Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา

Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา ผมให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาครับ

ผมนำเสนอเกร็ดความรู้จิตวิทยาในรูปแบบที่ "ย่อยง่าย" และเป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกๆคนครับ

คุณเคยหยิบบทสนทนาที่คุณคุยกับใครสักคนมาก่อนหน้านี้ มา replay ในหัวซ้ำไปซ้ำมาไหมครับ?คุณรู้แหละครับว่า ไม่ว่าคุณ replay บ...
14/10/2025

คุณเคยหยิบบทสนทนา
ที่คุณคุยกับใครสักคนมาก่อนหน้านี้
มา replay ในหัวซ้ำไปซ้ำมาไหมครับ?
คุณรู้แหละครับว่า
ไม่ว่าคุณ replay บทสนทนานั้นกี่รอบ
คุณก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปพูดคุยกับคนๆนั้นได้
คุณรู้แหละครับว่า
การที่คุณกำลัง replay บทสนทนาเช่นนี้
มันกำลัง “กิน” พลังงานชีวิตของคุณ
และทำให้คุณนอนไม่หลับตอนกลางคืน
…แต่คุณอดไม่ได้ที่จะทำมันอยู่ดี!
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณ
เข้าไปใน loop ของการ “คิดมาก”
มันก็เหมือนกับมีเชือกมามัดความคิดของคุณไว้
ทำให้คุณไม่สามารถ “ปล่อยวาง”
หรือหยุด “คิดมาก” ได้เลย
วันนี้ ผมมีแนวทางในเบื้องต้น
ที่อาจจะช่วยให้คุณ “คลายเชือก”
ที่มัดความคิดของคุณไว้ได้ครับ
# 1
ทันทีที่คุณเห็นว่าตัวเองกำลังติดอยู่ใน loop
ขอให้คุณพูดกับตัวเองชัดๆว่า
“ฉันสังเกตเห็นว่า ตอนนี้ ฉันกำลังอยู่ใน loop”
# 2
อย่าปล่อยให้ความคิดอยู่ในหัวเพียงอย่างเดียว
คุณสามารถหยิบมันมาเขียนลงบนกระดาษได้
# 3
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“มีอะไรในสถานการณ์นี้
ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฉันบ้าง?”
# 4
ถ้าเราหยุด “คิดมาก” ไม่ได้จริงๆ
อย่างน้อยที่สุด สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้
คือการจำกัดเวลา “คิดมาก” ครับ
(เช่น ในช่วง 15 นาทีต่อจากนี้
ฉันจะอนุญาตให้ตัวเอง “คิดมาก” ให้เต็มที่
แต่หลังจากที่ครบ 15 นาที
ฉันก็จะลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นแล้ว)
# 5
ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“ตอนนี้ ฉันกำลังมองเห็นอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 5 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังสัมผัสอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 4 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังได้ยินอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 3 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังได้กลิ่นอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 2 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังรับรู้รสอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 1 อย่าง)
# 6
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“อะไรคือสิ่งเล็กๆที่ฉันสามารถทำได้ ณ วินาทีนี้?”
และลงมือทำสิ่งๆนั้น
ผมหวังว่าแนวทางทั้ง 6 ที่ผมได้นำเสนอนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่ต้องการ
“คลายเชือก” ทางความคิดนะครับ!
อ้างอิง
https://doi.org/10.1111/j.1745-6924.2008.00088.x
https://doi.org/10.1037/0021-843x.110.2.333
https://doi.org/10.1017/s1352465818000103
https://doi.org/10.1016/j.bpsgos.2023.08.012
https://doi.org/10.3389/fpsyg.2024.1447207

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความคิด

หลายคนแสวงหาความรัก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถตอบได้ว่า ทำไมพวกเขาถึงแสวงหาความรักบางคนอาจมองว่า “ต่อให้ฉันจะตอบคำถามนี้ไม่...
13/10/2025

