มิตรยา MITYA

13/02/2022

11/02/2022

11/02/2022

05/08/2021

UPDATE: เผยผลการศึกษา ฉีด AstraZeneca เข็มเดียว ป้องกันเจ็บป่วยจากโควิดสายพันธุ์เดลตา 87% และเบตา 82%
วันนี้ (5 สิงหาคม) AstraZeneca เปิดเผยผลการศึกษาจากเครือข่ายการวิจัยการสร้างภูมิคุ้มกันโรคของแคนาดา (Canadian Immunization Research Network - CIRN) ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานสาธารณสุขของแคนาดาและสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติแคนาดา ซึ่งเผยแพร่ในวารสารฉบับก่อนตีพิมพ์ ได้แสดงให้เห็นว่า Vaxzevria หรือวัคซีนป้องกันโควิดของ AstraZeneca หนึ่งโดส มีประสิทธิผลสูงถึง 82% ช่วยลดการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 หรือโควิด สายพันธุ์เบตา/แกมมา
นอกจากนี้ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา (B.1.617.2 หรือสายพันธุ์อินเดีย) และสายพันธุ์อัลฟา (B.1.1.7 หรือสายพันธุ์เคนต์) โดยช่วยลดอาการป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรืออัตราการเสียชีวิตได้ถึง 87% และ 90% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ผลการทดสอบประสิทธิผลของวัคซีน Vaxzevria หลังการฉีดเข็มแรก เพื่อป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตนั้นมีระดับตัวเลขที่ไม่แตกต่างกับวัคซีนอื่นๆ ที่นำมาทดสอบในการวิจัยครั้งนี้ โดยระยะเวลาในการติดตามผลยังไม่เพียงพอที่จะรายงานประสิทธิภาพของ Vaxzevria หลังการฉีดเข็มที่ 2 แต่มีงานวิจัยอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามคำแนะนำในการเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2
ผลการศึกษาระบุว่า วัคซีน Vaxzevria มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยที่ไม่รุนแรง โดยเป็นการรายงานผลทดสอบหลังการฉีดวัคซีนเข็มแรกเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อมูลหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันตามการเว้นระยะฉีดตามที่กำหนด โดยเป็นที่ทราบดีว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจะเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับเข็มที่ 2 แล้ว ประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันอาการป่วยที่ไม่รุนแรงนั้นต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพในการป้องกันโรครุนแรง โดยประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการไม่ว่าในระดับใดจากโรคโควิด สายพันธุ์เบตา/แกมมา อยู่ที่ประมาณ 50%, 70% และ 72% สำหรับสายพันธุ์เดลตาและอัลฟา ตามลำดับ
การทดลองในเฟสที่ 1 และ 2 ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยวิทวอเตอร์สแรนด์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่จำกัดในการป้องกันอาการที่ไม่รุนแรงในขั้นต้นที่เกิดจากไวรัสโควิดสายพันธุ์เบตา โดยการทดลองยังไม่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันอาการที่รุนแรงได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว มีสุขภาพดี และมีอาการของโรคไม่รุนแรงเท่านั้น
เซอร์เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) กล่าวว่า ในขณะที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ต่างๆ กำลังคุกคามและขัดขวางหนทางในการรอดพ้นจากโรคระบาดนี้ หลักฐานจากการใช้จริงของเราได้แสดงให้เห็นว่า Vaxzevria และวัคซีนอื่นๆ ที่ใช้อยู่ในแคนาดา มีศักยภาพในการป้องกันโรคโควิดที่แสดงอาการรุนแรงในระดับสูงหลังจากการฉีดเพียงเข็มแรก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างเกราะปกป้องให้กับผู้คนที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปสู่การยับยั้งไวรัสที่ร้ายแรงนี้
ผลการวิเคราะห์จากการศึกษาครั้งนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 รวมทั้งหมด 69,533 คน ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2020 - พฤษภาคม 2021 ในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในสายพันธุ์ที่ไม่น่ากังวลจำนวน 28,705 คน (6.8%) และในสายพันธุ์ที่น่ากังวลจำนวน 40,828 คน (9.7%)
Vaxzevria วัคซีนป้องกันโควิดของ AstraZeneca (เดิมเรียก AZD1222) วัคซีนป้องกันโควิดของ AstraZeneca ถูกคิดค้นและพัฒนาร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทวัคซีเทค ซึ่งก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัส ซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลล์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง
วัคซีนป้องกันโควิดของ AstraZeneca ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินในกว่า 80 ประเทศ ครอบคลุม 6 ทวีปทั่วโลก ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโควิดของ AstraZeneca กว่า 700 ล้านโดส ได้ถูกส่งมอบให้กว่า 170 ประเทศทั่วโลก รวมถึงกว่า 100 ประเทศ ผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการ Covax
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/
#ฝ่าวิกฤตโควิด19

