ชีวิตธรรมดาของฉันในวัย 30+ ก็แบบนี้แหละ

ชีวิตธรรมดาของฉันในวัย 30+ ก็แบบนี้แหละ ความธรรมดา และบางครั้งการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ไร้ความหมายนักหรอกนะ

อาจโดนใจใครหลายคน
24/05/2024

อาจโดนใจใครหลายคน

4 สิ่งทำให้ชีวิตมีความหมาย คุณทำได้ตั้งแต่วันนี้ / HND! โดย นิ้วกลม

06/05/2024

เราไม่สามารถ
อ่านฉลากข้างขวดได้
ถ้าเราติดอยู่ในขวด
เสียเอง

27/03/2024

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น กามูส์ได้ยกตัวอย่าง

ตำนานของฮีโร่กรีกอย่าง ซิซิฟัส ผู้พยายามโกงความตายด้วยการจับเทพแห่งความตายมัดขังไว้ จนทำให้ในช่วงเวลานั้นไม่มีมนุษย์คนใดบนโลกคนใดถึงแก่ความตายเลย เพื่อเป็นการลงโทษ เทพผู้ครองโลกแห่งความตายอย่างเฮเดส จึงลงโทษให้ซิซิฟัสมีชีวิตนิรันดร์ดังที่เขาต้องการ

แต่มาพร้อมกับคำสาปที่ซิซิฟัสต้องกลิ้งหินก้อนใหญ่ขึ้นไปบนยอดเขาทุกวัน
และเมื่อใดที่ซิซิฟัสกลิ้งหินใกล้ถึงยอดเขา มันก็จะกลิ้งกลับลงมาที่ตีนเขา
ซิชิฟัสจึงต้องเข็นหินขึ้นภูเขาเช่นนี้ไปตลอดกาล

กามูส์ยกตำนานซิซิฟัสมาชี้ให้เห็นถึงความตลกร้ายของการมีชีวิต
เขาเปรียบเทียบชะตากรรมของชิชิฟัสกับมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่ต้องทำงานน่าเบื่อในโรงงานหรือออฟฟิศวันแล้ววันเล่า
แม้จะน่าเบื่อและซ้ำซาก แต่นั่นแหละคือชีวิตเท่าที่เราจะมีได้ ไม่มีมากไปกว่านั้น
แม้จะตลกร้าย แต่ก็ดีกว่ากลายเป็นโศกนาฏกรรม

ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราเงยหน้าจากงานขึ้นมาตั้งคำถามว่า ชีวิตมีความหมายมากไปกว่านี้หรือไม่?

แล้วพบกับความจริง อันน่าหดหู่ใจว่า “ไม่มี”

ด้วยเหตุนี้ กามูส์จึงสรุปว่าเมื่อซิซิฟัสยอมรับก้อนหินนั้นในฐานะชะตากรรมของเขา และทำสิ่งที่เขาต้องทำไปในแต่ละวัน

นั่นเองที่ชิซิฟัสได้เผชิญหน้ากับความจริง
และเป็นเจ้าของชะตากรรมของตนเอง

กามูส์ได้ปิดท้ายข้อคิดของเขา

ซึ่งเป็นบทสรุปของคำถามเรื่องความหมายของชีวิตว่า

"ในท้ายที่สุด เราต้องจินตนาการว่า ชิชิฟัสมีความสุข" ("one must imagineSisyphus happy.")

27/03/2024

ความตลกร้ายของชะตากรรมร่วมของมนุษย์ ผู้ซึ่งอาจใช้เวลาทั้งชีวิตในการค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ ทั้งที่จริงแล้วการมีชีวิตอยู่นั้น 'ปราศจากความหมาย'

คนที่คิดปรัชญาแห่งความตลกร้ายนี้คือ อัลแบต์กามูส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสสายอัตถิภาวนิยม ชีวิตนั้นไร้ความหมาย ทุกสรรพสิ่งล้วนไร้ความหมาย

แต่กามูส์กลับคีบบุหรี่เข้าปากแล้วยักไหล่ว่า 'ก็การไร้ความหมายนั่นแหละคือชีวิต'

หมายความว่าอย่างไร? กามูส์อธิบายว่าชีวิตเป็นเรื่องตลกร้าย ในขณะที่เราก่อร่างสร้างชีวิตด้วยความหวังถึงอนาคตในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้กลับพาเราเข้าใกล้ความตายไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูตลกร้ายและไม่เมกเซนส์เอาเสียเลย

ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะพยายามทำความเข้าใจชีวิตและความเป็นไปของโลกด้วยการใช้ตรรกะเหตุผลได้อย่างไร?