หลายคนแสวงหาความรัก
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถตอบได้ว่า
ทำไมพวกเขาถึงแสวงหาความรัก
บางคนอาจมองว่า
“ต่อให้ฉันจะตอบคำถามนี้ไม่ได้
มันก็ไม่เห็นจะอะไรเลยนะ”
แต่ผมมองว่านี่คือคำถามที่สำคัญมาก
เพราะเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง
การแสวงหาความรักของเรา
สามารถ “ชี้ชะตา” ความรักของเรา
ได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราอยากมีแฟนเพราะเราอยากจะมี
คนมาแชร์ชีวิตและมีความสุขไปด้วยกัน
เราก็มีแนวโน้มที่จะเจอแฟนที่ support และให้ค่าเรา
ถ้าเราอยากมีแฟนเพราะแรงกดดัน
จากครอบครัวและสังคม
เราก็มีแนวโน้มที่จะเจอกับความรัก
ที่ไม่ได้เหมาะหรือเข้ากันได้กับเราขนาดนั้น
ถ้าเราอยากมีแฟนเพราะเราอยากมี
คนที่เกื้อหนุนให้เราเติบโต
ความรักที่เรามีก็มีแนวโน้ม
ที่จะเป็นเต็มไปด้วยพลังบวก
ถ้าเราอยากมีแฟนเพราะเราแสวงหา
การยอมรับและความมั่นใจในตัวเองจากแฟน
คุณค่าในตัวเราก็มีแนวโน้มที่จะผูกโยงเข้ากับแฟนสูง
ถ้าเราอยากมีแฟนเพราะ
เรากลัวที่จะอยู่ตัวคนเดียว
เราก็มีแนวโน้มที่จะคบกับแฟน
ที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเท่าไหร่นัก
เป็นต้น
ความรักจะเป็นสิ่งที่สวยงามได้
ก็ต่อเมื่อเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความรักดังกล่าว
เป็นเหตุผลที่สวยงามเท่านั้นครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1177/1088868313498000
https://doi.org/10.3389/fpsyg.2023.1273607
https://doi.org/10.3389/fpsyg.2020.02019
https://doi.org/10.1037/a0025012

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #แฟน #ความรัก #ความสัมพันธ์

คุณอยาก “ทำงานให้ได้งาน” โดยที่ไม่ต้องรู้สึกทรมานระหว่างทำงานไหมครับ?วันนี้ ผมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆมานำเสนอครับ # 1 ทำงานให...
12/10/2025

คุณอยาก “ทำงานให้ได้งาน” โดยที่ไม่ต้อง
รู้สึกทรมานระหว่างทำงานไหมครับ?
วันนี้ ผมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆมานำเสนอครับ
# 1 ทำงานให้เหมือนกับการ “วิ่ง 100 เมตร” (ไม่ใช่การ “วิ่งมาราธอน”)
ตั้งนาฬิกาไว้สัก 30 นาที
และใช้เวลาดังกล่าวในการทำงานชิ้นเดียวเท่านั้น
ห้ามทำงานสลับกับเล่นโทรศัพท์มือถือ
ห้ามทำงานชิ้นที่ 1 สลับกับทำงานชิ้นที่ 2
การทำแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างน้อย 2 แง่มุมด้วยกันครับ
ประการแรก
มันช่วยให้เราเริ่มทำงานได้ง่ายขึ้น
(เพราะมันแค่ 30 นาที)
ประการที่สอง
เนื่องจากเรากำหนดเวลาไว้สั้น (เพียงแค่ 30 นาที)
เราจะสามารถโฟกัสกับงานได้เต็มที่
ส่งผลให้งานคืบหน้าได้เยอะ (กว่าที่เราคาด)
ซึ่งพอเราเห็นความคืบหน้านั้น
มันก็อาจทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจที่จะ “ลุยงาน” มากขึ้น
(ในช่วง slot เวลา 30 นาทีสำหรับการทำงานครั้งต่อไปของเรา)
# 2 เปิดโหมด “ตั้งใจทำงาน” ก่อนลงมือทำงาน
ก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำงาน
ให้เราทำอะไรบางอย่างที่เป็นการ “ส่งสัญญาณ”
ให้สมองเรารับรู้ว่า ต่อจากนี้ไป (เป็นระยะเวลา 30 นาที)
เรากำลังจะโฟกัสกับการทำงานอย่างเต็มตัว
ยกตัวอย่างเช่น
การสวมหูฟังตัดเสียงรบกวน
การเอาโทรศัพท์มือถือออกไปวางนอกห้องทำงาน
การจุดเทียนหอม
เป็นต้น
หากเรา “ส่งสัญญาณ” แบบนี้ไปเรื่อยๆ
สมองเราก็จะเกิดการเรียนรู้ว่า
“อ๋อ! ทุกครั้งที่ฉันสวมหูฟังตัดเสียงรบกวน
นั่นหมายความว่าฉันกำลังจะทำงานอย่างจริงจังแล้วนะ”
มันจะช่วยสมองเรามีสมาธิในช่วงที่ลงมือทำงานได้ง่ายขึ้นครับ

ผมหวังว่าสิ่งที่ผมหยิบมาแบ่งปันในวันนี้
จะช่วยให้ทุกคนทำงานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพและมีความสุขนะครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1111/bjep.12593
https://doi.org/10.1006/cogp.1998.0681

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ทำงาน

“จงเป็นตัวของตัวเอง”นี่คือคำแนะนำยอดฮิตที่หลายคนชอบบอกกันแต่จริงๆแล้ว คำแนะนำนี้แอบมี “จุดบอด” อยู่หลายข้อเหมือนกันครับย...
11/10/2025

