Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา

Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา ผมให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาครับ

ผมนำเสนอเกร็ดความรู้จิตวิทยาในรูปแบบที่ "ย่อยง่าย" และเป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกๆคนครับ

เวลาที่หลายคนมีความรัก พวกเขาคาดหวังให้อีกฝ่าย “ทุ่มเท” ให้กับความรักนี้ในระดับที่เท่ากันกับตัวพวกเขาเองมันเป็นความคาดหว...
07/12/2025

เวลาที่หลายคนมีความรัก
พวกเขาคาดหวังให้อีกฝ่าย “ทุ่มเท”
ให้กับความรักนี้ในระดับที่เท่ากันกับตัวพวกเขาเอง
มันเป็นความคาดหวังที่ไม่น่าแปลกใจนะครับ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว
เราคงไม่อยากเป็น “เดอะแบก”
ที่คอยให้ๆๆ (ส่วนแฟนก็คอยรับๆๆ)
อยู่ฝ่ายเดียวในความสัมพันธ์เท่าไหร่นัก
แต่ต่อให้เราไม่ใช่ “เดอะแบก” ในความสัมพันธ์
การคาดหวังให้อีกฝ่าย “ทุ่มเท” ในระดับที่พอๆกับเรานั้น
ก็ยังสามารถสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้…
…หากเรา “ล็อกเป้า” ไว้ในใจอย่างเหนียวแน่นว่า
เราอยากจะเห็นพฤติกรรมอะไรจากอีกฝ่ายบ้าง
เพราะมันอาจทำให้เรามองข้ามความ “ทุ่มเท” อื่นๆของอีกฝ่าย
(ที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เรา “ล็อกเป้า” ไว้ในใจว่าอยากจะเห็น) ได้
ยกตัวอย่างเช่น
เราเคยเสนอตัวว่าจะช่วยแฟนทำงาน
เพราะตอนนั้นเราเห็นว่าแฟนกำลังป่วย
ฉะนั้น พอเรากำลังป่วย เราก็คาดหวัง
อยากให้แฟนเสนอตัวช่วยเราทำงานบ้าง
และพอแฟนไม่ได้ทำเช่นนั้น
มันก็ทำให้เรารู้สึกผิดหวังในตัวแฟน
มันทำให้เรามองว่าตัวเองเป็น “เดอะแบก”
ที่ “ทุ่มเท” ให้กับแฟนมากกว่าที่แฟน “ทุ่มเท” ให้กับเรา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรามองข้ามไปก็คือ…
แม้แฟนจะไม่ได้ช่วยเราทำงานในวันนั้น
แต่แฟนรับผิดชอบงานบ้าน
และการดูแลลูกในช่วงที่เรากำลังป่วยทั้งหมด
(ซึ่งปกติแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นความรับผิดชอบ
ร่วมกันระหว่างเรากับแฟนมาโดยตลอด)
เป็นต้น
แน่นอนครับ ผมไม่ได้กำลังบอกว่า
การคาดหวังพฤติกรรมบางอย่างจากแฟน
(เช่น การเสนอตัวช่วยทำงานในยามที่เราเจ็บป่วย)
เป็นเรื่องที่ “ผิด” นะครับ
อันที่จริง หากเรามีความต้องการที่ชัดเจนเช่นนั้น
ผมสนับสนุนให้เราสื่อสารความต้องการดังกล่าวกับแฟนด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมไม่สนับสนุนคือการฟันธงทันทีทันใดว่า
การที่แฟนไม่ได้ทำตามที่เรา “ล็อกเป้า” ไว้ในใจนั้น
มันคือการที่แฟนไม่ได้ “ทุ่มเท” ให้กับความสัมพันธ์นี้มากเท่ากับเราครับ

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความรัก #ความสัมพันธ์ #แฟน

ตอนที่เรายังเป็นนักเรียนนักศึกษา วันที่เรา “สอบติด” โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้สำเร็จเราอาจจะใช้เวลาในวันนั้นไป...
05/12/2025

ตอนที่เรายังเป็นนักเรียนนักศึกษา
วันที่เรา “สอบติด” โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้สำเร็จ
เราอาจจะใช้เวลาในวันนั้นไปกับการเฉลิมฉลองก็จริง
แต่เรารู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะหากเรา “หย่อนยาน”
หลังจากที่ “สอบติด” มากเกินไป
ในที่สุดแล้ว เราก็อาจถูกเชิญออกได้
พอเราเข้าสู่วัยทำงาน วันที่เรา “ได้งาน” ใน
บริษัทหรือองค์กรหรือหน่วยงานที่ต้องการได้สำเร็จ
เราอาจจะใช้เวลาในวันนั้นไปกับการเฉลิมฉลองก็จริง
แต่เราก็รู้อีกเช่นกันว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะหากเรา “หย่อนยาน”
หลังจากที่ “ได้งาน” มากเกินไป
ในที่สุดแล้ว เราก็อาจถูกเชิญออกได้
ในทางกลับกัน พอเป็นเรื่องของความรัก
หลายคนกลับมีมุมมองที่แตกต่างจากเรื่องการเรียน/การทำงาน
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆคนก็คือ
ทันทีพวกเขาตกลงเป็นแฟน/หมั้นหมาย/แต่งงาน
พวกเขาจะเกิดความคิดขึ้นมาในใจว่า
“เอาล่ะ! ฉันถึงเส้นชัยแล้ว ฉันผ่อนคลายได้แล้ว ฉันไม่ต้องพยายามอีกแล้ว”
มันทำให้พวกเขา “ปล่อยจอย” ในความสัมพันธ์อย่างแรง
และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ในเวลาต่อมา
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว
ความรักก็ไม่ต่างอะไรกับ
การเรียนหรือการทำงานเลยครับ
วันที่เรา “ได้มา” ไม่ใช่วันที่เรา “ถึงเส้นชัย”
แต่มันคือจุดเริ่มต้นของความพยายามอย่างต่อเนื่องมากกว่าครับ