กามูส์อธิบายว่า การพยายามหาเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ รังแต่จะยิ่งพบว่า ชีวิตนั้นไร้เหตุผลและความหมาย ซึ่งจะทำให้เราหดหู่ไปเปล่า ๆ (จนอาจนำไปสู่การ 'จบชีวิต' ได้)

แล้วเราจะใช้ชีวิตที่ว่างเปล่าและไร้ความหมายได้อย่างไร? กามูส์ตอบว่า

วิถีทางที่ดีที่สุดก็คือ ”การเผชิญหน้ากับความจริงว่าชีวิตของเรานั้นไร้ความหมาย“
เมื่อนั้นแหละที่เราจะได้เป็นอิสระจากการ ดิ้นรนตามหาความหมายใด ๆ
(ที่หาไปก็ไม่เจอเพราะไม่มีอยู่จริง)
แล้วยอมรับสิ่งใด ๆ ก็ตามที่โลกอันไร้เหตุผลนั้นจะมอบให้เรา แม้กระทั่งความทุกข์ทนของชีวิต

ทำบุญผ่านธนาคาร ลดหย่อนภาษี auto เข้าสรรพากร บางรายการได้2เท่า ได้บุญ ลดหย่อนเป็นผลพลอยได้มะเร็ง ตับ หัวใจ ทำๆไป
21/03/2024

ทำบุญผ่านธนาคาร ลดหย่อนภาษี auto เข้าสรรพากร บางรายการได้2เท่า
ได้บุญ ลดหย่อนเป็นผลพลอยได้
มะเร็ง ตับ หัวใจ ทำๆไป

19/03/2024

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
สิ่งที่เราทำได้คือ
ทำในสิ่งที่ทำได้

https://www.facebook.com/share/p/zmEKBhoEr1kVcAEN/?
14/03/2024

https://www.facebook.com/share/p/zmEKBhoEr1kVcAEN/?

เราไม่สามารถสอนให้คนเกิด empathy ได้
Paper ของ Carol M. Davis หยิบยกประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับ empathy ระหว่างเหล่า professional individuals ไม่ว่าจะเป็น Rogers หรือ Stein
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ empathy หรือความเห็นอกเห็นใจนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้
จริงๆตอนสมัยเรียนป.ตรีก็เคยแอบสงสัยว่าเราไม่เคยพูดถึง empathy อย่างลงลึก เพียงแต่พูดให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่าง empathy และ sympathy เท่านั้น หรือแม้แต่การพูดถึงการให้เราพยายาม put yourself in others' shoes หรือ พยายามให้เราลองมองมุมมองของคนอื่นดูบ้างว่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร
อย่างที่เคยกล่าวถึง
Empathy หรือ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คือ การที่เราสามารถจะเข้าใจความรู้สึกหรือมุมมองของคนอื่นๆผ่านประสบการณ์ของเขาโดยไม่เอาประสบการณ์ของเราไปตัดสิน
ทว่า การที่เราจะสามารถเข้าใจมุมมองคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เช่น
การที่คนรวยจะเข้าใจมุมมองของคนจน
คนขาวจะเข้าใจมุมมองของคนผิวสี
ทั้งนี้เป็นเพราะ ความเหมือน จุดร่วม หรือ ประสบการณ์ที่เขามีนั้นแตกต่างกันมากเกินไป

แต่ถ้าหากเรามีวุฒิภาวะ (maturity) ความสามารถในการจินตนาการถึงมุมมองของผู้อื่นก็จะมากขึ้น
วุฒิภาวะ (maturity) เกิดจากการที่เราเห็นคุณค่าในตัวเอง เชื่อมั่นและมั่นใจในความสามารถรวมถึงสิ่งที่ตนเองมี

ในขณะที่วุฒิภาวะ (maturity) จะลดทอนลงเมื่อเราเกิด "ความรู้สึกวิตกกังวล" "ความสงสัยในตนเอง" "รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ"

ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะจินตนาการมุมมองของผู้อื่นหรือสิ่งที่ผู้อื่นกำลังรู้สึกได้
ใน paper เขากล่าวไว้ดีมากเลยว่า
จริงๆการที่เราทำงานเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ แล้วอาจารย์พยายามให้เราฝึก listening skill เพิ่ม self-awareness หรือแม้แต่การฝึกฝน therapeutic skills อื่นๆนั้น ไม่ใช่เพราะต้องการสร้างให้เราเกิด empathy หรอก

"เพราะ...empathy ไม่สามารถสอนให้รู้สึกได้"

แต่...เพื่อลดความรู้สึกด้านลบต่างๆเกี่ยวกับตนเอง ลดความรู้สึกวิตกกังวล ลดความไม่มั่นใจ เพราะความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เราไม่สามารถที่จะรู้สึก empathy ได้

เมื่อไม่มีความรู้สึกไม่ดีภายในจิตใจ ณ ขณะนั้น เราก็สามารถที่จะรู้สึก empathy ได้อย่างเต็มที่...

