09/06/2025
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสโควิด-19 ยังคงมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นระยะๆ สายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่จับตาและมีการแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568) คือ สายพันธุ์ NB.1.8.1 (ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน JN.1) และสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ในตระกูล Omicron เช่น XEC, KP.3, LP.8.1
รายละเอียดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ (NB.1.8.1 และสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่พบได้บ่อย):
1. ลักษณะเด่นและการแพร่กระจาย:
การกลายพันธุ์: ไวรัสมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนาม (Spike protein) ซึ่งช่วยให้สามารถจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งก่อนหน้าได้บางส่วน
การแพร่เชื้อที่รวดเร็ว: สายพันธุ์เหล่านี้มักจะมีความสามารถในการแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ความรุนแรงของโรค: โดยรวมแล้ว สายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ (โดยเฉพาะตระกูลโอมิครอน) มักจะก่อให้เกิดอาการที่ไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์ดั้งเดิม และมักติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าลงปอด อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยังคงมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
2. อาการและอาการแสดง:
อาการที่พบบ่อยจากสายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ มักคล้ายกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจแตกต่างจากอาการของโควิด-19 ในช่วงแรกๆ ที่มักมีการสูญเสียการรับรสและกลิ่นอย่างชัดเจน อาการที่พบบ่อยได้แก่:
ไข้ (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)
ไอ (อาจเป็นไอแห้งหรือไอมีเสมหะ)
เจ็บคอ / คอแห้ง / คันคอ (บางรายอาจเจ็บมากคล้ายมีดบาด)
น้ำมูกไหล / คัดจมูก
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอ่อนเพลีย
ปวดศีรษะ
เสียงแหบ หรือเสียงเปลี่ยน
เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
ตาแดง (ในบางราย)
ผื่นขึ้นตามตัว (ในบางราย)
ท้องเสีย (ในบางราย)
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร (ในบางราย)
การสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น (พบได้น้อยลงในสายพันธุ์ใหม่นี้ แต่ก็ยังอาจพบได้ในบางราย)
อาการที่ควรระวังและรีบปรึกษาแพทย์ (อาจบ่งชี้ถึงอาการรุนแรง):
หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจได้ไม่เต็มปอด
รู้สึกแน่นหน้าอก หรือเจ็บหน้าอกต่อเนื่อง
รู้สึกสับสน ง่วงซึม หรือหมดสติ
ผิวหนังเย็น ซีด หรือคล้ำลง
ไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้เมื่อหายใจ
3. วิธีป้องกันตนเองและประชาชนทั่วไป:
แม้จะมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น แต่หลักการป้องกันโรคยังคงมีประสิทธิภาพและเป็นสิ่งสำคัญที่สุด:
ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และวัคซีนเข็มกระตุ้น: การฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความรุนแรงของโรค การเข้าโรงพยาบาล และการเสียชีวิต วัคซีนรุ่นใหม่ๆ ยังคงให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนได้ดี
สวมหน้ากากอนามัย: โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท หรือเมื่อต้องใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง
ล้างมือบ่อยๆ: ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ (ความเข้มข้นแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70%)
รักษาระยะห่างจากผู้อื่น: โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วย
หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด หรือการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก: หากจำเป็น ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด
หากมีอาการป่วย: ควรรีบตรวจ ATK และแยกกักตัวจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อยๆ
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หมายเหตุ: ข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงและอัปเดตอยู่เสมอ ควรติดตามข้อมูลล่าสุดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น กระทรวงสาธารณสุข หรือองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อความถูกต้องและทันสมัยที่สุด
ตามข้อมูลล่าสุดที่สามารถสืบค้นได้จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และข่าวสารต่างๆ ณ ต้นเดือนมิถุนายน 2568 สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยยังคงมีการระบาดต่อเนื่อง โดยมีตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
สำหรับสัปดาห์ที่ 22 (วันที่ 25 - 31 พฤษภาคม 2568) พบผู้ป่วยโควิด-19 สูงสุดที่ 93,621 คน และในสัปดาห์ปัจจุบัน (1-7 มิถุนายน 2568) มีรายงานพบผู้ป่วยแล้ว 28,392 คน
ส่วนยอดสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม - 3 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 324,692 คน และมีผู้เสียชีวิตสะสม 63 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิ.ย. 68)
โดยรวมแล้ว สถานการณ์โควิด-19 ยังคงเป็นช่วงที่ต้องระวังต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
ข้อมูลดังกล่าวเป็นตัวเลขที่รายงานโดยกรมควบคุมโรค และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์