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความรัก #พยายาม #ความสัมพันธ์ #แฟน

หลายคนให้ความสำคัญกับการ “พึ่งพาตัวเอง” เป็นอย่างมากพวกเขามองว่าการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นถือเป็นการกระทำที่ “อ่อนแอ” “...
04/12/2025

หลายคนให้ความสำคัญกับการ “พึ่งพาตัวเอง” เป็นอย่างมาก
พวกเขามองว่าการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ถือเป็นการกระทำที่ “อ่อนแอ” “ไร้ความสามารถ” “เป็นภาระคนอื่น”
ซึ่งหากจะมองในแง่หนึ่ง
มุมมองลักษณะนี้…ถือว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเลยครับ
แต่จะเกิดอะไรขึ้น…หากว่าวันหนึ่ง
พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขา
ไม่สามารถ “เอาอยู่” ได้ด้วยตัวคนเดียว?
คำว่า “อ่อนแอ” “ไร้ความสามารถ” “เป็นภาระคนอื่น”
อาจกลายเป็นกำแพงที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
พวกเขาอาจพยายามฝืนที่จะ
“เอาให้อยู่” ด้วยตัวเองคนเดียวให้ได้…ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้
ส่งผลให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการฝืนนั้น
มีความรุนแรงกว่า เมื่อเทียบกับกรณีที่พวกเขา
ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากคนอื่นตั้งแต่แรก
ยกตัวอย่างเช่น
เราพยายามที่จะทำงานทุกอย่างภายในทีมด้วยตัวเอง
(แม้ว่างานบางส่วนจะเป็นงานที่เราไม่คุ้นเคย
เพราะหัวหน้าทีมเพิ่งจะมอบหมายงาน
ดังกล่าวให้เราทำเป็นครั้งแรกก็ตาม)
เราไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยปากขอคำปรึกษา
จากเพื่อนร่วมทีมหรือหัวหน้าทีม
เพราะเราไม่ต้องการ “รบกวนคนอื่น”
ในที่สุด งานที่เราทำก็เกิดข้อผิดพลาด
ส่งผลให้บริษัทสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก
และทำให้ทุกคนในทีมอดได้โบนัสประจำปีไป
มันจึงกลายเป็นว่าความพยายามของเรา
ที่จะไม่ “รบกวนคนอื่น” กลับส่งผลให้เรา “รบกวนคนอื่น” ซะอย่างนั้น!
ในทางกลับกัน หากเราเลือกที่จะ
“รบกวนคนอื่น” ตั้งแต่แรก
ข้อผิดพลาดก็จะไม่เกิดขึ้น และทุกคนในทีม
ก็จะได้โบนัสประจำปีกันถ้วนหน้า
เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ แม้ผมจะมองเห็นประโยชน์
ของการ “พึ่งพาตัวเอง” แต่ถ้าเรายึดติดกับ
การ “พึ่งพาตัวเอง” มากจนทำให้เรามองว่า
การขอความช่วยเหลือจากคนอื่นคือการการกระทำที่
“อ่อนแอ” “ไร้ความสามารถ” “เป็นภาระคนอื่น” ล่ะก็
มันอาจจะนำมาสู่ผลเสียมากกว่าผลดี…ก็เป็นได้ครับ!

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #พึ่งตัวเอง

หนึ่งสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดสำหรับหลายๆคนคือความล้มเหลวไม่ว่าความล้มเหลวนั้นจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน ความรัก หรือเร...
02/12/2025

หนึ่งสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด
สำหรับหลายๆคนคือความล้มเหลว
ไม่ว่าความล้มเหลวนั้นจะเป็นเรื่อง
การเรียน การทำงาน ความรัก หรือเรื่องอะไรก็ตาม
มันทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะ “ไม่ลงมือทำ”
เพราะถ้าพวกเขา “ไม่ลงมือทำ” พวกเขาก็จะไม่ล้มเหลว
แต่ถ้ามองในมุมหนึ่ง การ “ไม่ลงมือทำ” เลยนั้น
มันก็คือความล้มเหลวในรูปแบบหนึ่งอยู่ดี!
ดังนั้น การรับมือกับความกลัวล้มเหลว
ด้วยการ “ไม่ลงมือทำ” จึงไม่ใช่คำตอบ
แล้วอะไรกันนะ…ที่จะเป็นคำตอบ?
แน่นอนครับว่า…คำตอบก็คือการ “ลงมือทำ” (แม้จะยังไม่หายกลัวก็ตาม)
เวลาที่เรา “ลงมือทำ” เราอาจจะไม่สามารถ
การันตีความสำเร็จได้ก็จริง แต่อย่างน้อยที่สุด
มันจะป้องกันไม่ให้เราล้มเหลวจากการ “ไม่ลงมือทำ” ได้!
แต่การเริ่มต้น “ลงมือทำ” โดยที่ยังมีความกลัวปกคลุมอยู่ในใจนั้น…มันไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้น หากเราจะเริ่มต้น “ลงมือทำ”
ขอให้เราเริ่มต้นกับเรื่องที่น่ากลัวน้อยที่สุดก่อน
ยกตัวอย่างเช่น
เรากลัวที่จะนำเสนองานต่อหน้าลูกค้า
เรากลัวที่จะมี spotlight ฉายเข้ามา
เรากลัวที่จะถูกคนอื่นจับจ้อง
เรากลัวว่าคนอื่นจะมองเราแย่หากเราพูดผิด
เราเลย “ปัด” ให้เพื่อนร่วมทีมทำสิ่งนี้มาโดยตลอด
และไม่ใช่แค่การนำเสนองานกับลูกค้าเท่านั้นนะครับ
ทุกครั้งที่เราเข้ามานั่งอยู่ในห้องประชุม
แทบจะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังนั่งอยู่
เพราะเราจะนั่งเงียบๆมาโดยตลอด
แต่เราไม่อยากถูกความกลัวครอบงำจิตใจในเรื่องนี้อีกแล้ว
แต่ถ้าจะให้เราเริ่มต้นด้วยการนำเสนองาน
ต่อหน้าลูกค้าในการประชุมครั้งต่อไปเลย
มันก็มากเกินกว่าที่เรารับมือไหว (ในตอนนี้)
ฉะนั้น เราอาจจะเริ่มต้นด้วยการพูดทักทาย
คนที่เข้ามาร่วมประชุมสัก 2-3 ประโยค
ก่อนที่การประชุมจะเริ่มเข้าสู่ “เนื้อหา” ดูก่อน
นี่ถือเป็นก้าวแรกของเรา
ถ้าเราทำก้าวแรกได้แล้ว
เราค่อยคิดว่าก้าวที่สองของเรา
(ซึ่งท้าทายมากกว่าก้าวแรกนิดหนึ่ง)
จะเป็นอะไรต่อไป
มันอาจจะฟังดูเป็นการเริ่มต้นที่ “ง่ายเว่อร์” นะครับ
(แม้คนที่รู้สึกกลัวหลายคนก็อาจจะยังมองว่ามัน “ง่าย” อยู่ดี)
แต่นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมต้องการ!
ผมต้องการให้การเริ่มต้น
มันง่ายมากจนทำให้เราคิดว่า
“ง่ายแบบนี้…ฉันต้องทำแล้วแหละ!”
ผมต้องการให้เกิดการ “ลงมือทำ” ก้าวแรก
เพราะถ้าเรามีก้าวแรก ก้าวที่สองก็มีโอกาสที่จะตามมา
และถ้าก้าวที่สองตามมา ก้าวที่สามก็จะมีโอกาสตามมาอีก
และตามด้วยก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก ฯลฯ
และเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะเริ่มสังเกตเห็นว่า
ยิ่งเราได้ “ลงมือทำ” ไปหลายๆก้าว
ความกลัวมันจะเริ่มมีอิทธิพลในใจเราน้อยลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง พอเรารู้ตัวอีกที
เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่นำเสนองาน
ต่อหน้าลูกค้าได้เป็นร้อยเป็นพันแบบสบายๆแล้ว!
กล่าวโดยสรุปก็คือ…
ถ้าเรากลัวล้มเหลว ทางออกของเราไม่ใช่การ “ไม่ลงมือทำ”
แต่คือการเริ่มต้น “ลงมือทำ” มากขึ้นทีละเล็กทีละน้อยมากกว่าครับ!