—————————————————

ไม่พลาดข่าวไฮไลต์ประจำวัน มาเป็นเพื่อนกับ THE STANDARD WEALTH ในไลน์ คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

17/07/2021

100เม็ด 190บาท
1-2ขวด ค่าส่ง 30บาท
Supakporn Giftcy SawettapornMhiw Anongnat

17/07/2021

1 ขวด 30เม็ด 70บาท
1-2ขวด ค่าส่ง30บาท
Supakporn Giftcy SawettapornMhiw Anongnat

26/03/2018

แค่ไม่จับ ไม่สัมผัสดวงตา และล้างมือให้อะอาด

24/03/2018

ฟันขาว ยิ้มเมื่อไหร่ก็มั่นใจ เพิ่มความมั่นใจให้รอยยิ้ม

ไม่อยากฟอกสีฟันที่คลินิก
ยาสีฟัน ไม่ตอบโจทย์
ไม่อยากใช้แอพแต่งฟันขาว

“Dazzling white pen เจลฟอกฟันขาว” ช่วยคุณได้
ของแท้ ปลอดภัย มี อย. นำเข้าจากอเมริกา

กำจัดแบคทีเรีย ทำความสะอาดช่องปาก ป้องกันฟันผุ
ป้องกันการเกิดคราบหินปูน

สอบถามเพิ่มเติม inbox จ้า//line id ==> giftcy_nm

21/03/2018

https://www.facebook.com/mumraisin/posts/315095409014815

งานวิจัยล่าสุด คอนเฟิร์มแล้วว่า ความฉลาดที่ลูกมี ล้วนส่งผ่านมาจากยีนของแม่ล้วนๆ
ปกติแล้วผู้หญิงจะมีโครโมโซม XX และผู้ชายมีโครโมโซม XY เจ้าโครโมโซมนี้ล้วนบรรจุยีนของเราที่จะส่งต่อไปยังลูกหลานของเราต่อไป
และจากงานวิจัย เจ้าความฉลาดนี้จะอยู่ในโครโมโซม X ซึ่งคุณแม่มี X ถึงสองอัน นั่นหมายความว่าลูกได้ความฉลาดมาจากแม่มากที่สุด
อ้าว! คุณพ่อ อย่าเพิ่งทำหน้าหงอย แม้ลูกจะไม่ได้ยีนฉลาดจากคุณพ่อ แต่โครโมโซม XY ก็มีบทบาทสำคัญมาก เพราะไปช่วยเรื่องเกี่ยวกับกายภาพของลูกน้อย
สรุปคือยีนจากแม่นั้นช่วยพัฒนาความใหญ่ของศีรษะและสมองให้ลูก ส่วนยีนจากพ่อช่วยพัฒนาเรื่องร่างกายให้ลูกนั่นเอง ดังนั้นขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย
แต่...ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะว่าอย่างไร สิ่งที่มีอิทธิพลต่อความฉลาดของลูกมากที่สุดคือ ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองของลูก ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ถึง 7 ปี สรุปได้ว่า การเลี้ยงดูด้วยความใส่ใจใกล้ชิดอย่างเหมาะสม และความรักจากแม่มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้สมองบางส่วนของลูกพัฒนาและเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะสมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่เกี่ยวข้องกับความจำ การเรียนรู้ และการตอบสนองต่อความเครียดนั่นเอง
สรุปแล้ว ไม่ว่าลูกจะได้ความฉลาดมาจากใคร สุดท้ายการเลี้ยงดูที่เหมาะสม และมอบความรักอย่างพอเหมาะ กลับช่วยเสริมสร้างพัฒนาสมองของลูกได้มากกว่ายีนเสียอีกนะคะ
ข้อมูลจาก:
https://www.popsugar.com/moms/Kids-Get-Intelligence-From-Moms-42396709