“จงเป็นตัวของตัวเอง”
นี่คือคำแนะนำยอดฮิตที่หลายคนชอบบอกกัน
แต่จริงๆแล้ว คำแนะนำนี้แอบมี
“จุดบอด” อยู่หลายข้อเหมือนกันครับ
ยกตัวอย่างเช่น
บางคนใช้คำแนะนำดังกล่าว
เป็น “ข้ออ้าง” ในการแสดงพฤติกรรมที่หยาบคาย
บางคนยึดติดกับ “ความจริงใจ”
มากจนทำลายความสัมพันธ์
บางคนไม่ได้รู้สึกปลอดภัยมากพอ
ที่จะเป็น “ตัวของตัวเอง” ได้ขนาดนั้น
เป็นต้น
ผมจึงมองว่า แทนที่เราจะมุ่งเป็น “ตัวของตัวเอง”
ทางเลือกที่ดีกว่าคือการเป็น “ตัวเองเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด” ครับ
กล่าวคือ…
เรายังคงเอกลักษณ์ความเป็นตัวเองอยู่
แต่เราจะเติมการนึกถึงใจคนอื่นผสมเข้าไปด้วย
เรายังคงมีความซื่อตรงในสิ่งที่เราคิดและรู้สึก
แต่เราจะเติมความเห็นอกเห็นใจเข้าไปเพิ่ม
เรายังคงเลือกเส้นทางชีวิตของเราเอง
แต่เราก็ยินดีต้อนรับการพัฒนาและการเติบโตด้วยเช่นกัน
เรายังคงมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง
แต่เราจะคำนึงเพิ่มด้วยว่าเราจะแชร์ความคิดเห็นนั้นเมื่อไหร่ (และกับใคร) จึงจะดีที่สุด
…เรามาร่วมกันเป็น “ตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด” กันเถอะครับ!
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0022-3514.73.6.1380
https://doi.org/10.1016/S0065-2601(06)38006-9
https://doi.org/10.1016/j.jrp.2019.103900
https://doi.org/10.1016/j.jrp.2018.09.005

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา

ทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน เราก็จะเห็นพลังของ algorithm และ AI เต็มไปหมดมันจะคอยแนะนำเราว่า…คลิปวิดิโอไหนที่เราน่า...
10/10/2025

ทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน
เราก็จะเห็นพลังของ algorithm และ AI เต็มไปหมด
มันจะคอยแนะนำเราว่า…
คลิปวิดิโอไหนที่เราน่าจะอยากดู
บทความไหนที่เราน่าจะอยากอ่าน
สินค้าตัวไหนที่เราน่าจะอยากซื้อ
และถ้าเราต้องการจะสร้างสรรค์อะไร
(ไม่ว่าจะเป็นบทความ คลิปวิดีโอ รูปภาพ ฯลฯ)
เราก็สามารถออกคำสั่งให้มัน “เสก” ออกมาให้เราได้อย่างง่ายดาย
หลายคนกังวลว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันจะค่อยๆ
บั่นทอนพลังความคิดของเราไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเรา “สมองฝ่อ” ในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ หลายคนยังกังวลว่า
สิ่งที่เราเสพในโลกออนไลน์
(โดยเฉพาะเนื้อหาที่ผ่านการแนะนำ
ของ algorithm และเครื่องมือ AI ต่างๆ)
จะมีผลในด้านการชักจูงความคิดเรา
ส่งผลให้เราถูก “ล้างสมอง” ได้อีกด้วย
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า
ความกังวลนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงได้มากน้อยแค่ไหน
แต่สำหรับคนที่ถือคติ “กันไว้ก่อนดีกว่าแก้”
ต่อไปนี้คือสิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ไปถึง “จุดวิกฤต” นั้นได้ครับ
# 1
อย่าปักใจเชื่อว่าสิ่งแรกที่เราเห็นมันคือความจริง
(เช่น ถ้าเราถามคำถามกับ ChatGPT
เราจะยังไม่เชื่อว่าคำตอบที่ ChatGPT ให้มานั้นคือความจริง
แต่เราจะตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า
คำตอบดังกล่าวมันถูกต้องจริงหรือ
ถูกต้องเพราะอะไร มีแง่มุมอื่นอีกไหม เป็นต้น)
# 2
เวลาที่เราสร้างสรรค์ผลงานของเราขึ้นมา
(โดยมี AI เป็นเครื่องมือหรือตัวช่วยสำคัญ)
เราต้องอย่า copy (จาก AI) และ paste อย่างเดียว
แต่เราควรจะใส่ “ตัวเรา” เข้าไปในผลงานนั้นด้วย
# 3
“ฉันยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอที่จะฟันธงในเรื่องนี้ได้”
นี่ถือเป็นคาถาประจำใจที่เราควรหยิบมาใช้บ่อยๆ
ไม่ว่าความกังวลในเรื่อง “ด้านมืดของเทคโนโลยี”
ที่ผมพูดถึงในข้างต้นจะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน
แต่หากเรายึดถือแนวทาง 3 ข้อนี้อย่างสม่ำเสมอ
เชื่อได้เลยครับว่าเราจะ “ปลอดภัย” อย่างแน่นอนครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0033-2909.116.1.75
https://doi.org/10.48550/arXiv.2201.08300
https://doi.org/10.1016/j.neuron.2015.09.010