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #กลัว #ล้มเหลว

สำหรับหลายๆคน การยอมรับว่าตัวเอง “ไม่รู้” คือหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาทำได้ยากที่สุดแต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย คำว่า “ไม่รู้” ...
01/12/2025

สำหรับหลายๆคน
การยอมรับว่าตัวเอง “ไม่รู้”
คือหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาทำได้ยากที่สุด
แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย
คำว่า “ไม่รู้” คือเครื่องมือที่ทรงพลัง
ในการ “ชักใย” ความสัมพันธ์
ให้เป็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ
ยกตัวอย่างเช่น
เวลาที่เราทำงานอยู่ในทีม
และหัวหน้ามีงานเพิ่มเติมเข้ามา
คำว่า “ฉันไม่รู้ ฉันทำไม่เป็น”
สามารถกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ
ที่ช่วยให้เราไม่ต้องแบกรับ
ความรับผิดชอบในงานที่เพิ่มเข้ามาได้
หรือเวลาที่เราอยู่กับแฟน และเราบอกแฟนว่า
“ฉันไม่รู้ ฉันรีดเสื้อตัวนี้ให้เนี๊ยบไม่เป็น”
มันก็สามารถช่วยให้เรา “เอาตัวรอด”
ในเรื่องการทำงานบ้านได้สบายๆ
เป็นต้น
ซึ่งแน่นอนครับว่า หากเราใช้ชีวิตอยู่กับ
คนที่ “ไม่รู้” ในลักษณะนี้ไปได้สักระยะ
เราก็จะเริ่มรู้สึกหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะอีกฝ่ายก็จะใช้คำว่า “ไม่รู้”
ในการโยนภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ
มาให้เราแบกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตอนแรกๆ เราอาจจะไม่มีปัญหา
กับการเป็น “เดอะแบก” นี้ก็จริง
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสักพัก
และสิ่งที่ต้องแบกเริ่มมีมากขึ้น
ในที่สุดแล้ว เราก็จะถึงขีดจำกัด
ที่ทำให้เราไม่สามารถเป็น
“เดอะแบก” ไปมากกว่านี้ได้อีก
ซึ่งพอถึงจุดนั้น เราก็มีโอกาสที่จะ
ระเบิดอารมณ์รุนแรงกับอีกฝ่ายได้
(หากเราเลือกที่จะเป็น “เดอะแบก” เงียบๆมาโดยตลอด)
ภาพของการระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลายคนอยากให้เกิดขึ้น
แต่เราจะป้องกันไม่ให้สถานการณ์
“บานปลาย” ไปในลักษณะนั้นได้อย่างไร
หากอีกฝ่ายยังคงมุ่งมั่นที่จะใช้คำว่า “ไม่รู้”
เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบอย่างไม่ลดละ?
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมมองว่าการยืนหยัดให้
อีกฝ่ายแบกรับความรับผิดชอบคือกุญแจสำคัญครับ
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามบอกว่าตัวเอง “ไม่รู้” แค่ไหน
เราก็ต้องยืนหยัดให้เขาแบกรับความรับผิดชอบให้ได้
ซึ่งถ้าอีกฝ่ายเขา “ไม่รู้” จริงๆ (ไม่ใช่ “ไม่รู้” แค่ลมปาก)
เราไม่ต้องให้เขาแบกรับความผิดชอบเต็ม 100% ก็ได้นะครับ
(เพราะเขาอาจจะแบกรับมันไม่ไหว)
เราอาจจะเริ่มจากการให้เขาแบกรับสัก 5% หรือ 10% ก่อน
หรือถ้าการแบกรับในระดับ 5%
มันยังเยอะเกินไปสำหรับเขา
(เพราะเขา “ไม่รู้” แบบสุดขั้วจริงๆ)
อย่างน้อย เราก็ต้องยืนหยัดให้เขาแบกรับสัก 1% ก็ยังดี
แนวทางที่ผมกำลังนำเสนออยู่นี้
อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ทำให้คนที่เป็น “เดอะแบก”
สบายขึ้นมาได้แบบทันทีทันใดก็จริง
แต่มันเป็นการ “สื่อสาร” (ผ่านการกระทำของเรา)
ให้ฝ่ายที่ “ไม่รู้” เริ่มต้นเห็นว่า นับจากนี้ไป
สมการ “ไม่รู้ = ไม่ต้องทำ” จะไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เราค่อยๆยืนหยัด
ให้อีกฝ่ายเขาเริ่มแบกรับทีละเล็กทีละน้อยนี้
ยังจะเป็น “ดักคอ” ไม่ให้อีกฝ่ายใช้คำว่า
“ไม่รู้” หรือ “ทำไม่เป็น” มาเป็นเหตุผลในการหลีกเลี่ยงอีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เราก็จะค่อยๆยืนหยัด
ให้อีกฝ่ายเขาแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆ
(เช่น ทีละ 1%) จนกระทั่งเราสามารถปลดแอก
ตัวเองจากการเป็น “เดอะแบก” ได้ในที่สุดครับ!