20/03/2018

หอมเย็นสดชื่น เหมือนยกขั้วโลกมาไว้ที่บ้าน

พร้อมด้วยเทคโนโลยี กำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส
และสารก่อภูมิแพ้ สาเหตุของโรคต่างๆ

เลือก polar spray สิคะ
ให้เราดูแลสุขภาพของคุนนะคะ

15/03/2018

https://www.facebook.com/jomjam.ieie/posts/10156301394325742

ช่องว่างระหว่างวัยระหว่างลูกคนโตกับบรรดาน้องๆ นั้น มีส่วนสำคัญกับการเลี้ยงดูและความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ไม่น้อย ซึ่งจำนวนปีที่ห่างกันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปอย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ #มัมเรซิ่น

http://mumraisin.com/best-kid-age-gap/

15/03/2018

ยืนนาน เดินเยอะ
รองช้ำ เจ็บส้นเท้า
น้ำหนักเยอะกดส้นเท้า
ถามหา

DEFENDER
ซิลิโคนถนอมส้นเท้า

10/03/2018

กระจ่างใส แบบมีออร่า ในเซ็ตเดียว

พร้อมให้คุณได้ลองแล้ว วันนี้
1 set 850บาท เท่านั้นจ้า

28/02/2018

สวย สาว ขาว อึ๋ม ฟิต หอม
ดูแลสุขภาพ ด้วย
สมุนไพรรากสามสิบ คุณสัมฤทธิ์
สอบถามเพิ่มเติม โทร 084-069-8196
Line id ==> giftcy_nm

28/02/2018

หลอดเดียวเคลียร์จบทุกปัญหาผิว
เวชสำอางที่ช่วยในเรื่อง สิวสเตียรอยด์ ลดการเกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบ ผิวหนังอักเสบ รอยดำ/รอยแดง ฝ้า กระ และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอบนใบหน้า เคลียร์จบในหลอดเดียว
"สร้างความแข็งแรงให้ผิวหน้า ด้วยการบำรุงรักษาไปพร้อมๆกับการสร้างความแข็งแรงผิว “�.�Dermaklear จะแบ่งหน้าที่ออกเป็น 2 ส่วน�.�1.ส่วนช่วยในการดูแลและบรรเทา จากความเข้มข้นของสารสกัดธรรมชาติที่มีฤทธิ์ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ลดการอักเสบ และยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส จึงทำให้ Dermaklear ช่วยในเรื่องเหล่านี้�สิวสเตียรอยด์�สิวอักเสบ สิวอุดตัน�รอยดำรอยแดง รอยฝ้า กระ จุดด่างดำ�.�2.ส่วนช่วยในการบำรุง �-บำรุงเพื่อ ลดปริมาณสิวอุดตันที่จะเกิดบนใบหน้า�-บำรุงเพื่อ ป้องกันการเกิดริ้วรอย�-บำรุงเพื่อ ฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่โดนทำลายจากมลภาวะต่างๆ รวมถึงลดอาการข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาสิว �-บำรุง เพื่อให้ความชุ่มชื้นที่ผิวมีความสมดุล�-บำรุง ลึกถึงรูขุมขนและควมคุมความมันบนใบหน้า