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา

คุณเคยช่วยเหลือหรือทำอะไรดีๆให้กับใครสักคนและรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนแทบจะไม่หิวข้าวในวันนั้นเลยไหมครับ?มันอาจจะฟังดู “โอเว่...
09/10/2025

คุณเคยช่วยเหลือหรือ
ทำอะไรดีๆให้กับใครสักคน
และรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนแทบจะ
ไม่หิวข้าวในวันนั้นเลยไหมครับ?
มันอาจจะฟังดู “โอเว่อร์” นะครับ
แต่งานวิจัยพบว่า
คนที่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำ
มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพที่แข็งแรงมากกว่าคนอื่นๆ
อันที่จริง ผลงานวิจัยพบว่า
การทำงานเป็น “อาสาสมัคร” อย่างสม่ำเสมอ
ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตลงได้มากถึง 60%
ยิ่งไปกว่านั้น
“อาสาสมัคร” ยังมักจะรู้สึก “อ่อนกว่าวัย”
เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันอีกด้วย!
(ยกตัวอย่างเช่น
การศึกษาพบว่า “อาสาสมัคร” ที่อายุ 40 ปี
จะรู้สึกว่าตัวเอง “ยังหนุ่มยังสาว”
ไม่ต่างอะไรกับกับคนอายุ 35 ปี
เป็นต้น)
ทำไมการช่วยเหลือคนอื่นถึง “เป็นประโยชน์”
กับตัวผู้ให้ความช่วยเหลือได้มากขนาดนี้?
# 1
ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่เกิดขึ้น
เวลาที่เราช่วยเหลือคนอื่น
ช่วยให้ปัญหาสุขภาพจิต
(เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล) ลดลง
# 2
การช่วยเหลือคนอื่นช่วยให้เรา
รู้สึกว่าชีวิตของเรามีคุณค่าหรือมีความหมาย
# 3
ทุกครั้งที่เราช่วยเหลือคนอื่น
นั่นคือโอกาสที่เราจะได้ connect กับคนอื่น
ส่งผลให้เราไม่รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว
(ซึ่งความเหงานี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ
สุขภาพกายและสุขภาพใจที่สำคัญเลยครับ)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว
การช่วยเหลือคนอื่นจะ “เป็นประโยชน์”
กับตัวผู้ให้ความช่วยเหลือ
แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
เหตุผลที่ทำให้คนๆหนึ่ง
เลือกที่จะช่วยเหลือคนอื่น
ก็มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยเลยครับ
ถ้าเราช่วยเหลือคนอื่นเพราะ
เราต้องการได้รับใบประกาศนียบัตรสวยๆ
หรือเพราะเราถูกแรงกดดันจากคนอื่น
ประโยชน์ที่ผมเขียนถึงในข้างต้นก็อาจจะไม่เกิดกับเราเท่าไหร่นัก
ในทางกลับกัน หากเราช่วยเหลือคนอื่น
เพราะเราอยากที่จะช่วยเขาจริงๆ
ประโยชน์ที่ผมเขียนถึงในข้างต้น
ก็จะเกิดขึ้นอย่าง “เต็มเม็ดเต็มหน่วย” มากกว่า
พูดง่ายๆก็คือ “ช่วยเพราะอยากช่วย” > “จำใจช่วย” นั่นเองครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1037/a0031519
https://doi.org/10.1186/1471-2458-13-773
https://doi.org/10.1177/002214650704800408
https://doi.org/10.1007/s11136-021-02933-y
https://doi.org/10.1007/s11136-021-02933-y

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #อายุยืน #น้ำใจ

บางครั้ง มิตรภาพจบลงด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่ในหลายๆครั้ง จุดจบของมิตรภาพเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบยกตัวอย่างเช่นเราน...
08/10/2025