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #รับผิดชอบ

หลายๆคนยกความสุขไปไว้ในอนาคตยกตัวอย่างเช่น“ในวันที่ฉันได้รับ promotion ฉันก็จะมีความสุข”“ในวันที่ฉันแต่งงาน ฉันก็จะมีควา...
30/11/2025

หลายๆคนยกความสุขไปไว้ในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่น
“ในวันที่ฉันได้รับ promotion ฉันก็จะมีความสุข”
“ในวันที่ฉันแต่งงาน ฉันก็จะมีความสุข”
“ในวันที่ฉันสอบติดคณะสาขาที่ต้องการ ฉันก็จะมีความสุข”
เป็นต้น
การยกความสุขไปไว้ในอนาคตเช่นนี้
มีประโยชน์ในแง่ของการกระตุ้น
ให้เรามี “แรงใจ” ในบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้
แต่ถ้ามองในแง่ของการมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว
หลายครั้ง การทำเช่นนี้จบลงที่การ “หลอกตัวเอง”
(โดยที่ตัวเราเองก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจ)
เพราะในวันที่เราบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ได้
(เช่น วันที่เราได้รับการเลื่อนตำแหน่ง)
ใจเราก็มีแนวโน้มที่จะตั้งเป้าหมายใหม่ให้เราวิ่งไล่ตามต่อ
มันจึงกลายเป็นว่า
แม้ในวันที่เราบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ
ความสุขก็ยังคงเป็นเรื่องของอนาคตอยู่ดี!
เราจะแก้ปัญหานี้กันยังไงดี?
เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้ชีวิตแบบไม่มีเป้าหมายดีไหม?
ผมมองว่านั่นไม่ใช่คำตอบครับ
เพราะหากเราไม่มีเป้าหมายเลย
มันจะทำให้ชีวิตเราล่องลอยไร้จุดหมาย
…ซึ่งก็สร้างความทุกข์ให้กับเราได้เช่นกัน
ถ้าอย่างนั้น…
เราแก้ปัญหานี้ด้วยการหยิบเป้าหมายใหญ่ๆนั้น
(เช่น การได้รับเลื่อนตำแหน่ง)
มาซอยให้กลายเป็นเป้าหมายที่มีขนาดเล็กลง
เพื่อที่เราจะได้มีความสุข “ระหว่างทาง”
ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เป้าหมายใหญ่นั้นดีไหม?
ยกตัวอย่างเช่น
ก่อนที่จะเราจะได้รับเลื่อนตำแหน่ง
เราเริ่มจากการตั้งเป้าที่จะเป็นพนักงาน
ที่ทำงานได้โดดเด่นประจำไตรมาสก่อน
เป็นต้น
ผมมองว่านี่คือทางเลือกที่ดีกว่า
การใช้ชีวิตแบบไร้เป้าหมายนะครับ
แต่ผมมองว่า “รายละเอียด” ของ
เป้าหมายขนาดเล็กนั้นมีความสำคัญมาก
เพราะต่อให้เราจะหยิบเป้าหมายขนาดใหญ่
มาซอยลงเป็นเป้าหมายขนาดเล็กแล้ว
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็อาจจะไม่ได้สวยงามก็ได้
หาก “รายละเอียด” ของเป้าหมายขนาดเล็กนั้นไม่เหมาะสม
แล้ว “รายละเอียด” ของเป้าหมายที่เหมาะสมนั้น…มีอะไรบ้าง?
ผมมองว่า “รายละเอียด” ที่เด่นๆมีอยู่ 2 จุดด้วยกันครับ
จุดแรก
หากเราต้องการที่จะมีความสุขได้ในทุกๆวัน
เป้าหมายขนาดเล็กนี้ก็ควรจะเป็น “เป้าหมายรายวัน”
(ไม่ใช่รายปี รายครึ่งปี รายไตรมาส ฯลฯ)
ยกตัวอย่างเช่น
การเป็นพนักงานดีเด่นประจำไตรมาส
เป็นเป้าหมายที่มีขนาดเล็กกว่า
การได้รับเลื่อนตำแหน่งก็จริง
แต่มันยังไม่ใช่ “เป้าหมายรายวัน”
ในทางกลับกัน หากเราตั้งเป้าว่า
เราจะปิดการขายกับลูกค้า
ให้ได้ 3 คนก่อนเลิกงานวันนี้
นี่ถือเป็น “เป้าหมายรายวัน”
เป็นต้น
จุดที่สอง
หากเราต้องการที่จะมีความสุขได้ในทุกๆวัน
เป้าหมายขนาดเล็กนี้ก็ควรจะเป็น
สิ่งที่เราทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
(ไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอก เช่น คนอื่นๆ สภาพอากาศ)
เพราะต่อให้เราจะมี “เป้าหมายรายวัน”
แต่หากเราไม่สามารถบรรลุเป้าได้ในทุกๆวัน
(เพราะปัจจัยภายนอกไม่เอื้ออำนวย)
เราก็คงจะไม่สามารถมีความสุขในทุกๆวันได้
ยกตัวอย่างเช่น
การปิดการขายกับลูกค้าให้ได้ 3 คน
ก่อนเลิกงานวันนี้เป็น “เป้าหมายรายวัน” ก็จริง
แต่นี่คือเป้าหมายที่เราไม่สามารถ
ทำสำเร็จได้ด้วยตัวเองคนเดียว
(เพราะถ้าลูกค้าเลือกที่จะไม่ซื้อ ทุกอย่างก็จบ)
ในทางกลับกัน หากเราตั้งเป้าไว้ว่า
เราจะนำเสนอสินค้ากับลูกค้าในรูปแบบที่
น่าสนใจ เป็นมิตร และมีข้อมูลครบถ้วนถูกต้อง
นี่คือเป้าหมายที่เราสามารถทำสำเร็จด้วยตัวเองได้
เป็นต้น
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ผมได้นำเสนอในวันนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่ต้องการขยับความสุขตัวเอง
จาก “อนาคตที่แสนไกล” มาอยู่ใน “ทุกๆวันของชีวิต” นะครับ