24/02/2024
02/02/2024
30/01/2024

15 ข้อที่ชอบ
ของหนังสือ
"คนที่เราควรจะดีด้วยที่สุดก็คือตัวเราเอง"

1. ไม่มีสิ่งใดจะตักเตือนเราได้
นอกจากตัวเราที่ได้รับความเจ็บปวด
จากการกระทำของตัวเอง

2. เราไม่ได้ใช้ชีวิต
เพื่อให้คนทุกคนบนโลกพอใจ
เราใช้ชีวิตเพื่อให้ตัวเองมีความสุขต่างหาก

3. พาตัวเองไปอยู่กับคนที่ทำให้เราสบายใจ
และมองเห็นคุณค่าในตัวเรา
อย่าอยู่กับใครที่ทำให้เรา
ต้องรู้สึกคุณค่าลดลง

4. ความรักที่ดีจะสนับสนุนให้เรารักตัวเอง
และอยากเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น

5. เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิต
แต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือบริหารความรู้สึกตัวเอง

6. อย่าคล้อยตามคำพูดของคนอื่น
แต่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง
ว่าเราทำได้ และจะทำได้ดีด้วย

7. ถ้าครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนสำหรับทุกคน
ความรักก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเหมือนกัน
ตัวเราเองต่างหาก ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

8. เราทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องที่แตกต่างกันไป
แต่เราสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้
และเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

9. การใช้ชีวิตในแต่ละวันมันยากอยู่แล้ว
อย่าปล่อยให้คำพูดของคนอื่น
ทำให้ชีวิตเรายากขึ้นกว่าเดิมสิ

10. ไม่ต้องยิ้มให้กับทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต
หากวันหนึ่งจะอ่อนแอ
ก็ให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

11. การรักตัวเองไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว

12. เราย้อนเวลาไม่ได้ เร่งเวลาก็ไม่ได้
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
จงใช้วินาทีนี้ให้คุ้มค่าที่สุดก็พอ

13. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ขอให้เราซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง

14. ถึงจะไม่มีใครรักเรา
เราก็อย่าลืมรักตัวเอง

15. อย่าฝากความสุขไว้ที่ใคร
และอย่าให้ใครเป็นคนกำหนดความสุขของเรา

20/01/2024

รู้จัก Loud Budgeting เทรนด์ใช้ชีวิต “อวดความประหยัด” ที่มาแรงตั้งแต่ต้นปีนี้ /โดย ลงทุนเกิร์ล
หนึ่งในเทรนด์มาแรงที่สุดในปี 2023 คือ Quiet Luxury หรือเทรนด์ความหรูหรามีระดับแบบเรียบง่าย ไม่ต้องใช้โลโกของแบรนด์ ตะโกนบอกคนอื่น ๆ ว่าของชิ้นนั้นมีราคาแพง

แต่ใช้คุณภาพ ความเรียบหรู และการออกแบบที่เหนือกาลเวลา เป็นสิ่งที่บ่งบอก “ความแพง” ของสิ่งของชิ้นนั้นแทน

แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2024 Quiet Luxury ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจมาทั้งปี กำลังโดนเทรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า “Loud Budgeting” เข้ามาทดแทน

แล้ว Loud Budgeting คืออะไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

Loud Budgeting ก็คือ แนวคิดการใช้เงินรูปแบบใหม่ ที่ตอนนี้กำลังได้รับการพูดถึงในกลุ่มคน Gen Z และมิลเลนเนียลส์

ซึ่งเป็นแนวคิดที่บอกว่า “จะใช้เงินไปกับสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่า และเห็นถึงความสำคัญเท่านั้น”

โดยไม่ได้ใช้เงินไปกับการสร้างภาพลักษณ์ หรือการยกระดับสถานะทางสังคมเพื่อให้ตัวเองดูดี ซึ่งเป็นความกดดันที่เกิดขึ้นจากค่านิยมของสังคม อีกต่อไป

หรือเรียกง่าย ๆ ว่า แทนที่จะอวดความรวย กลับหันมาอวดความประหยัดแทน

แล้วจุดเริ่มต้นของเทรนด์ Loud Budgeting เป็นอย่างไร ?