บางครั้ง มิตรภาพจบลงด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรง
แต่ในหลายๆครั้ง
จุดจบของมิตรภาพ
เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ยกตัวอย่างเช่น
เรานัดเจอเพื่อน แต่เพื่อนก็ยกเลิกนัด
เราส่งข้อความไปหาเพื่อน แต่เพื่อนก็ไม่เคยตอบ
เป็นต้น
แน่นอนครับว่าการถูกเพื่อน “เท”
มันเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด
เพราะมิตรภาพคือสิ่งที่ช่วยทำให้เรารู้สึกว่า
ตัวเองเป็นที่รัก มีคุณค่า ไม่ได้อยู่ลำพัง
มันไม่ได้ช่วยให้เรามีชีวิตรอด
(เหมือนปัจจัยสี่)
แต่มันช่วยให้เรามีชีวิตที่มีชีวา
นอกจากนี้ เวลาที่เราถูกเพื่อน “เท”
เราก็อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า
“ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่านะ?”
ส่งผลให้ความปั่นป่วนในใจเรา
ยิ่งทวีความเข้มข้นกว่าเดิมเข้าไปอีกด้วย
ความจริงก็คือ…มิตรภาพก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้
ต้นไม้มิตรภาพจะเติบโตได้งาม
ก็ต่อเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายตัดสินใจที่จะช่วยกัน
รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยให้กับมันอย่างสม่ำเสมอ
ไม่อย่างนั้น หากเราเป็นฝ่ายที่
ดูแลต้นไม้มิตรภาพอยู่ฝ่ายเดียว
ต่อให้ต้นไม้ดังกล่าวจะยังมีชีวิตอยู่
แต่มันก็จะกินพลังงานเราจนหมดแรงได้
ต่อไปนี้คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ครับ
# 1 คอยสังเกตดูว่าเพื่อนเขาช่วยเราดูแลต้นไม้นี้มากน้อยแค่ไหน
# 2 หากเพื่อนไม่ช่วยเราดูแล เราหาจังหวะสื่อสารกับเพื่อนในจุดนี้ดู (ถ้าทำได้)
# 3 อนุญาตให้ตัวเองหยุด “วิ่งไล่ตาม” มิตรภาพข้างเดียว
# 4 เทพลังงานให้กับความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายพร้อมดูแลต้นไม้ไปพร้อมกับเราแทน
หากเรายึดแนวทางดังกล่าว
เราก็จะพบว่าตัวเองตัดสินใจ “หันหลัง”
ให้กับต้นไม้มิตรภาพบางต้น
มันเป็นการตัดสินใจที่รู้สึก
ใจหายได้เหมือนกันนะครับ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
ความทรงจำดีๆที่เรามีกับต้นไม้ต้นนั้น
จะต้องถูกโยนทิ้งไปด้วยเสมอไป
มันอาจหมายความว่า
ต้นไม้ต้นนั้นคือต้นไม้ประเภท “ถั่วงอก”
ที่มีอายุขัยธรรมชาติสั้นเท่านั้น
มันไม่เป็นไรเลยครับที่เราจะหยุดรดน้ำ
ให้กับ “ถั่วงอก” ที่เกินอายุขัยของมันไปแล้ว
ชีวิตของเราจะได้มีพื้นที่ว่างสำหรับต้นไม้มิตรภาพต้นอื่นครับ
อ้างอิง
Weiss, R. (1974) The Provisions of Social Relationships. In: Rubin, Z., Ed., Doing unto Others, Prentice Hall, Englewood Cliffs, 17-26.
https://doi.org/10.4324/9780203791486
https://psycnet.apa.org/doi/10.2307/1130550
https://doi.org/10.1037/a0028601
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0033-2909.121.3.355

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความสัมพันธ์ #เพื่อน #มิตรภาพ

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคนรุ่นใหม่หลายคนจึงเลือกที่จะไม่มีลูกมากขึ้นเรื่อยๆ?บางคนมองว่า คนรุ่นใหม่ตัดสินใจไม่มีลูกเพราะต้...
07/10/2025

เคยสงสัยไหมครับว่า
ทำไมคนรุ่นใหม่หลายคน
จึงเลือกที่จะไม่มีลูกมากขึ้นเรื่อยๆ?
บางคนมองว่า คนรุ่นใหม่ตัดสินใจไม่มีลูก
เพราะต้องการ “หลีกหนี” จากความรับผิดชอบ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่มีลูก
วันนี้ ผมได้รวบรวม 3 “เหตุผลยอดฮิต”
ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจดังกล่าวมานำเสนอครับ
# 1 ภาพของ “ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ” ในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน
ในอดีต
การมี “ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ” มักจะเป็น
การเติบโตขึ้นและสร้างครอบครัวของตัวเอง
แต่ทุกวันนี้
ภาพของ “ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ”
มีความหลากหลายมากขึ้น
(เช่น การมีอิสรภาพในชีวิต
การเติบโตในหน้าที่การงาน
การมีโอกาสได้ท่องเที่ยวรอบโลก เป็นต้น)
# 2 มองว่าตัวเองมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่เพียงพอที่จะมีลูก
ทุกวันนี้
หลายคน “เข้าถึง” ความรู้ทางจิตวิทยามากขึ้น
ส่งผลให้พวกเขาเห็นว่าพ่อแม่มีบทบาท
ต่อสุขภาพจิตของลูกเป็นอย่างมาก
พวกเขาจึงมองว่า ตราบใดที่พวกเขา
ยังไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่สูงมากพอ
พวกเขาก็จะยังไม่มีลูกเพราะพวกเขา
ไม่ต้องการให้ลูกเกิดปัญหาสุขภาพจิต
เนื่องจากวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ต่ำของพวกเขา
# 3 เหตุผลด้านเศรษฐกิจ
หลายคนได้ลองคิดคำนวณดูว่า
หากพวกเขาต้องการเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆจะมีอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่
พอพวกเขามองเห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายแล้ว
พวกเขาก็พบว่าตัวเองแบกรับค่าใช้จ่ายในระดับนั้นไม่ไหว
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ผมนำเสนอในวันนี้
จะเป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยให้ทุกคนเข้าใจ
กลุ่มคนที่เลือกจะไม่มีลูกได้มากขึ้นนะครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1007/BF01082080
https://doi.org/10.1007/BF00140093
https://doi.org/10.1007/BF00287774
https://doi.org/10.1017/s0021932000014449
https://doi.org/10.23979/fypr.45051
https://doi.org/10.1111/j.1751-9020.2012.00496.x

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #คนรุ่นใหม่ #ลูก

คุณเป็นคนที่ขี้กังวล คิดมาก หรือทุกข์ใจง่ายหรือเปล่าครับ?ถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ คุณอาจจะมองว่าตัวเองมีนิสัยที่อ่อนแอและไร้ปร...
06/10/2025

คุณเป็นคนที่ขี้กังวล คิดมาก หรือทุกข์ใจง่ายหรือเปล่าครับ?
ถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ คุณอาจจะมองว่า
ตัวเองมีนิสัยที่อ่อนแอและไร้ประโยชน์
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
นี่คือนิสัยที่ทำให้คุณสามารถ
รับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้ง
(เช่น ทะเลาะกับเพื่อนสนิท) ได้ดีกว่าที่คุณคิด
นั่นเป็นเพราะว่า…
คุณจะจับสัญญาณความ “ไม่โอเค” ของคนอื่นได้ไว
(เช่น ตอนที่คุณมาสาย เพื่อนสนิทบอกว่า “ไม่เป็นไร”
แต่คุณเห็นว่าเพื่อนสนิทมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก)
ส่งผลให้คุณสามารถลงมือทำการ “ตัดไฟแต่ต้นลม”
และทำให้ความขัดแย้งไม่ปะทุหนักได้
(เช่น คุณสวมกอดเพื่อนสนิทพร้อมกับพูดว่า
“ขอบคุณนะที่พยายามไม่ถือโทษโกรธเคืองฉันในครั้งนี้
ทั้งๆที่ในใจเธอคงจะหงุดหงิดฉันไม่น้อยเลย”)
นอกจากนี้…
ความคิดมากของคุณยังสามารถช่วยให้คุณ
“วาดภาพ” ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า
ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆได้อย่างชัดเจน
(เช่น คุณ “วาดภาพ” ไว้ว่า
เพื่อนสนิทจะรู้สึกไม่พอใจที่คุณมาสาย
เพราะมันจะทำให้ซื้อตั๋วหนังไม่ทันรอบฉาย)
ส่งผลให้คุณสามารถลงมือแก้ปัญหาดังกล่าว
ให้คลี่คลายก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งกับ “คู่กรณี” ได้
(เช่น คุณซื้อตั๋วหนังออนไลน์ให้ตัวเองและเพื่อนสนิท
ก่อนที่จะเดินทางถึงโรงหนัง ทำให้คุณกับเพื่อนสนิท
ดูหนังได้ทันรอบฉาย แม้ว่าคุณจะมาสายก็ตาม)
เราจะเห็นได้ว่านิสัย “กังวล คิดมาก หรือทุกข์ใจง่าย” นั้น
ใช่ว่าจะเป็นนิสัยที่ไร้ประโยชน์หรือสร้างปัญหาภายในความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว
หากเราหยิบนิสัยดังกล่าวมาใช้อย่างเหมาะสม
มันสามารถกลายเป็น “จุดแข็ง” ที่ช่วยให้เรา
แก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ได้ดีเลยทีเดียวครับ!
อ้างอิง
http://dx.doi.org/10.1016/j.jrp.2025.104625
https://doi.org/10.1525/collabra.266
https://doi.org/10.1108/eb022814
https://doi.org/10.1016/j.paid.2019.109794

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #กังวล

เพื่อนผู้หญิงหลายคนบอกผมว่า พวกเธอเป็น “เดอะแบก” ภายในความสัมพันธ์พวกเธอทำงานหาเงิน พอกลับบ้านยังต้องทำงานบ้าน แล้วยังต้...
05/10/2025

เพื่อนผู้หญิงหลายคนบอกผมว่า
พวกเธอเป็น “เดอะแบก” ภายในความสัมพันธ์
พวกเธอทำงานหาเงิน พอกลับบ้านยังต้องทำงานบ้าน
แล้วยังต้องคอยเป็น “นักจิตวิทยาส่วนตัว” ให้แฟน
แถมยังเป็นฝ่ายรดน้ำ “ต้นไม้ความสัมพันธ์” อยู่คนเดียวอีกด้วย
ไม่แปลกใจเลยครับที่พวกเธอจะรู้สึกหนักและเหนื่อย
หากสถานการณ์ภายในความสัมพันธ์
ยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะนี้
พวกเธอก็จะถึงขีดจำกัดของการเป็น “เดอะแบก”
ส่งผลให้พวกเธอ “เททุกอย่าง” ได้
ซึ่งแน่นอนครับว่า เมื่อ “เดอะแบก” เลือกที่จะ “เททุกอย่าง”
มันก็ไม่ต่างอะไรกับรถจักรยานที่ล้อหลุดไป 1 เส้น
(แถมเป็นล้อที่รับน้ำหนักส่วนใหญ่ของจักรยานมาโดยตลอดอีกด้วย)
มันมีโอกาสไม่น้อยเลยครับที่ความรักครั้งนี้จะ “ไปต่อไม่ได้” และ “พังทลาย” ลงในที่สุด
ฉะนั้น หากวันนี้ เรากำลังเป็น “เดอะแบก” อยู่
และเราไม่อยากเห็นความสัมพันธ์ของเรา “ขรุขระ” ในระยะยาว
สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือการจับเข่าพูดคุยกับแฟนดูครับ
สื่อสารให้แฟนรับรู้อย่างชัดเจนว่า…
…เรารู้สึกหนักและเหนื่อยแค่ไหน
…เราอยากลดปริมาณการ “แบก” ในเรื่องอะไรบ้าง
…เราอยากให้แฟนเข้ามาช่วย “แบก” ในเรื่องอะไรบ้าง
แฟนอาจจะไม่ได้ “ตอบตกลง”
กับทุกอย่างที่เราร้องขอไปก็จริง
แต่ถ้าแฟน “ตอบตกลง” กับ
สิ่งที่เราร้องขอไปสัก 10%
มันก็ช่วยลดความหนักและความเหนื่อย
ของเรา (ที่เป็น “เดอะแบก”) ได้ไม่น้อยแล้วครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1093/sf/79.1.191
https://psycnet.apa.org/doi/10.1111/j.1741-3737.2000.01208.x
Hochschild, A. R. (1983). The Managed Heart: Commercialization of Human Feeling. Berkeley, CA: University of California Press.
Hochschild, A. R., & Machung, A. (1989). The second shift. New York, NY: Avon.

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความรัก #ความสัมพันธ์ #แฟน

เคยไหมครับ?มีคนมาขอให้คุณทำอะไรบางอย่างให้(เช่น ขอให้ช่วยทำงาน ขอยืมเงิน) และคุณก็ได้ตอบปฏิเสธไปแล้วก่อนหน้านี้แต่เขาก็ย...
04/10/2025

เคยไหมครับ?
มีคนมาขอให้คุณทำอะไรบางอย่างให้
(เช่น ขอให้ช่วยทำงาน ขอยืมเงิน)
และคุณก็ได้ตอบปฏิเสธไปแล้วก่อนหน้านี้
แต่เขาก็ยังกลับมาขอให้คุณช่วยเหมือนเดิมอยู่ดี!
เพราะเขามองว่า “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน”
ดังนั้น หากเขาขอความช่วยเหลือไปเรื่อยๆ
สักวันหนึ่ง คุณก็อาจตอบตกลงได้
ในแง่มุมหนึ่ง การทำแบบนี้มันสะท้อนถึง
ความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ความหวังดี หรือความต้องการที่จริงใจ
(ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่หลายคนชื่นชม)
แต่ในมุมของคนที่เป็น “ก้อนหิน” พฤติกรรมเช่นนี้
สามารถสร้างความหงุดหงิดไม่พอใจได้อย่างแรง
เพราะคนที่เป็น “ก้อนหิน” ก็อาจคิดในใจว่า
“เธอกำลังกดดันให้ฉันตอบตกลงให้ได้เลยใช่ไหม?
นี่มันชักจะล้ำเส้นกันเกินไปหน่อยแล้วนะ!
เธอดูไม่เคารพการตัดสินใจของฉันเอาซะเลย!”
คนที่เป็น “ก้อนหิน” จะรับมือกับสถานการณ์ทำนองนี้ยังไงดี?
วันนี้ ผมมีแนวทางในเบื้องต้นบางส่วน
ที่อาจเป็นประโยชน์กับ “ก้อนหิน” ทุกคนครับ
# 1 ยืนหยัดในคำตอบเดิมให้ชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น
“ฉันรู้ว่าเธออยากให้ฉันช่วย
แต่เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว
และคำตอบของฉันก็ยังคงเหมือนเดิมนะ”
เป็นต้น
# 2 ใช้ความเงียบเข้ามาช่วย
หลังจากที่เรายืนหยัดในจุดยืนของเราแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือยกเหตุผลมาพูดไปมากกว่านี้
เพียงแค่เราเงียบและใช้สายตามองคู่สนทนา
จนกว่าเขาจะหยุด “ตื้อ” ก็มีพลังไม่น้อยแล้วครับ
# 3 ตั้งคำถามกลับไปบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น
“เราเคยคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้ว
และแต่ละครั้ง ฉันก็ให้คำตอบเดิมกับเธอตลอด
อะไรที่ทำให้เธอยังหยิบเรื่องนี้มาคุยกันอีกหรือ?”
เป็นต้น
แนวทางในเบื้องต้นที่ผมนำเสนอไปนี้
มันอาจไม่ได้การันตีว่าจะทำให้อีกฝ่ายหยุด “ตื้อ” ได้ก็จริง
แต่เชื่อได้เลยครับว่า หากคนที่เป็น “ก้อนหิน”
วางตัวสอดคล้องกับแนวทางในข้างต้น
ฝ่ายที่พยายามจะ “หยดน้ำ” ก็คงต้อง
คิดมากขึ้นก่อนที่จะมา “หยดน้ำ” ในครั้งต่อไปแน่นอนครับ
อ้างอิง
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37273933/
https://doi.org/10.1007/BF03000093

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ล้ำเส้น #ความสัมพันธ์ #ช่วยเหลือ

ชีวิตของเราแต่ละวันก็ไม่ต่างอะไรกับสภาพอากาศในแต่ละวันเลยครับชีวิตบางวันก็เป็นเหมือนวันที่แดดออกสดใส ร่าเริง น่าตื่นเต้น...
03/10/2025

ชีวิตของเราแต่ละวัน
ก็ไม่ต่างอะไรกับ
สภาพอากาศในแต่ละวันเลยครับ
ชีวิตบางวันก็เป็นเหมือนวันที่แดดออก
สดใส ร่าเริง น่าตื่นเต้น
แต่ชีวิตบางวันก็เป็นเหมือนวันที่ฟ้ามืด
น่าเบื่อ เครียด หม่นหมอง
ในวันที่ชีวิตแดดออก
มันไม่แปลกที่เราจะ
อ้าแขนต้อนรับชีวิตอย่างเต็มที่
แต่ในวันที่ชีวิตฟ้ามืดล่ะ?
เราต้องทนอยู่กับความเบื่อ
ความเครียด ความหม่นหมอง
โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ?
มันอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆแหละครับ…หากเราฟันธงในใจว่า
“วันนี้คือวันที่ฟ้ามืด ฉะนั้น
ฉันก็จะต้องเจอกับความเบื่อ
ความเครียด และความหม่นหมอง
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน”
เพราะถ้าเราฟันธงแบบนี้
มันเท่ากับว่าเราปิดโอกาสไม่ให้ตัวเอง
ได้เจอกับอย่างอื่นนอกจาก
ความเบื่อ ความเครียด และความหม่นหมองเท่านั้น
ในทางกลับกัน
หากเรามองวันที่ฟ้ามืด
ด้วยสายตาที่ใคร่รู้
(เช่น “ฉันอยากรู้จังว่าจะเจอกับอะไรบ้างในวันนี้?”)
เราอาจจะยังเจอกับความเบื่อ
ความเครียด และความหม่นหมองอยู่ก็จริง
แต่สายตาที่ใคร่รู้ก็จะเปิดโอกาสให้เรา
มองเห็น “แสงสว่าง” ภายในวันที่ฟ้ามืดได้ง่ายขึ้น
(แม้จะเป็น “แสงสว่าง” เล็กๆน้อยๆอย่างเช่น
การเจอคนแปลกหน้าเปิดประตูลิฟต์ค้างไว้ให้เราก็ตาม)
มันจะช่วยให้วันที่ฟ้ามืดของเราไม่ใช่วันที่ “มืดสนิท” ได้
ผมขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจเล็กๆ
ให้ทุกคนที่กำลังเผชิญกับวันที่ฟ้ามืดอยู่นั้น
ได้พบกับ “แสงสว่าง” กันถ้วนหน้านะครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1037//0003-066x.56.3.218
https://doi.org/10.1037//0022-3514.84.2.377

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา

ที่อยู่

Samut Prakan

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

About Journaling My Journey

My Interests: จิตวิทยา, ปรัชญา, การลงทุน และอื่นๆที่ผมอาจจะเห่อเป็นพักๆ

-

My Educational Background

ปริญญาตรี: เศรษฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย