ร้านยาเภสัชกรขวัญเรือน

ร้านยาเภสัชกรขวัญเรือน จำหน่ายและให้คำปรึกษาเรื่องยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยเภสัชกร

โรคมือ เท้า ปาก>>>  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่ม Human enteroviruses โดยเชื้อในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยคือ Coxsackieviruses  เป...
02/08/2025

โรคมือ เท้า ปาก
>>> เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่ม Human enteroviruses โดยเชื้อในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยคือ Coxsackieviruses เป็นโรคที่พบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝน อากาศเย็นและชื้น กลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อยคือเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

การติดต่อโรคมือ เท้า ปาก การสัมผัสโดยตรงกับ น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ น้ำในตุ่มพอง หรือแผลของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัส หรือโดยอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ

การแพร่เชื้อ มักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อออกมามาก

ระยะฟักตัว ปกติประมาณ 3 - 6 วัน

อาการแสดงที่พบบ่อยของโรคมือ เท้า ปาก

ผู้ป่วยมักมีไข้ เจ็บปาก กลืนน้ำลายไม่ได้ น้ำลายไหล มีตุ่มแผลตื้นๆในปาก มักพบที่เพดานอ่อน ลิ้น กระพุ้งแก้ม ร่วมกับพบผื่นตุ่มพองใส หรือเม็ดแดงๆ บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือรอบทวารหนัก บางครั้งอาจมีผื่นตามลำตัว แขนขา เข่าได้ อาจมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลวร่วมด้วย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยอาการมักไม่รุนแรง สามารถหายป่วยได้เอง ไข้มักจะหายใน 2 - 3 วัน และผื่นจะค่อยๆดีขึ้นใน 7 - 10 วัน ส่วนน้อยที่มีอาการโรครุนแรง พบประมาณ 0.05% - 1% อาการรุนแรงมักเกิดจากเชื้อ Enterovirus 71

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เยื่อบุสมองอักเสบ สมองอักเสบ แขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน เป็นต้น
ระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต เช่น ภาวะน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
คำแนะนำการดูแลเด็กโรคมือ เท้า ปาก

โดยทั่วไปสามารถหายได้เอง เป็นการรักษาตามอาการและเฝ้าระวังอาการที่รุนแรง
การรักษาตามอาการ ได้แก่ เช็ดตัวและให้ยาลดไข้ กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร
ให้อาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัด และสามารถรับประทานของเย็น เช่น ไอศกรีมได้ แยกภาชนะในการดื่มน้ำและการรับประทานอาหาร
ในบางรายที่มีอาการเจ็บปากมาก อาจมีการให้ยากลุ่ม xylocaine viscus ทาแผลในปากเพื่อลดอาการเจ็บ
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 5 - 7 วัน
หากผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบกลับมาพบแพทย์ทันที

ไข้สูง โดยเฉพาะมากกว่า 39 องศาเซลเซียส และนานกว่า 48 ชั่วโมง
กระสับกระส่าย ร้องกวนตลอดเวลา
อาเจียนบ่อย ๆ รับประทานไม่ได้หรือรับประทานได้น้อยมาก
มีอาการทางระบบประสาท ได้แก่ ซึม การกลอกตาที่ผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ไม่รู้สึกตัว ปวดศีรษะอย่างรุนแรง แขนขาอ่อนแรง
ตัวลาย ซีด
หอบเหนื่อย
การป้องกันโรคมือเท้าปาก

แยกเด็กป่วยให้พักอยู่บ้านไม่ไปสัมผัสผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพาเด็กป่วยไปสถานที่ชุมชนจนกว่าตุ่มหรือผื่นแห้ง ประมาณ 7 - 10 วัน
เน้นเรื่องการล้างมือ ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งหลังสัมผัสผู้ป่วย หลังขับถ่ายหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก และก่อนรับประทานอาหาร
ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป สามารถกำจัดเชื้อได้
ไม่ใช้อุปกรณ์รับประทานอาหาร หลอดดูด แก้วน้ำ หรือของเล่นที่อาจปนเปื้อนน้ำลายร่วมกัน
ทำความสะอาดของเล่นที่อาจเอาเข้าปาก หรือสัมผัสสารคัดหลั่งด้วยสบู่หรือผงซักฟอก สำหรับพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อมาก ให้ใช้น้ำยาคลอร็อกซ์ หรือน้ำยาฟอกขาว 0.5 - 1%
ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปาก สายพันธุ์ 71 ป้องกันการติดเชื้อ Enterovirus 71 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรครุนแรง แต่วัคซีนไม่สามารถป้องกันไวรัสชนิดอื่นที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก ได้ ฉีดในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี 11 เดือน โดยฉีด 2 เข็ม ระยะห่างกัน 1 เดือน

ข้อมูล : https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/hand-foot-and-mouth-disease?fbclid=IwY2xjawL6eeRleHRuA2FlbQIxMABicmlkETF2bmZRdlczVFRkOGtnWnFOAR6s9wPBhouU388Mafhfuw1lJLyism4I6xNrh5lAZnoQfNoonWoiCHjC5PXEiA_aem_RI01sn1mon9SLWZr7V_Qbg

HERE ARE THE FACT.
01/08/2025

HERE ARE THE FACT.


31/07/2025


30/07/2025

ยาปฏิชีวนะ ใช้ให้ถูก ปลอดภัย ไม่เสี่ยง

29/07/2025
โรคกระดูกพรุน (osteoporosis)กระดูกพรุน ดูแลก่อน ป้องกันได้     โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเน...
29/07/2025

โรคกระดูกพรุน (osteoporosis)

กระดูกพรุน ดูแลก่อน ป้องกันได้
โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเนื้อกระดูก ที่เกิดเนื่องจากมีความไม่สมดุลในกระบวนการปรับรูปเซลล์กระดูก โดยเซลล์สลายกระดูกทำงานมากกว่าเซลล์สร้างกระดูก ทำให้มวลกระดูกมีความหนาแน่นลดลง เนื้อกระดูกบางลง มีความแข็งแรงน้อยลง และมีความเปราะเพิ่มขึ้น โดยการสร้างและการสลายกระดูกเป็นกระบวนการซับซ้อนและเกิดขึ้นตลอดช่วงชีวิต

ในวัยเด็ก การสร้างกระดูกเกิดมากกว่าการสลาย มวลกระดูกจึงเพิ่มขึ้นตามอายุ จนมีความหนาแน่นกระดูกสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 25-30 ปี เนื้อกระดูกจะคงที่จนถึงช่วงอายุประมาณ 35-40 ปี จากนั้นเมื่ออายุมากขึ้น หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน การสร้างกระดูกเกิดน้อยลง และไม่สมดุลกับการสลายที่เพิ่มขึ้น ทำให้มวลกระดูกลดลงเรื่อย ๆ จนเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก โดยเฉพาะการหักในตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อสะโพก

โรคกระดูกพรุนมีอาการอย่างไร

โรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญในผู้สูงอายุและเป็นภัยเงียบ เนื่องจากไม่มีอาการแสดงใด ๆ มีเพียงแต่เนื้อกระดูกบางลง ทั้งนี้ กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ก็เมื่อเกิดกระดูกหัก ซึ่งมักเกิดตามหลังอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น หกล้ม ตกบันไดตกจากเก้าอี้ บางครั้ง ผู้สูงอายุที่มีการไออย่างรุนแรง หรือก้มยกของก็อาจทำให้กระดูกสันหลังยุบได้

ผู้ใดบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน

โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี แต่ในเพศหญิงอาจเริ่มตรวจพบได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี หรือภายหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว 5-10 ปี เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งปกติจะช่วยทำหน้าที่พยุงความหนาแน่นของกระดูกไว้ โดยแบ่งตามปัจจัยเสี่ยงออกเป็น

ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น อายุมากขึ้น เพศหญิง ชนชาติเอเชีย มีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระดูกพรุน หรือ บิดามารดามีประวัติกระดูกข้อสะโพกหัก
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ เช่น
น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ดัชนีมวลกาย (BMI) ต่ำกว่า 19 กิโลกรัม/ตารางเมตร
ผู้หญิงหมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี หรือตัดรังไข่ 2 ข้าง
สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ
รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชายลดลงช่วงวัยทอง ฮอร์โมนไทรอยด์สูง ต่อมพาราไทรอยด์และต่อมหมวกไตทำงานมากผิดปกติ
มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคข้อ โรคตับ โรคไต โรคมะเร็งบางชนิด โรคทางเดินอาหาร

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุน

การวินิจฉัยทำได้โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย ตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density ; BMD) ร่วมกับ การตรวจค่าทางชีวเคมีของกระบวนการสร้างและการสลายของกระดูก ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ทำให้วางแผนการรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม

ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระดูกพรุน

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดของโรคกระดูกพรุนคือการเกิดกระดูกหัก กระดูกที่หักเหล่านี้ส่งผลให้เกิดเคลื่อนไหวได้ลดลง ช่วยเหลือตัวเองลำบาก ปวดหลังเรื้อรัง หลังโกง หลังค่อม ส่วนสูงลดลง เสียสมดุลการเดิน เดินไม่ได้/พิการ แผลกดทับ (กรณีเป็นผู้ป่วยติดเตียง) และการทำงานของอวัยวะภายในช่องท้องและทรวงอกผิดปกติ หรือบางครั้งนำไปสู่การเสียชีวิต โดยทุกๆ 3 วินาที จะมีภาวะกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนเกิดขึ้น

จะรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร
แพทย์ผู้รักษาจะประเมิน อธิบาย และตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและ/หรือ ญาติ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย โดยยาต้านโรคกระดูกพรุนในปัจจุบันมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ยากลุ่มที่ลดการสลายกระดูก และยากลุ่มที่เสริมสร้างมวลกระดูก
- ยาที่ช่วยลดการสลายของกระดูก (Antiresorptive agents) ซึ่งมีทั้งชนิดรับประทาน (สัปดาห์ละเม็ด หรือ เดือนละเม็ด) ชนิดฉีดที่ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าเส้นเลือดดำ
- ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic agents) ยาชนิดนี้จะฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังทุกวัน และในปัจจุบันยังมียาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ทั้งลดการสลายกระดูกและกระตุ้นการสร้างกระดูกโดยฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังทุกเดือนอีกด้วย

*** วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนหรือไม่

การป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือการทำให้กระดูกมีความแข็งแรง โดยการเสริมสร้างมวลกระดูกตั้งแต่วัยเด็กและทำให้มวลกระดูกมีค่าสูงสุดในช่วงอายุที่ควรมีความหนาแน่นของมวลกระดูกสูงที่สุด เป็นการสะสมต้นทุนให้กระดูกแข็งแรง และมีคุณภาพที่ดีในวัยผู้ใหญ่ จากนั้นความหนาแน่นของมวลกระดูกเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ เมื่อเข้าสู่วัยทองหรือวัยสูงอายุ ผู้สูงอายุจะมีความเสื่อมถอยของร่างกาย มีโรคประจำตัว และใช้ยาหลายชนิด จึงมีโอกาสหกล้มง่าย และเกิดกระดูกหักได้บ่อย ดังนั้น ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนสำหรับประชาชนทุกวัย คือ

ออกกำลังกายที่เหมาะสมที่เป็นการลงน้ำหนัก และมีการใช้แรงต้าน ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เช่น วิ่งเหยาะ เดินสลับวิ่ง เต้นแอโรบิก เดินขึ้นบันได ยกน้ำหนัก วอลเลย์บอล ฟุตบอล บาสเกตบอล กระโดดเชือก เป็นต้น ในกรณีผู้สูงอายุ ไม่ควรวิ่ง หรือเล่นกีฬาหนักๆ แต่ควรออกกำลังกายที่เบาลง ได้แก่ การเดิน วิ่งเหยาะ รำมวยจีน รำจี้กง รำไท้ฉี
รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็กที่ทานได้ทั้งกระดูก นม โยเกิร์ต ชีส ถั่วเหลือง ผักใบเขียว และธัญพืช เป็นต้น
ออกไปรับแสงแดดอ่อนๆ ช่วงเช้า หรือช่วงเย็นที่แดดไม่แรงมาก 15-20 นาที 3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อสังเคราะห์วิตามินดี จะช่วยให้แคลเซียมในร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดได้ดียิ่งขึ้น โดยเวลาที่เหมาะสม คือ 6.00 – 9.00 น. และ 16.00 – 18.00 น.
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์/กาแฟเกินขนาดเป็นประจำ และสูบบุหรี่ จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลงเพิ่มการสลายกระดูก และเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มจากอาการมึนเมาได้
แนะนำตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะชายวัย 50 ปีขึ้นไป หรือผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ควรมีการตรวจวัดมวลกระดูกเพื่อคัดกรองโรคกระดูกพรุน
ปรับสิ่งแวดล้อมในบ้านเพื่อลดโอกาสการหกล้ม เช่น เก็บสายไฟไม่ให้เกะกะตามพื้นเพื่อมิให้สะดุดสายไฟ เช็ดพื้นที่เปียกน้ำทันทีติดแผ่นยางกันลื่นในพื้นห้องน้ำ ติดแสงไฟให้สว่างเพียงพอ เปลี่ยนแว่นสายตาหากมองภาพไม่ชัด จัดพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสม

Cr.ข้อมูล รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

29/07/2025



กองทัพภาคที่ 2 รายงานฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พบการก่อกวนและการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในหลายพื้นที่ ฝ่ายไทยตอบโต้กลับตามสถานการณ์ ด้านการพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ โฆษก ทบ. เผยยังคงมีความพยายามดำเนินการ

กองทัพบก ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยหลังจากฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงหลังเวลา 24.00 น. และเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ในแนวหน้าอย่างใกล้ชิด
หน่วยทหารในพื้นที่ได้รายงานพบการปฏิบัติทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในหลายเหตุการณ์ตลอดคืนจนถึงช่วงเช้า โดยพบการก่อกวนและใช้อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามาในพื้นที่ฝ่ายไทย ในหลายพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ช่องบก, พื้นที่ช่องอานม้า, พื้นที่ซำแต, พื้นที่ปราสาทตาควาย และพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งฝ่ายไทยได้ตอบโต้ตามสถานการณ์ โดยใช้กำลังในแนวหน้าและอาวุธยิงสนับสนุน เพื่อยับยั้งการปฏิบัติดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา จากกรณีดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ว่า “ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งความสงบ ลดความตึงเครียด และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ
แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึง กำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว
ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตรการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล”
นอกจากนี้โฆษกกองทัพบกยังได้เปิดเผยถึงกำหนดการพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ของ
ทั้งสองฝ่ายที่มีแผนพบกันในช่วงเช้าของวันนี้ว่า “ยังคงมีความพยายามในการเดินหน้าพบปะพูดคุยกันของผู้นำทางทหารทั้งสองประเทศ โดยในขณะนี้ทราบว่ามีการปรับเวลาเป็น 10.00 น. ส่วนรายละเอียดอื่นๆจะได้มีการเปิดเผยให้ทราบอีกครั้ง” .......................................
ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก, 29 กรกฎาคม 2568

28/07/2025

ก่อนเจรจา…ขอความจริงใจ ❤️

ในขณะที่แนวหน้ายังปะทะเดือด
เลือดของทหารกล้ายังหลั่งไหลเพื่อปกป้องแผ่นดิน…
ประชาชนไทยจำนวนมากยังไม่รู้แม้แต่เงื่อนไขของการ “หยุดยิง”

จะพูดถึง “โต๊ะเจรจา” ได้อย่างไร…
• หากความจริงยังไม่ถูกเอ่ย
• หากคำโกหกยังลอยอยู่ในสนามรบ
• หากไม่มีใคร “รับผิด” กับการลั่นไกก่อน

❝ เพราะในเมื่อเลือดยังหลั่ง…
อย่าหวังจะล้างมันด้วย “คำพูดที่ปราศจากความจริง” ❞

หยุดยิง…กี่โมง?
แล้วใคร “ยิงก่อน”?

บอกโลกว่าต้องการสันติ…แต่สั่งทหารยิงไม่ยั้ง

บอกโลกว่าต้องการเจรจา…แต่ไม่กล้ายอมรับความจริงว่า…ทหารกัมพูชายิงประชาชนผู้บริสุทธิ์

Before Talks Begin… Let Truth Come First

While the frontlines still burn with gunfire, and Thai soldiers continue to shed blood defending their land…
the Thai people are left in the dark — unaware of even the basic terms of the so-called “ceasefire.”

How can we speak of “peace talks”…
• when the truth has yet to be told?
• when lies still linger on the battlefield?
• when no one has taken responsibility for the first shot fired?

❝ As long as blood is still being shed, don’t expect to wash it away with words empty of truth. ❞

What time did the ceasefire begin? And who fired first?

You tell the world you want peace…but you order your soldiers to fire without restraint.

You say you seek dialogue…
but you won’t admit the truth —
that Cambodia soldiers fired on innocent Thai civilians.



#อาชญากรสงคราม
#กัมพูชายิงก่อน
#ยุทธบดินทร์

 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด  Condemning to Cambodia.
24/07/2025

#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด

Condemning to Cambodia.

นิ้วล็อกTrigger Fingerนิ้วล็อก คือ การอักเสบของเยื่อหุ้มเส้นเอ็นบริเวณโคนนิ้วมือ เวลาขยับนิ้วอาจรู้สึกเหมือนมีการ “คลิก”...
04/07/2025

นิ้วล็อก
Trigger Finger

นิ้วล็อก คือ การอักเสบของเยื่อหุ้มเส้นเอ็นบริเวณโคนนิ้วมือ เวลาขยับนิ้วอาจรู้สึกเหมือนมีการ “คลิก” หรือ “กระตุก” และบางครั้งนิ้วจะล็อกค้างอยู่ในท่ากำหรืองอ

>>> สาเหตุของนิ้วล็อก
พิมพ์งานติดต่อกันหลายชั่วโมง
ซักผ้าและบิดผ้าบ่อย ๆ
การหิ้วของหนัก
การจับปากกาที่แน่น ๆ เช่น เทนนิส แบดมินตัน
เล่นมือถือเป็นเวลานาน

>>> อาการของนิ้วล็อก เป็นอย่างไร
ระยะที่ 1: ปวดบริเวณโคนนิ้วมือแต่ยังไม่มีการสะดุด ระหว่างการเคลื่อนไหวนิ้ว รู้สึกตึงและเจ็บเล็กน้อยบริเวณโคนของนิ้วมือ
ระยะที่ 2: ติดขัดขณะขยับนิ้ว และอาจรู้สึกว่ามีเสียง “คลิก” ระหว่างที่งอและเหยียดนิ้ว
ระยะที่ 3: นิ้วติดล็อก แต่ยังสามารถเหยียดออกได้ โดยการใช้มืออีกข้างช่วยแกะ
ระยะที่ 4: นิ้วล็อกค้างถาวร ไม่สามารถขยับได้เอง และมีอาการปวดตลอดเวลา

>>> การรักษาอาการนิ้วล็อก
ระยะ 1-2
การกินยาแก้ปวด
พักการใช้งานของนิ้ว
อาจพิจารณาอุปกรณ์ดามนิ้วเพื่อป้องกันการใช้งานของนิ้ว
อาจมีการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เลเซอร์
ระยะ 3-4
การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่
ผ่าตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่หนาตัวให้เปิดขยายขึ้น และทำให้เส้นเอ็นขยับได้คล่องตัวขึ้น
การป้องกันนิ้วล็อก
ไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือถือโทรศัพท์นานจนเกินไป
ไม่หิ้วของหนักเกินไป
ไม่หัก ดีด หรือเหยียดนิ้ว
หลีกเลี่ยงการซักผ้าด้วยมือ
นำผ้ามาพันรอบด้ามอุปกรณ์กีฬา


ข้อมูลโดย : โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่อยู่

ตำบลน้ำคอก อำเภอเมืองระยอง ถนนระยอง-บ้านค่าย
Rayong
21000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ร้านยาเภสัชกรขวัญเรือนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ร้านยาเภสัชกรขวัญเรือน:

แชร์