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความสุข #ผัดผ่อน

หลายคนมีความรู้สึกไม่พึงพอใจกับงานที่ทำอยู่หรือความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันบางคนรู้สึกไม่พอใจนิดๆหน่อยๆบางคนรู้สึกไม่...
28/11/2025

หลายคนมีความรู้สึกไม่พึงพอใจกับ
งานที่ทำอยู่หรือความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
บางคนรู้สึกไม่พอใจนิดๆหน่อยๆ
บางคนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม
ในวันที่พวกเขาสูญเสียงานหรือความสัมพันธ์ดังกล่าวไป
พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกช็อก เสียใจ เคว้งคว้างอยู่ดี
ใจพวกเขาเริ่มโหยหางานหรือความสัมพันธ์นั้น
เพราะถ้าพวกเขาสามารถกลับมา
มีงานหรือความสัมพันธ์นั้นได้
ความรู้สึกช็อก เสียใจ เคว้งคว้าง
ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ก็จะหายไป
แต่มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันครับว่า
หากพวกเขา “สมหวัง” และได้งาน
หรือความสัมพันธ์นั้นกลับมาจริงๆ
แม้ความรู้สึกช็อก เสียใจ เคว้งคว้างจะทุเลาลง
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสักพัก
ความรู้สึกไม่พึงพอใจก็จะกลับมาด้วยเช่นกัน!
เราอยากให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอยแบบนี้จริงๆหรือ?
สิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอก็คือ
ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
มันอาจจะให้ความรู้สึกว่าชีวิตเรากำลังเกิดวิกฤติก็จริง
แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันก็เป็นโอกาสด้วย
มันคือโอกาสที่เราจะได้พาตัวเอง
ไปเจอกับงานหรือความสัมพันธ์ใหม่
ที่สามารถ “ตอบโจทย์” สิ่งที่ทำให้เรารู้สึก
ไม่พึงพอใจในงานหรือความสัมพันธ์เก่าได้
แน่นอนครับ ผมไม่ได้กำลังบอกว่า
การกลับไปหางานหรือความสัมพันธ์เก่า
คือทางเลือกที่แย่เสมอไป
เพราะมันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันครับว่า
หลังจากที่ชีวิตเราเจอการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้แล้ว
สิ่งที่เคยทำให้เรารู้สึกไม่พึงพอใจในงานหรือ
ความสัมพันธ์เก่านั้นมันอาจจะคลี่คลายไปแล้วก็ได้
แต่ถ้ามันยังไม่คลี่คลาย การ U-turn กลับไปหา
งานหรือความสัมพันธ์เดิมมันจะไม่ต่างอะไร
กับการหนีเสือปะจระเข้เลยครับ
(ความรู้สึกช็อก เสียใจ เคว้งคว้างจะหายไป
แต่จะมีความไม่พึงพอใจเข้ามาแทนที่)
มันจะดีกว่าไหมหากเราหนีจาก “เสือ” และหันไปหาสิ่งที่ดีกว่า “จระเข้”?
ใช่ครับ ชีวิตของเราแต่ละคนล้วนมีข้อจำกัด
ในที่สุดแล้ว เราอาจจะไม่มีสิ่งที่ดีกว่า “จระเข้” รออยู่…ก็เป็นไปได้
แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าชีวิตเราไม่มี
สิ่งที่ดีกว่า “จระเข้” รออยู่
ถ้าเราไม่ได้ลองหาดูสักตั้งเสียก่อน?
บางคนอาจจะรู้สึกกลัวกับการมองหา
เพราะพวกเขากลัวว่า หากตัวเองมองหา
และค้นพบว่าไม่มีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่
มันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า
แต่ผมไม่ได้มองแบบนั้น
เพราะถ้าเราฟันธงว่าไม่มีสิ่งที่ดีกว่า “จระเข้” รออยู่
(โดยที่ไม่ได้ยังลองหาจริงๆจังๆก่อน)
มันมีโอกาสที่เราจะรู้สึกค้างคาใจ
แต่ในทางกลับกัน
หากเราได้ลงแรงค้นหาดูก่อน
แม้เราจะไม่เจอสิ่งที่ดีกว่า “จระเข้” ในท้ายที่สุด
แต่กระบวนการค้นหาของเรานั้น
มันจะช่วยเคลียร์ความรู้สึกค้างคา
ไม่ให้ตามหลอกหลอนเราในใจได้
ฉะนั้น ต่อให้เราจะ “คว้าน้ำเหลว”
ในการค้นหาสิ่งที่ดีกว่า “จระเข้”
แต่เชื่อได้เลยครับว่ามันจะไม่ใช่
การ “กลับบ้านมือเปล่า” แน่นอนครับ

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา

การมีแผนในอนาคตร่วมกัน (เช่น แผนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน แผนที่จะแต่งงาน แผนที่จะมีลูก) คือเรื่องปกติของคู่รักแต่สำหรั...
27/11/2025

การมีแผนในอนาคตร่วมกัน
(เช่น แผนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน
แผนที่จะแต่งงาน แผนที่จะมีลูก)
คือเรื่องปกติของคู่รัก
แต่สำหรับบางคน แผนในอนาคต
ได้กลายเป็นเครื่องมือในการชักใย
ให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ยกตัวอย่างเช่น
สัญญากับแฟนว่าจะคุยกับผู้ใหญ่เพื่อขอหมั้น
เพื่อให้แฟนมองข้ามเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดจะนอกใจแฟน
เป็นต้น
มันทำให้ฝ่ายที่ถูกชักใยรู้สึกดีใจ
กับภาพอนาคตที่สวยงามนั้น
ส่งผลให้ฝ่ายที่ถูกชักใยเลือก
ที่จะ “ตามใจ” แฟนตัวเอง
(เช่น มองข้ามเหตุการณ์ที่คิดจะนอกใจ)
ประเด็นสำคัญก็คือฝ่ายที่วาดภาพหรูนั้น
เขาเพียงแค่ “ขายผ้า (ภาพ) เอาหน้ารอด” เท่านั้น
เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะ “ลงมือทำ” ให้ภาพ
อนาคตดังกล่าวเป็นจริงขึ้นแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้น เมื่อฝ่ายที่ถูกชักใยมีการ “ทวง”
(เช่น “ผ่านมานานแล้วนะ ทำไมเธอถึงยังคุยกับผู้ใหญ่เสียที”)
ฝ่ายที่วาดภาพหรูก็จะบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ
…ซึ่งสามารถนำมาสู่ความขัดแย้งในเวลาต่อมาได้
และที่ตลกร้ายก็คือ บ่อยครั้ง ฝ่ายที่วาดภาพหรู
จะแก้ไขความขัดแย้งครั้งใหม่นี้ด้วยการ
วาดภาพอนาคตที่สวยงามภาพใหม่ขึ้นมาอีก!
มันจึงกลายเป็น loop ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
ขัดแย้ง => ให้คำสัญญาที่สวยงาม => ไม่ลงมือทำ => มีการทวง => ขัดแย้ง => ให้คำสัญญาที่สวยงาม (อีกแล้ว)
ฝ่ายที่ถูกชักใยจึงได้แต่รอ รอ และก็รอ
รอด้วยความหวัง…ซึ่งในที่สุดก็จบลงด้วยการ “รอเก้อ” อยู่เรื่อยไป
การรอคอยด้วยความหวัง
(ด้วยตัวมันเอง)
ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนะครับ
แต่ถ้ามันเป็นการรอคอย
แบบที่อีกฝ่ายมีแต่ “คำสัญญา”
(แต่ไม่มีการ “ลงมือทำ”)
ติดต่อกันต่อเนื่องเป็นเวลานานล่ะก็
นี่อาจเป็นสัญญาณว่าคนๆนี้ไม่ “ควรค่า” แก่การรอคอยของเรา…ก็เป็นได้ครับ

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความรัก #ความสัมพันธ์

ทุกวันนี้ หลายคนรู้สึกหมดไฟพวกเขาไม่ได้หมดไฟเพราะปัญหาในชีวิตตัวเองถาโถมเข้ามาจนพวกเขารับไม่ไหวนะครับแต่พวกเขาหมดไฟเพราะ...
25/11/2025

ทุกวันนี้ หลายคนรู้สึกหมดไฟ
พวกเขาไม่ได้หมดไฟเพราะปัญหาในชีวิตตัวเอง
ถาโถมเข้ามาจนพวกเขารับไม่ไหวนะครับ
แต่พวกเขาหมดไฟเพราะพวกเขาเป็นห่วงคนรอบตัว
เวลาที่พวกเขาเห็นว่าคนรอบตัวเผชิญกับปัญหา
ใจของพวกเขาจะรีบกระโจนอยากเข้าไปช่วยเหลือ
เพราะพวกเขาไม่ต้องการเห็นคนรอบตัวทรมานกับปัญหาเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์ที่คนรอบตัวเผชิญ
จึงกลายเป็นความทุกข์ของพวกเขาไปด้วย
พวกเขาเข้าใจ (ในเชิงตรรกะ) ครับว่า
พวกเราสามารถช่วยเหลือกันและกันได้
แต่ไม่มีใครที่จะแบกรับความทุกข์แทนกันได้
แต่ถึงกระนั้น ใจพวกเขาก็ยังคงอยากที่จะ
“แบกรับความทุกข์แทน” คนรอบตัวในชีวิตพวกเขาอยู่ดี
คุณผู้อ่านรู้จักคนที่มีลักษณะเหมือน
กับที่ผมเขียนไว้ในข้างต้นไหมครับ?
(หรือในบางกรณี คนๆนั้นก็อาจจะเป็นตัวคุณผู้อ่านเอง…ก็เป็นได้)
ความท้าทายสำคัญสำหรับคนที่ผมเขียนถึงในข้างต้นก็คือ
เราจะบริหารจัดการใจตัวเองอย่างไร
ให้สามารถเป็นห่วงและช่วยเหลือคนรอบตัวได้
โดยไม่ถูกความทุกข์ใจถาโถมเข้ามาจนรับมือไม่ไหว?
สิ่งหนึ่งที่อาจจะช่วยเราได้ในเบื้องต้น
คือการ “ขีดเส้น” กับตัวเองให้ชัดเจนครับ
ยกตัวอย่างเช่น
เราจะอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกเป็นห่วงและ
ช่วยเหลือผู้คนในชีวิตของเราอย่างเต็มที่
แต่เราก็จะ “ขีดเส้น” ไว้ว่า
นับตั้งแต่ 19.00 น เป็นต้นไป (จนถึงเวลานอน)
เราจะหยุดคิดถึงคนอื่นและจะใช้เวลาดังกล่าว
ในการทำเฉพาะสิ่งที่ “เห็นแก่ตัวเอง” เท่านั้น
(เช่น อ่านนิยาย เล่นเกม เล่นดนตรี วาดรูป)
เป็นต้น
ตอนแรกๆที่เราเริ่มต้น “ขีดเส้น”
เราอาจจะพบว่า พอถึงเวลาจริงๆ
ใจเราก็ยังคงนึกเป็นห่วงคนอื่น
สมองเราก็ยังคงคิดหาหนทางที่จะช่วยคนอื่น
สองมือเราก็ยังลงมือทำนู่นนี่นั่นเพื่อคนอื่นอยู่ดี
หากเรา “ติดขัด” ในลักษณะนี้
ผมขอเสนอให้เราลองเริ่มต้น “ขีดเส้น”
เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆก่อนครับ
ยกตัวอย่างเช่น
เริ่มต้นด้วยการ block เวลานาน 30 นาที
ของแต่ละวันให้ “เวลาเห็นแก่ตัวเอง”
(แทนที่จะเริ่มต้น “ขีดเส้น” วันละเป็นชั่วโมงๆ)
เป็นต้น
พอเราเริ่มคุ้นชินกับช่วงระยะเวลาดังกล่าว
เราก็ค่อยๆขยายช่วงเวลานั้นให้นานขึ้นทีละนิดๆ
(เช่น จาก 30 นาทีเป็น 1 ชั่วโมง
จาก 1 ชั่วโมงเป็น 2 ชั่วโมง
จาก 2 ชั่วโมงเป็น 4 ชั่วโมง เป็นต้น)
ในที่สุดแล้ว เราอาจจะยังอดไม่ได้ที่
จะรู้สึกเป็นห่วงคนอื่นหรอกนะครับ
(และเอาเข้าจริงๆ ต่อให้เราจะสามารถ “ดีดนิ้ว”
และบังคับให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ไม่ห่วงใครเลย
(นอกจากตัวเอง) ได้จริงๆ หลายคนก็คง
ไม่อยากเห็นตัวเองกลายเป็นคนแบบนั้นอยู่ดี)
แต่ด้วยแนวทางที่ผมนำเสนอในวันนี้
มันอาจจะช่วยให้เรากลายเป็นคน
ที่แคร์คนอื่น (โดยที่ตัวเองไม่หมดไฟ) ได้ครับ

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #หมดไฟ #แคร์คนอื่น

ทุกวันนี้ หลายคนมีสิ่งที่พวกเขา “ต้องทำ” เป็นจำนวนมาก (เช่น รายงานที่ “ต้อง” เขียน การบ้านที่ “ต้อง” ทำให้เสร็จ “ต้อง” อ...
24/11/2025

ทุกวันนี้ หลายคนมีสิ่งที่
พวกเขา “ต้องทำ” เป็นจำนวนมาก
(เช่น รายงานที่ “ต้อง” เขียน
การบ้านที่ “ต้อง” ทำให้เสร็จ
“ต้อง” ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ)
…แต่พวกเขาไม่ได้ “อยากทำ” สิ่งเหล่านั้น
เพราะอะไร?
เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ “มีความสำคัญ”
ในความรู้สึกของพวกเขาเท่าไหร่นัก
พวกเขาอาจจะเข้าใจ (ในเชิงตรรกะ)
ว่าสิ่งเหล่านั้น “มีความสำคัญ” นะครับ
…แต่พวกเขาไม่ได้ “รู้สึก” ว่าสิ่งเหล่านั้น “มีความสำคัญ”
คำถามสำคัญก็คือ
ทำยังไงเราถึงจะ “รู้สึก” ได้ว่า
สิ่งที่เรา “ต้องทำ” เหล่านี้ “มีความสำคัญ”?
ผมมองว่าหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราตอบคำถามข้อนี้ได้
คือการที่เราจะต้องชัดเจนกับตัวเองให้ได้ก่อนว่า
“ชีวิตที่เราอยากจะมี” นั้นมันมีรูปร่างหน้าตาในรายละเอียดยังไง
ถ้าเราสามารถดีดนิ้ว 1 ทีและ “เสก” ให้ชีวิตเรา
เป็นไปในลักษณะที่เราต้องการในทุกๆด้านได้
…เราจะอยู่ที่ไหน?
…ใครคือคนที่จะอยู่ในชีวิตเราบ้าง?
…เวลาที่พวกเขาเหล่านั้นนึกถึงเรา พวกเขาจะรู้สึกยังไง?
…ในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เราจะทำอะไรบ้าง?
หากเราสามารถตอบคำถามในข้างต้น
ได้อย่างละเอียดและชัดเจน
สิ่งต่อไปที่เราควรจะถามตัวเองต่อก็คือ
สิ่งที่เรา “ต้องทำ” เหล่านี้กำลังช่วยให้เรา
ขยับเข้าไปใกล้ “ชีวิตที่เราอยากจะมี” หรือไม่?
ถ้าสิ่งเหล่านี้ช่วย พวกมันช่วยได้ยังไง?
=> คำตอบนี้คือ “กุญแจ” ที่สามารถช่วยให้เรา
“รู้สึก” ว่าสิ่งที่เรา “ต้องทำ” นี้ “มีความสำคัญ” ได้
แต่ถ้าเราตั้งคำถามกับตัวเองและพบว่า
สิ่งที่เรา “ต้องทำ” เหล่านี้มันไม่ได้ช่วย
ให้เราขยับไปใกล้ “ชีวิตที่เราอยากจะมี” ล่ะ?
นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า
สิ่งที่เรา “ต้องทำ” เหล่านี้
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เรา “ควรทำ” ก็เป็นได้ครับ!

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา

คุณผู้อ่านคุ้นเคยกับพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่งไหมครับ?ยกตัวอย่างเช่นเรามีรายงานที่ต้องเขียน แต่เราก็บอกกับตัวเองว่า “ไว้ค...
23/11/2025

คุณผู้อ่านคุ้นเคยกับพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่งไหมครับ?
ยกตัวอย่างเช่น
เรามีรายงานที่ต้องเขียน
แต่เราก็บอกกับตัวเองว่า
“ไว้ค่อยเขียนก็แล้วกัน”
พอเรารู้ตัวอีกที
deadline การส่งรายงาน
ก็ใกล้เข้ามามากๆแล้ว
ทำให้เราต้องรีบเขียนรายงานให้เสร็จ
แม้ว่า “คุณภาพ” ของรายงานจะแย่ก็ตาม
เป็นต้น
พวกเราแต่ละคนล้วนมีสาเหตุ
ที่อยู่เบื้องหลังการผัดวันประกันพรุ่ง
ที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับหลายๆคน
ความกลัวคือสาเหตุสำคัญ
ที่ทำให้พวกเขาผัดวันประกันพรุ่ง
พวกเขาไม่ได้กลัวว่าตัวเอง
จะทำงานที่ผัดผ่อนได้ไม่ดีนะครับ
อันที่จริง
พวกเขามั่นใจมากๆด้วยว่า
หากพวกเขาได้ลงมือทำ
งานดังกล่าวจะออกมาดีแน่นอน
สิ่งที่พวกเขากลัวก็คือ
หลังจากพวกเขาทำงานดังกล่าวเสร็จ
คนอื่นก็จะมองเห็นว่าผลงานของพวกเขา “มีคุณภาพ”
ส่งผลให้พวกเขาตกอยู่ท่ามกลาง spotlight จากคนอื่น
การที่คนอื่นฉาย spotlight มาที่พวกเขา
และคาดหวังว่าพวกเขาจะ “ทำได้ดี”
ต่อไปในอนาคตได้เรื่อยๆนี่แหละครับ…คือสิ่งที่พวกเขากลัว
พวกเขากลัวว่าความสำเร็จของพวกเขาในวันนี้
จะนำมาสู่ความคาดหวัง (จากคนอื่น) ที่เพิ่มขึ้น
ในระดับที่ “เกินมนุษย์” มากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ความคาดหวังนั้นก็จะสูงลิ่ว
จนพวกเขาไม่มีทางที่จะ “ตอบโจทย์” ความหวังดังกล่าวได้
มันจะกลายเป็นวันที่คนอื่นๆรู้สึกผิดหวังกับพวกเขา
พูดง่ายๆก็คือ พวกเขาแคร์คนอื่นมากๆ
พวกเขาจึงกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถ
ตอบสนองต่อความคาดหวังที่คนอื่นมี
(ในระดับที่สูงเสียดฟ้า) ในอนาคตได้นั่นเอง
แต่ข้อสังเกตข้อหนึ่งก็คือ
การที่พวกเขาแคร์คนอื่นมากๆนี้
มันกำลัง “ขวางทาง” ไม่ให้พวกเขา
มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้
เต็มตามศักยภาพของตัวเอง
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
พวกเขาแคร์คนอื่นมาก
จนละเลยการแคร์ตัวเอง
ถ้าพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการพยายาม
“ตอบโจทย์” ความคาดหวังของคนอื่นที่สูงลิ่ว
พวกเขาก็คงจะหยุดผัดวันประกันพรุ่ง
และมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
เต็มศักยภาพของตัวเองได้มากกว่านี้
แต่ทีนี้ พวกเขาจะเริ่มต้นโอเค
กับการ “ทำให้คนอื่นผิดหวัง” ยังไงดี?
เริ่มจากการ “ทำให้คนอื่นผิดหวัง” ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
(ที่ไม่ได้ “ขวางทาง” ความสำเร็จของตัวเอง) ก่อนครับ
ยกตัวอย่างเช่น
เริ่มปฏิเสธที่จะช่วยคนอื่นทำงานเล็กๆน้อยๆ
บางงานในช่วงเวลาที่ตัวเอง “งานล้นมือ”
(จากที่ก่อนหน้านี้เคยตอบตกลง
ให้ความช่วยเหลือกับทุกๆงาน
ไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ก็ตาม)
เป็นต้น
ช่วงแรกๆที่พวกเขาเริ่มต้น “ทำให้คนอื่นผิดหวัง”
มันอาจจะรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
(ต่อให้มันจะเป็นการ “ทำให้คนอื่นผิดหวัง” ในเรื่องเล็กๆก็ตาม)
แต่หากพวกเขายังคงเดินหน้า “ทำให้คนอื่นผิดหวัง”
ในเรื่องเล็กๆอย่างต่อเนื่องไปสักพัก พวกเขาจะเริ่มค้นพบว่า
ความรู้สึกไม่สบายใจนั้น มันค่อยๆลดระดับความเข้มข้นลงเรื่อยๆ
ถ้าพวกเขารักษา momentum นี้ต่อไปได้เรื่อยๆ
วันหนึ่ง พวกเขาก็จะตื่นขึ้นมา และพบว่าปัญหา
การผัดวันประกันพรุ่งของตัวเองได้หายไปแล้ว
เพราะพวกเขาไม่ได้ “แคร์คนอื่นจนขวางทางตัวเอง” อีกต่อไปแล้วครับ!

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #กลัว #กังวล #ผิดหวัง #ความสำเร็จ

ที่อยู่

Samut Prakan

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

About Journaling My Journey

My Interests: จิตวิทยา, ปรัชญา, การลงทุน และอื่นๆที่ผมอาจจะเห่อเป็นพักๆ

-

My Educational Background

ปริญญาตรี: เศรษฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย