26/10/2025
🚩 รวมข้อสงสัยและทุกคำถาม-คำตอบ เรื่อง “ยาสมาธิสั้น”
อ่านต่อได้ในบทความเลยค่า 🔽
#ด้วยรักและหวังดี #คลินิกพัฒนาการ #คลินิกหมอเกรซ
10 ข้อที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับยารักษาโรคสมาธิสั้นในประเทศไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2568) โดยหมอเค…ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ
1. ยาหลักในการรักษาโรคสมาธิสั้นในประเทศไทย คือ ยา methylphenidate ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นให้มีสมาธิ โดยการเพิ่มสารโดปามีนและนอร์อิพิเนฟรินบริเวณจุดประสานประสาท (synapse) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อ ลดความวอกแวก ซน อยู่ไม่นิ่ง และความหุนหันพลันแล่น ส่งผลให้มีผลการเรียน และปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและผู้อื่นดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ การทำร้ายตนเอง การทำผิดกฎหมาย และการติดสารเสพติด ซึ่งยานี้รับรองให้ใช้ในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป
2. methylphenidate เป็นยาเม็ดที่มีการออกฤทธิ์ตั้งแต่ออกฤทธิ์สั้น (3-4 ชั่วโมง; เช่น ยา Ritalin, Rubifen 10 มก.) ปานกลาง (8 ชั่วโมง; ยา Ritalin LA 20 มก.) และออกฤทธิ์ยาว (10-12 ชั่วโมง; Concerta 18, 27, 36, 54 มก. และยา methylphenidate sandoz 18, 36 มก.) ซึ่งการที่จะเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์แบบไหนขึ้นกับระยะเวลาที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์เพื่อให้เด็กสามารถทำหน้าที่ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการเรียน และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมและเต็มศักยภาพของเด็ก โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด และจำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจร่วมกันระหว่างหมอที่ดูแลรักษา ผู้ปกครอง และเด็กโตหรือวัยรุ่นด้วย
3. ปกติยาออกฤทธิ์สั้นมักเริ่มให้กินครั้งละครึ่งเม็ดเช้าและกลางวัน โดยสามารถกินหลังหรือก่อนอาหารได้ หรือเด็กบางคนจำเป็นต้องกินยามื้อเย็น (ไม่ควรเกิน 16-17 น.) เพื่อช่วยควบคุมพฤติกรรมในช่วงเย็นร่วมด้วย หากเด็กยังกลืนยาไม่ได้ ยาออกฤทธิ์สั้นสามารถเคี้ยวได้ ยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังกินยาไปประมาณครึ่งชั่วโมง เด็กบางคนอาจมีอาการหงุดหงิด โกรธ ซน และหุนหันพลันแล่นมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ยาใกล้จะหมดฤทธิ์ได้
4. ยาที่ออกฤทธิ์ปานกลางและยาวจะเหมาะสำหรับเคสที่ต้องการกินยาวันละครั้ง เด็กที่ลืม หรือไม่อยากกินยามื้อกลางวัน หรือไม่สามารถรับผิดชอบกินยาด้วยตนเองเมื่ออยู่โรงเรียน หรือคุณครูไม่สามารถกำกับดูแลให้เด็กกินยาได้ ยาที่ออกฤทธิ์ทั้ง 2 อย่างนี้จะมีราคาแพงกว่ายาที่ออกฤทธิ์สั้น และอาจมีผลข้างเคียงที่นานกว่าตามระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ยาออกฤทธิ์ปานกลางสามารถกลืนได้ทั้งเม็ด หรือเด็กที่กลืนยาทั้งเม็ดไม่ได้ก็สามารถถอดแคปซูลและโปรยเม็ดยาเล็ก ๆ โดยผสมกินพร้อมกับโยเกิร์ตหรืออาหารได้ ในขณะที่ยาออกฤทธิ์ยาวจำเป็นต้องกลืนทั้งเม็ด ไม่สามารถแบ่งหรือตัดยาได้
5. การปรับขนาดยาจำเป็นต้องพิจารณาจากการทำหน้าที่ของเด็กในชีวิตประจำวันทั้งที่บ้านและโรงเรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กสามารถทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตนเองได้อย่างเต็มที่ และมีผลข้างเคียงจากยาให้น้อยที่สุด
6. ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น นอนหลับยากขึ้นในเวลากลางคืน โดยเฉพาะที่กินยาออกฤทธิ์สั้นมื้อเย็นเกินไป หรือกินยาออกฤทธิ์ยาวมื้อเช้าล่าช้า ผลข้างเคียงอื่นที่พบได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง แกะเล็บ หรือผิวหนังข้างเล็บ หงุดหงิดง่ายโดยเฉพาะหากให้ยาในเด็กอายุน้อย หรือเด็กที่เป็นโรคออทิซึม หรือมีพัฒนาการล่าช้า หรือสติปัญญาบกพร่องร่วมด้วย
7. สามารถให้ยา methylphenidate ในเด็กวัยอนุบาลที่มีอายุ 4-6 ปี ที่เป็นโรคสมาธิสั้นได้ หากพ่อแม่และผู้ปกครองพยายามปรับพฤติกรรมสำหรับเด็กโรคสมาธิสั้นอย่างเต็มที่แล้ว และยังคงมีอาการมากจนรบกวนการทำหน้าที่ในชีวิตประจำวันของเด็ก หรือประสบอุบัติเหตุ หรือมีปัญหาด้านความปลอดภัยจากความซนและความหุนหันพลันแล่น อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของยามักได้ผลต่ำกว่าในเด็กโต และพบผลข้างเคียงโดยเฉพาะอาการหงุดหงิดจากยานี้ในเด็กวัยอนุบาลมากกว่าเด็กโต
8. ในทางคลินิกไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าเด็กจะตอบสนองต่อยา methylphenidate ที่ออกฤทธิ์แบบไหนได้ดีกว่ากัน บางคนตอบสนองต่อยาออกฤทธิ์สั้นได้ดีกว่าออกฤทธิ์ยาว หรือบางคนตอบสนองได้ดีพอ ๆ กัน หรือบางคนตอบสนองต่อยาออกฤทธิ์ยาวได้ดีกว่า มักจะเข้าได้กับสำนวนที่ว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” นอกจากนี้ไม่จำเป็นที่เด็กที่เคยกินยา methylphenidate ตัวใดตัวหนึ่งแล้วได้ผลไม่ดี หรือมีผลข้างเคียงมากจะตอบสนองต่อยาตัวอื่นไม่ดีเช่นเดียวกัน
9. การกินยาควรกินสม่ำเสมอทุกวัน ไม่ควรกิน ๆ หยุด ๆ จะทำให้การรักษาได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามเด็กที่มีอาการเบื่ออาหาร และน้ำหนักลดจนผู้ปกครองกังวล อาจพิจารณาทบทวนถึงความจำเป็นที่ต้องให้ยาและผลข้างเคียงของยาอีกครั้ง แล้วอาจตัดสินใจงดกินยาวันหยุด เพื่อให้เด็กกินอาหารได้มากขึ้น ทั้งนี้หากพ่อแม่มีประเด็นที่กังวลหรือคำถามอื่น ๆ เกี่ยวกับการกินยา ควรปรึกษาหมอที่ดูแลรักษาเพื่อวางแผนให้การดูรักษาเด็กอย่างเหมาะสมต่อไป
10. การรักษาโรคสมาธิสั้นเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องรักษาควบคู่กันระหว่างการกินยาและการปรับพฤติกรรม ยาอย่างเดียวไม่ช่วยให้เด็กดีขึ้น เพราะคุณลักษณะที่ดีของเด็กหลายอย่าง เช่น ความรับผิดชอบ ความอดทนพยายาม การวางแผน การควบคุมตนเอง และการบริหารจัดการจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้เป็นทักษะที่พึงประสงค์ในเด็กต่อไป
สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ 9 ข้อที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นได้ทางลิงก์นี้ครับ
https://www.facebook.com/share/p/17VzGYMC1j/?mibextid=wwXIfr
#ทุกเรื่องการเลี้ยงลูกตลาดนัดครอบครัวมีคำตอบ