12/07/2025
🫒 การตลาดล้วน ๆ
ความจริงที่ถูกปิดบัง
ทำไมน้ำมันมะกอก Extra Virgin ถึงถูกบอกว่า ห้ามเอาไปทำอาหารที่โดนความร้อน
/// ถ้าคิดว่ายาว ไม่อยากอ่าน ข้ามได้เลยนะครับ กินที่ชอบที่ชอบได้เลย ไม่มีปัญหาครับ ////
ถ้าพร้อมแล้ว ลุยเลยฮะ
คำถามยอดฮิตที่เฮียโดนถามมากสุดคือ เฮียใช้น้ำมันอะไรทำอาหาร พอตอบไปว่าก็น้ำมันมะกอกแหละขวดเดียวเสียวทั้งครัว คือปกติใช้ ghee กับ มะกอก แล้วแต่หยิบอะไรได้ครับ ไม่ได้เน้นแบบตัวเกร็ง ไม่ค่อยทอดของกินด้วย พอคนฟังว่า มะกอกสกัดเย็น เนี่ยนะ เสียงออกเป็น 2 กองคือ 1.โดนด่าว่าอวดรวย (อ้าวกูก็ใช้ ghee ด้วยเว้ย) 2.ตาเหลือกว่า EVOO มันทำอาหารได้เหรอ เค้าห้ามไม่ใช่เหรอ
คำถามคือ ใครห้ามว่ะ????
เมื่อพูดถึงน้ำมันมะกอก Extra Virgin (EVOO) ในการปรุงอาหารด้วยความร้อน หลายคนจะหวั่นไหวทันทีใช่ไหมครับ ตระหนกออกหน้าออกตา เพราะถูกปลูกฝังมาว่า เห้ยยยย บ้าเหรอน้ำมันชนิดนี้ "ทนร้อนไม่ได้" และ "อันตรายต่อสุขภาพ" เมื่อนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง เฮียแม่งเอาอะไรมาแนะนำอีกแล้ว
จย จย ครับ เพราะความจริงที่ถูกปิดบังมาตลอดคือ นี่เป็นหนึ่งในการบิดเบือนข้อมูลทางการตลาดที่ร้ายแรงที่สุดในอุตสาหกรรมอาหารและน้ำมันพืชครับ
การตลาดบิดเบือนได้ใช้จุดเกิดควัน (smoke point) เป็นอาวุธทางจิตวิทยาในการหลอกลวงผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน โดยเล่นกับความกลัวเรื่องควัน ซึ่งในจิตใต้สำนึกของคนเราเชื่อมโยงกับไฟไหม้ ความเสียหาย และสารก่อมะเร็ง แต่ข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยระดับสากลกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม Extra Virgin Olive Oil ไม่เพียงแต่สามารถทนความร้อนได้ในระดับที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไป แต่ยังแสดงความเสถียรในการเกิดออกซิเดชันได้ดีกว่าน้ำมันพืชบางชนิด โดยเฉพาะน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
กลเม็ดของการตลาด คือการสร้างความรับรู้จากเมื่อควันกลายเป็นศัตรู
การตลาดรู้ดีว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เชิงลึกเรื่องเคมีของน้ำมันพืช จึงใช้จุดเกิดควันเป็นเครื่องมือหลักในการโจมตี EVOO โดยเล่นกับความกลัวเรื่องควัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเสียหายในความรู้สึกของคนทั่วไป เมื่อเราเห็นควันจากเตาแก๊ส หรือควันจากรถยนต์ เราก็รู้ทันทีว่าสิ่งนั้นไม่ดี
การตลาดจึงนำจุดเกิดควันที่ต่ำกว่าของ EVOO มาใช้เป็นหลักฐานว่าน้ำมันชนิดนี้ "ไม่เหมาะสำหรับการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง" โดยไม่เล่าให้ฟังว่าจุดเกิดควันไม่ได้เป็นตัวกำหนดความปลอดภัยของน้ำมันเลย
สิ่งที่การตลาดไม่บอกคือ จุดเกิดควันเป็นเพียงอุณหภูมิที่น้ำมันเริ่มปล่อยควันออกมา ซึ่งเกิดจากการระเหยของสารประกอบบางตัว เช่น กรดไขมันอิสระ วิตามิน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ได้หมายความว่าน้ำมันจะแตกตัวเป็นสารพิษทันทีหรือก่อมะเร็งในทันที แต่เป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นที่บ่งชี้ว่าน้ำมันกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น เวลา อุณหภูมิ และชนิดของน้ำมัน
การเกิดควันเป็นเพียงสัญญาณว่าน้ำมันเริ่มเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี แต่ไม่ได้เป็นจุดจบของความปลอดภัย
ในขณะเดียวกัน การตลาดได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกมากมาย เช่น Light Olive Oil, Pure Olive Oil, Refined Olive Oil, Cooking Olive Oil, หรือแม้แต่ Extra Light Olive Oil แล้วแต่ว่าจะสรรสร้างการตั้งชื่อกันไปอย่างไร
ที่อ้างว่าเหมาะสำหรับการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงกว่า เพราะมีจุดเกิดควันที่สูงกว่า แต่สิ่งที่ผู้บริโภคไม่รู้คือ น้ำมันเหล่านี้ผ่านกระบวนการ RBD (Refined, Bleached, Deodorized) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้สารเคมีและความร้อนสูงในการกำจัดสี กลิ่น รส และสารประกอบที่มีค่าทางโภชนาการออกไป
ความจริงที่ถูกปิดบัง สิ่งที่ผู้บริโภคจำนวนมากไม่รู้คือ น้ำมันที่ผ่านกระบวนการ RBD แม้จะใสดูปลอดภัย แต่กลับขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสารออกซิไดซ์เมื่อถูกความร้อน
กระบวนการ RBD เป็นวิธีการที่อุตสาหกรรมน้ำมันพืชใช้ในการทำให้น้ำมันมีจุดเกิดควันสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็กำจัดสารต้านอนุมูลอิสระที่มีค่าทั้งหมดออกไป ผลลัพธ์ที่ได้คือน้ำมันที่ดูใส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และควันน้อยเมื่อถูกความร้อน จึงดูเหมือน "ปลอดภัย" ทางสายตาและกลิ่น แต่ขาดเกราะป้องกันการเกิดออกซิเดชัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสารอัลดีไฮด์และไฮโดรเปอร์ออกไซด์ในระดับที่สูงขึ้น หากถูกใช้ซ้ำหรือให้ความร้อนนานเกินควร น้ำมันเหล่านี้จึงเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันอย่างรุนแรงเมื่อถูกความร้อนเป็นเวลานาน ซึ่งสารเหล่านี้เชื่อมโยงกับกลไกการอักเสบเรื้อรังในร่างกายได้ในระยะยาว แม้จะไม่แสดงผลทันทีแบบสารพิษเฉียบพลันก็ตาม
พูดง่ายๆคือ แก้ไปแค่ปัญหาเดียวคือ "การเกิดควัน" เพราะเขาทำให้คนกลัวควัน (เราต้องรู้จักควัน ไม่ใช่ไปนั่งสูดท่อไอเสียรถแล้วฟินว่า โพลีฟีนอลจ๋า )
การแปรรูปทำให้น้ำมันถูกใช้ได้นานขึ้น และยังทำให้เป็นไปได้ที่จะให้ความร้อนกับน้ำมันในอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับการปรุงอาหาร อย่างไรก็ตาม มันเพิ่มสารเคมีและทำลายสารอาหารที่ดีในน้ำมันไปแล้ว การที่น้ำมันทนความร้อนสูงได้ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยต่อสุขภาพ เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าน้ำมันจะควันหรือไม่ แต่คือว่าน้ำมันจะสลายตัวเป็นสารพิษหรือไม่เมื่อถูกความร้อน