เทรนด์ Loud Budgeting เกิดจากนำคนที่มีฐานะ แต่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและติดดิน มาเป็นแบบอย่างในการใช้เงิน

เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง มีคนที่มีฐานะดีจำนวนมาก ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่ซื้อสินค้าแบรนด์เนมราคาแพง ไม่ใช้รถยนต์หรู

จนคนในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะใน TikTok มองว่าวิถีชีวิตแบบนี้ มีความน่าสนใจมากกว่า

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์หรู มองว่า Loud Budgeting เป็นเทรนด์ที่ฉีกกฎเกณฑ์ค่านิยมของสังคมแบบเดิม ๆ ที่มักให้ความสำคัญกับวัตถุภายนอกเป็นหลัก

และหากเปรียบเทียบกันแล้ว Loud Budgeting กับ Quiet Luxury ถือว่าเป็นเทรนด์ที่มีลักษณะตรงข้ามกัน อย่างชัดเจน

เพราะแม้ Quiet Luxury จะเป็นเทรนด์ที่ใช้ความเรียบง่าย หรูหราแบบไม่ตะโกน ไม่มีโลโกที่บ่งบอกถึงความแพง

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Quiet Luxury ก็ยังเป็นเทรนด์ที่จำเป็นต้องใช้เงินในการซื้อของ ที่มีลักษณะตามเทรนด์ Quiet Luxury และยังเป็นการทำตามความคาดหวังของคนในสังคมคนอื่น ๆ อยู่ดี

ในขณะที่ Loud Budgeting จะเป็นเทรนด์การใช้จ่ายเงิน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับความหรูหรา ตามค่านิยมของคนในสังคม แต่ตัวเองไม่ได้สนใจจริง ๆ

เพราะเป็นการใช้จ่ายตามสิ่งที่ตัวเองให้ความสนใจ และคิดว่าสำคัญเท่านั้น ไม่ทำตามความคาดหวังของคนอื่น ๆ

ในขณะที่บางคน ยังมองว่า Loud Budgeting ยังหมายถึงการใช้เงิน ไปกับการเติมเต็มเป้าหมายของตัวเองในระยะยาว เช่น การลงทุน การเก็บออมเงิน ก็ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ
ทำไม Loud Budgeting จึงกลายเป็นเทรนด์ใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีแบบนี้ ?

เรื่องนี้อธิบายได้ไม่ยากเลย เพราะตามปกติแล้ว คนทั่วโลกมักตั้งเป้าหมายที่ต้องการทำในแต่ละปี หรือที่เราเรียกกันว่า New Year Resolution

และหนึ่งในเรื่องที่หลาย ๆ คน น่าจะต้องการตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ได้ ก็คือ การใช้จ่ายเงิน ให้น้อยลงในปีใหม่

จนทำให้ Loud Budgeting กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะใน TikTok

นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจ ก็อาจส่งผลเช่นเดียวกัน

เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า ในขณะนี้หลายประเทศทั่วโลก ต้องเผชิญกับสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ข้าวของ และของใช้จำเป็นมีราคาแพง

จนทำให้การใช้ชีวิตอย่างประหยัด โดยยึดเอาคนมีฐานะที่ติดดิน ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือที่เรียกกันว่า Loud Budgeting เป็นแบบอย่าง ได้รับความนิยมขึ้นมาเป็นวงกว้างในสังคม

แต่สิ่งที่น่าจับตามองกันต่อไป ก็คือ Loud Budgeting จะกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับการพูดถึงตลอดทั้งปี แบบที่ Quiet Luxury ทำได้หรือไม่

หรือจะเป็นเพียงอีกหนึ่งกระแสในโลกโซเชียลมีเดีย ที่ได้รับความนิยมในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
เรื่องนี้คงต้องรอติดตามกันต่อไป..

References:
-https://www.buzzfeed.com/meganeliscomb/loud-budgeting-trend-2024
-https://lifehacker.com/money/what-is-loud-budgeting-and-how-to-do-it
-https://www.velloy.com/loud-budgeting/
-https://www.highsnobiety.com/p/loud-budgeting-trend-explained/
-https://dailyhive.com/canada/loud-budgeting-personal-finance-trend

ที่อยู่

Rayong
21000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ชีวิตธรรมดาของฉันในวัย 30+ ก็แบบนี้แหละผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram