
11/05/2025

ผัสสะบังหน้า

สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะบังหน้า ย่อมกล่าวซึ่งโรค(ความเสียดแทง)นั้นโดยความเป็นตัวเป็นตน เขาสำคัญสิ่งใดโดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้นย่อมเป็นตามที่เป็นจริงโดยประการอื่นจากที่เขาสำคัญนั้น

ภิกษุ ท.! ความเกิด เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท.! การเกิด การกำเนิด การก้าวลง การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ภาวะแห่งความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้อายตนะทั้งหลาย ในจำพวกสัตว์นั้น ๆ ของสัตว์นั้น ๆ นี้เราเรียกว่าความเกิด

ภิกษุ ท.! ผัสสะ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ผัสสสมุทัย เป็นส่วนสุดข้างที่สอง ผัสสนิโรธ มีในท่ามกลาง ตัณหา เป็นเครื่องร้อยรัดให้ติดกัน ; ตัณหานั่นแหละ ย่อมถักร้อยเพื่อให้เกิดขึ้นแห่งภพนั้น ๆ นั่นเทียว.

ภิกษุ ท.! ด้วยความรู้เพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรม ที่ควรรู้ยิ่ง ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ : เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งรอบรู้ ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้อยู่, ย่อมเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในทิฏฐธรรมเทียว

ฉกุก.อ. ๒๒/๔๔๘/๓๓๒.

ลักษณะของความดับแห่งทุกข์

ผัคคุนะ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งผัสสายตนะทั้ง หลายหกประการนั้นนั่นแหละ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ; เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา; เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; เพราะ มีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมี ความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ

พ้น พ้นวิเศษ[๙๘๕] ชื่อว่า ภิกษุ ในคำว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว คือ ภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชน หรือภิกษุผู้เ...
13/04/2025

พ้น พ้นวิเศษ

[๙๘๕] ชื่อว่า ภิกษุ ในคำว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว คือ ภิกษุผู้เป็น
กัลยาณปุถุชน หรือภิกษุผู้เสขะ. คำว่า มีสติ ความว่า ความระลึก ความระลึกถึง ฯลฯ

สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ เอกายมรรค นี้เรียกว่า สติ. ภิกษุเป็นผู้เข้าถึง ฯลฯ ประกอบด้วย
สตินี้ ภิกษุนั้นเรียกว่ามีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.

คำว่า เป็นผู้มีจิตพ้นวิเศษ ดีแล้ว ความว่า

-จิตของภิกษุผู้เข้าปฐมฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากนิวรณ์ทั้งหลาย
-จิตของภิกษุผู้เข้าทุติยฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากวิตกและวิจาร
-จิตของภิกษุผู้เข้าตติยฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากปีติ
-จิตของภิกษุผู้เข้าจตุตถฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากสุขและทุกข์
-จิตของภิกษุผู้เข้าอากาสานัญจายตนฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา
-จิตของภิกษุผู้เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากอากาสานัญจายตนสัญญา -จิตของภิกษุผู้เข้าอากิญจัญญายตนฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากวิญญาณัญจายตนสัญญา
-จิตของภิกษุผู้เข้าเนวสัญญานาสัญญายตฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากอากิญจัญญายตสัญญา

-จิตของพระโสดาบัน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับวิจิกิจฉาเป็นต้นนั้น
-จิตของพระสกทาคามี พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างหยาบ และจากเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับกามราคานุสัยเป็นต้นนั้น
-จิตของพระอนาคามี พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ จากกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วนละเอียด และจากเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น
-จิตของพระอรหันต์ พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย เหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสรรพนิมิตภายนอก

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส

ที่อยู่

Rayong
21120

เบอร์โทรศัพท์

+66954539942

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวนปัญญาธรรมผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์