ในกรณีของน้ำมันมะกอก การกลั่นจะขจัดคุณลักษณะหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมะกอกออกไป รวมถึงรสชาติที่อร่อย สีที่เข้มข้น ไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี น้ำมันมะกอกกลั่นมีรสชาติ กลิ่น และลักษณะเหมือนน้ำมันอื่นๆ เช่น น้ำมันพืช
สิ่งที่น่าตกใจคือ หลายผู้ผลิตยังใช้วิธีผสมน้ำมันมะกอกกลั่น(RBD)กับน้ำมันพืชอื่นๆ(RBD) แล้วติดฉลากว่าเป็น "Olive Oil" หรือ "Light Olive Oil" หรือ ชื่ออื่นๆตามแต่จะตั้งกันไป เพื่อลดต้นทุนการผลิต ผู้บริโภคจึงได้รับน้ำมันที่ไม่มีคุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอกแท้ แต่ยังคิดว่าได้รับประโยชน์จากน้ำมันมะกอก พูดง่ายๆคือ RBD+RBD เจ้ากิน 2เด้ง
การศึกษาที่สำคัญที่สุดเรื่องนี้คือผลงานของนักวิจัยออสเตรเลียในปี 2018 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร ACTA Scientific Nutritional Health ซึ่งเปรียบเทียบความเสถียรของน้ำมันพืชมากกว่า 10 ชนิดเมื่อถูกความร้อนสูงในสภาวะการทอด นักวิจัยออสเตรเลียพบว่าน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จินเป็นน้ำมันที่ปลอดภัยและเสถียรที่สุด แม้เมื่อใช้ในอุณหภูมิสูง โดยหักล้างความเชื่อผิดๆ เรื่องการปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก ด้วยข้อมูลจากการทดลองและวัดผล
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า EVOO ผลิตสารพิษจากความร้อนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันพืชอื่นๆ รวมถึงน้ำมันคาโนลา น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันข้าวโพด แม้ว่าจะมีจุดเกิดควันที่ต่ำกว่าเขาเพื่อนก็ตาม การศึกษาปี 2018 ที่เปรียบเทียบน้ำมันมะกอกกับน้ำมันอื่นๆ ระหว่างการให้ความร้อน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จินมีความเสถียรมากที่สุดเมื่อถูกความร้อน และผลิตสารประกอบโพลาร์ (ผลพลอยได้ที่เป็นอันตรายจากการให้ความร้อนกับน้ำมัน) น้อยที่สุด
การศึกษาอื่นๆ ยังสนับสนุนข้อมูลนี้ ในปี 2012 วารสาร Food Chemistry ได้ตีพิมพ์การศึกษาซึ่งพบว่าน้ำมันมะกอกทนทานและปลอดภัยกว่าน้ำมันดอกทานตะวันมากหลังจากการสัมผัสกับความร้อนสูงเป็นเวลานาน งานวิจัยเหล่านี้ทดสอบทั้งน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จินและน้ำมันมะกอกธรรมดา และพบว่าทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพที่ดี
ความเสถียรต่อออกซิเดชันต่างหากที่ควรตัวชี้วัดที่แท้จริง ในทางวิทยาศาสตร์
สิ่งที่ทำให้ EVOO มีความเสถียรต่อความร้อนเหนือกว่าน้ำมันพืชอื่นๆ คือองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นเอกลักษณ์ EVOO มีข้อได้เปรียบหลายประการเหนือน้ำมันพืชอื่นๆ ที่ใช้ในการปรุงอาหาร โปรไฟล์กรดไขมันและสารประกอบรองที่มีอยู่ทำให้น้ำมันมีความเสถียรภายใต้อุณหภูมิสูง น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จินอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ เช่น โพลีฟีนอล โทโคเฟอรอล และสควาลีน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการเกิดออกซิเดชันได้แม้ในอุณหภูมิสูง
โครงสร้างของกรดไขมันใน EVOO ก็มีส่วนสำคัญ น้ำมันมะกอกส่วนใหญ่ประกอบด้วยกรดโอเลอิก (oleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid) ที่มีความเสถียรมากกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fatty acid) ที่พบในน้ำมันพืชอื่นๆ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันข้าวโพด กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเสี่ยงต่อการเกิดออกซิเดชันมากกว่าเพราะมีพันธะคู่มากกว่า
แม้จะมีความเชื่อผิดๆ ทั่วไป แต่งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า EVOO มีประสิทธิภาพเหนือกว่าน้ำมันอื่นๆ เช่น คาโนลาและดอกทานตะวัน ในด้านความเสถียรต่อความร้อน โดยผลิตสารประกอบที่เป็นอันตรายน้อยกว่าเมื่อถูกปรุงในอุณหภูมิสูง EVOO มีความเสถียรสูงเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และโพลีฟีนอล
แม้จะยังไม่มีการศึกษาในระยะยาวที่แยกเฉพาะ EVOO แบบให้ความร้อนโดยตรงกับผลสุขภาพ แต่ข้อมูลปัจจุบันจากการศึกษาในครัวเรือนจริงและในห้องปฏิบัติการ สนับสนุนความปลอดภัยของ EVOO เมื่อใช้อย่างเหมาะสมนั้น มีงานวิจัยของ Guillen และ Uriarte ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry เป็นการศึกษาที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า EVOO สามารถทนต่อความร้อน 180°C ติดต่อกันเป็นเวลา 36 ชั่วโมงโดยไม่เกิดการเสื่อมสภาพอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า proton NMR (ชื่อเต็มคือ Proton Nuclear Magnetic Resonance Spectroscopy) คือเทคนิคทางเคมีวิเคราะห์ที่ใช้ศึกษาการจัดเรียงตัวของอะตอมในโมเลกุล โดยเฉพาะในส่วนของ โปรตอน (hydrogen nuclei) เทคนิคนี้ถูกใช้เพื่อติดตามว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีโครงสร้างของโมเลกุลไขมันในน้ำมันมะกอกเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อโดนความร้อน อย่างแม่นยำ
อธิบายการทำงานเพิ่มเติมประมาณนี้นะครับ คือ เจ้า Proton NMR ทำงานโดยใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงยิงเข้าไปที่ตัวอย่าง แล้วดูว่า โปรตอน (อะตอมไฮโดรเจน) ในโมเลกุล ตอบสนองต่อสนามแม่เหล็กอย่างไร โปรตอนในตำแหน่งต่างๆ กันจะ “สะท้อนสัญญาณ” ต่างกันออกมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถดูได้ว่า โมเลกุลมีพันธะอะไรบ้าง, มีสารใหม่เกิดขึ้นหรือสลายตัวหรือเปล่า,
โครงสร้างเปลี่ยนไปแค่ไหน เมื่อ EVOO ถูกให้ความร้อนนานถึง 36 ชั่วโมงที่ 180°C นักวิจัยใช้ proton NMR เพื่อตรวจดูว่าโครงสร้างของไขมันหลักๆ อย่าง กรดโอเลอิก (oleic acid) โพลีฟีนอล และกรดไขมันอิสระ มีการแตกตัวหรือแปรสภาพไปหรือไม่
โครงสร้างของไขมันยังคงเสถียรในระดับสูง มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่า EVOO ไม่ได้ “เสีย” อย่างที่ใครๆ กลัวเมื่อเอาไปใช้ปรุงอาหารร้อน และนี่เป็นเหตุผลที่มีการศึกษารับรองที่ทำให้ EVOO เสถียรกว่าน้ำมันพืชทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
การศึกษาอื่นๆ ยังพบว่า โดยการดูดซับน้ำมันนั้น อาหารที่ปรุงแล้วได้รับการปกป้องจากการเกิดออกซิเดชันเช่นกัน และได้รับการเสริมด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งเสริมสุขภาพจาก EVOO นั่นหมายความว่าการใช้ EVOO ในการปรุงอาหารไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เกิดสารพิษ แต่ยังไปช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันในตัววัตถุดิบอาหารอื่นๆ ด้วย
การหลอกลวงผ่านการตลาด ทำให้เกิดตัวอย่างของน้ำมันมะกอกทางเลือก โดยอุตสาหกรรมน้ำมันพืชได้สร้างผลิตภัณฑ์ทางเลือกมากมายที่อ้างว่าเหมาะสำหรับการปรุงอาหารด้วยความร้อนมากกว่า EVOO เช่น Light Olive Oil ที่ผ่านการกลั่นจนสีจางลง Pure Olive Oil ที่ผสมน้ำมันมะกอกกลั่นกับน้ำมันมะกอกธรรมดา Refined Olive Oil ที่ผ่านกระบวนการ RBD เต็มรูปแบบ Extra Light Olive Oil ที่ผ่านการกลั่นหนักที่สุด Cooking Olive Oil ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการปรุงอาหาร และแม้แต่ Olive Pomace Oil ที่ทำจากกากมะกอกโดยใช้ตัวทำละลายแบบที่ใช้ในน้ำมันพืชผ่านกระบวนการอื่นๆ
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนมีจุดเกิดควันที่สูงกว่า EVOO แต่ขาดสารประกอบที่มีค่าทางโภชนาการโอเคบางคนอาจยอมรับได้ว่าอยากได้แค่น้ำมันไม่ได้อยากได้สารอาหาร
แต่ที่สำคัญคือขาดสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชัน ผลลัพธ์คือน้ำมันที่ดูปลอดภัยจากภายนอก เพราะไม่ควัน แต่กลับเสี่ยงต่อการสร้างสารพิษจากกระบวนการออกซิเดชันในระดับโมเลกุล คำถามคือ คุณกำลังกลัวผิดที่แล้วมั่นใจผิดจุดหรือเปล่า?
การตลาดยังใช้คำศัพท์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น "High Heat Cooking" หรือ "Cooking Grade" เพื่อสื่อว่าน้ำมันเหล่านี้ปลอดภัยกว่าสำหรับการปรุงอาหาร ถูกผลิตมาเพื่อทำอาหารโดยเฉพาะ ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพียงน้ำมันที่ถูกกำจัดสารประกอบที่มีค่าออกไปเท่านั้น แต่คนซื้อย่อมเชื่อฉลากว่า นี่ไง เขาทำมาเพื่อสิ่งนี้ มันต้องถูกต้องสิ ฉันซื้อของถูกประเภทแล้ว
แม้จะมีการบิดเบือนข้อมูลจากการตลาด แต่องค์กรสุขภาพชั้นนำหลายแห่งได้ออกมายืนยันความปลอดภัยของการใช้ EVOO ในการปรุงอาหารด้วยความร้อน การศึกษาต่างๆ แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความเสี่ยงที่ลดลงของโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งบางชนิด และแม้แต่ภาวะสมองเสื่อมในผู้ที่บริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณที่สูงขึ้น
แม้แต่ American Heart Association ก็จัดให้น้ำมันมะกอกอยู่ในกลุ่มน้ำมันที่แนะนำในการบริโภคประจำวัน โดยเฉพาะในบริบทของการลดความเสี่ยงโรคหัวใจ มันได้รับการพิสูจน์ว่าช่วยลดความดันโลหิต และมีสารประกอบจากพืชที่ให้คุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยลดกระบวนการเกิดโรค รวมถึงโรคหัวใจ นี่เป็นการยืนยันจากองค์กรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีมาตรฐานการพิจารณาหลักฐานที่เข้มงวดมาก
ดังนั้น ถ้ากลับมาค่อยๆมองที่เหตุผลและหลักการณ์ สิ่งที่ผู้บริโภคควรกังวลจริงๆ ไม่ใช่ควันจากการปรุงอาหาร แต่คือกระบวนการอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการบริโภคน้ำมันที่ผ่านการออกซิเดชัน น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการ RBD แม้จะไม่ควัน แต่ขาดสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเสี่ยงต่อการเกิดไฮโดรเปอร์ออกไซด์(ของเสียขั้นต้นจากการออกซิไดซ์ของไขมัน), อัลดีไฮด์ (ของเสียจากไขมันที่สลายตัว เสี่ยงก่ออักเสบและทำลายเซลล์) และสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบอื่นๆ ต่างหาก
นั่นเพราะว่าการอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุหลักของโรคเรื้อรังมากมาย รวมถึงโรคหัวใจ เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งบางชนิด การที่ผู้บริโภคหลีกเลี่ยง EVOO ที่มีสารต้านการอักเสบธรรมชาติ เพื่อไปใช้น้ำมันกลั่นที่ขาดสารป้องกันเหล่านี้ จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว
สิ่งที่ควรเอ๊ะคือ การเลือกใช้อย่างมีความรู้ครับ
ผู้บริโภคที่มีความรู้ควรเลือกใช้น้ำมันจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ครบถ้วน ไม่ใช่จากข้อมูลการตลาดที่บิดเบือน EVOO แท้ที่ผลิตดี เก็บรักษาดี และใช้อย่างถูกวิธี เป็นน้ำมันที่ให้ประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านรสชาติ โภชนาการ และความปลอดภัย การกลัวควันจนหลีกเลี่ยง EVOO เป็นการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางการตลาด
เมื่อเลือกใช้ EVOO ควรเลือกจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ มีการรับรองคุณภาพ และเก็บรักษาในที่เย็นมืด ในการปรุงอาหาร สามารถใช้ EVOO ได้ในอุณหภูมิการปรุงอาหารทั่วไป รวมถึงการผัด ทอดเบาๆ หรือย่าง
ส่วนคนที่อยากทอดแบบ deep เลยนี่ คุณมานั่งมองแค่ควัน แค่น้ำมันไม่พอแล้ว เพราคุณเล่นไม่สนใจกระบวนการ AGEs เลย (ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วยังไม่รู้ว่า AGEs คืออะไร อยากจะบอกว่า กูเกิลด่วนๆ คุณแม่งพลาดแล้ว)
ถึงตรงนี้ น่าจะเข้าใจแล้วนะครับว่า
Extra Virgin Olive Oil ใช้ทำอาหารได้ปกติ
อย่าลืมนะครับว่า ทั้งหมดนี้เริ่มจากคำว่า "น้ำมันมะกอกสกัดเย็น ใช้ทำอาหารไม่ได้ มันอันตราย เราจะต้องใช้น้ำมันมะกอกที่ refine มาเพื่อทำอาหารโดยเฉพาะเท่านั้น"
แล้วเขาก็แนะนำ น้ำมันมะกอกที่ "ผ่านกระบวนการ" หรือ/และ "ผสมน้ำมันผ่านกระบวนการ" เพื่อลดกลิ่น ลดควัน แต่เพิ่มความเปราะบางทางการออกซิเดชันเข้ามาแทน
ดังนั้นถ้าจะบอก ใช้แล้วเหม็นมะกอก ใช้แล้วแพง จะไปเลือกแบบ "ผ่านกระบวนการ" ก็ย้อนไปอ่านประโยคแรกของบทความอีกทีนะครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ชีวิตเป็นของคุณ :)
ผมมาบอกแค่ว่า "มันทำได้" ไม่ใช่ "ห้ามทำ" ส่วนชอบไม่ชอบ มันเรื่องของคุณครับ
#กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก