Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา

Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา ผมให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาครับ

ผมนำเสนอเกร็ดความรู้จิตวิทยาในรูปแบบที่ "ย่อยง่าย" และเป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกๆคนครับ

ทุกวันนี้ เวลาที่เราต้องการจะเขียนอะไรสักอย่าง (เช่น post ที่คุณกำลังอ่านอยู่ตอนนี้) เราสามารถ “ไหว้วาน” ให้ AI เขียนได้...
17/09/2025

ทุกวันนี้ เวลาที่เราต้องการจะเขียนอะไรสักอย่าง
(เช่น post ที่คุณกำลังอ่านอยู่ตอนนี้)
เราสามารถ “ไหว้วาน” ให้ AI เขียนได้อย่างง่ายดาย
มันชวนให้เกิดคำถามอยู่เหมือนกันนะครับว่า
ในเมื่อ AI ทำสิ่งนี้ได้ดี แล้วทำไมเรายังต้องเขียนอยู่ด้วย?
เพราะการเขียนไม่ได้เป็นเพียงแค่
การเอาคำมาวางบนหน้ากระดาษ
แต่มันคือการที่เราได้ใช้ความคิดอย่างเข้มข้น
เราจะต้อง “ต่อสู้” กับความคิดที่ตีกันไปมาในหัว
นอกจากนี้
การเขียนยังสามารถนำพาให้เรา
ได้ “ค้นพบ” บางสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่า
มีอยู่ในหัวเรามาก่อนได้อีกด้วย
เพราะความคิดของเราก็ไม่ต่างอะไรกับสวนดอกไม้ครับ
การที่เราบอก prompt กับ AI
และให้ AI “เนรมิต” งานเขียนขึ้นมาเองนั้น
มันเปรียบเหมือนกับการที่เราเดินสำรวจสวน
เฉพาะบริเวณที่ “สว่างชัด” เท่านั้น
แต่ถ้าเราลงมือเขียนด้วยตัวเอง
มันคือการที่เราได้มีโอกาสเดินสำรวจสวนอย่างทั่วถึง
ส่งผลให้เราอาจจะมองเห็นดอกไม้บางดอก
ในมุมมืดที่เราจะไม่มีวันได้มองเห็น
หากเราสำรวจเฉพาะพื้นที่ “สว่างชัด” ในสวนเท่านั้น
ฉะนั้น หากเราให้ความสนใจเพียงแค่การ “เขียนให้เสร็จ”
เราอาจจะมองว่าการพึ่งพา AI อย่างเดียวไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย
แต่ถ้าเรามองถึงแง่มุม “การพัฒนาตัวเอง”
(รวมถึง “การรู้จักตัวเอง”)
ที่แฝงอยู่ในกระบวนการเขียน
เราจะไม่อยาก “ละทิ้ง” การเขียนด้วยตัวเองโดยสมบูรณ์
(แม้เราจะมีการใช้ AI ช่วยเขียนก็ตาม)
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0021-843X.95.3.274
https://doi.org/10.1080/10615806.2013.802308
https://doi.org/10.1080/10615806.2013.802308
https://psycnet.apa.org/doi/10.1017/bec.2022.24
https://psycnet.apa.org/record/1985-98423-000
https://psycnet.apa.org/record/1994-98205-000

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #เขียน #ค้นพบตัวเอง #รู้จักตัวเอง

เวลาที่เราเห็นคนใกล้ตัวกำลังลำบาก (เช่น เห็นลูกสับสนกับการบ้าน เห็นแฟนขัดแย้งกับพี่ของแฟน) ความเป็นห่วงที่เรามีให้กับเขา...
16/09/2025

เวลาที่เราเห็นคนใกล้ตัวกำลังลำบาก
(เช่น เห็นลูกสับสนกับการบ้าน
เห็นแฟนขัดแย้งกับพี่ของแฟน)
ความเป็นห่วงที่เรามีให้กับเขา
ส่งผลให้เราไม่สามารถอยู่นิ่งได้
เราอยากที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตเขาดีขึ้น
เราเลยเข้าไปให้คำแนะนำก่อนที่เขาจะเอ่ยปากร้องขอ
เราเลยก้าวเข้าไปป้องกันไม่ให้เขา “ทำพลาด”
การกระทำของเรามาจากความหวังดีก็จริง
แต่บางครั้ง ความหวังดีของเรา
ก็กำลังสื่อสารกับคนใกล้ตัว (แบบอ้อมๆ) ว่า
“เธอรับมือกับสถานการณ์นี้ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอก”
“ฉันรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ดีกับชีวิตเธอ (รู้ดีกว่าตัวเธอเองด้วย)”
สิ่งนี้จะค่อยๆกัดเซาะความมั่นใจของเขา
และทำให้ใจเราห่างกันโดยที่เราเองก็อาจจะไม่ทันรู้ตัว
หากเราหวังดีกับคนใกล้ตัวของเราจริงๆ
ความหวังดีนั้นไม่ควรที่จะ “ขัดแข้งขัดขา” ของเขา
หากเราหวังดีกับคนใกล้ตัวของเราจริงๆ
เราจะคอยอยู่เคียงข้างเขาเวลาที่เขาพยายามเดินด้วยตัวเอง
เราจะรับฟังเขาก่อนที่จะเข้าไปแก้ปัญหาให้เขา
เราจะวางใจว่าเขาจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคและผ่านมันไปได้
หากเราหวังดีกับคนใกล้ตัวของเราจริงๆ
เราจะไม่ “ชี้ชะตา” ชีวิตของเขา
แต่เราจะเชื่อมั่นว่าเขาเข้มแข็งพอ
ที่จะ “เขียนชะตา” ชีวิตของเขาเองได้ครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.4135/9781446249215.n21
http://dx.doi.org/10.1037/a0012760
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0022-3514.92.3.434

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #หวังดี #ความสัมพันธ์

คุณเป็นคนที่ช่วยคนอื่นบ่อยจนตัวเองหมดแรงเองไหมครับ?ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่มีคนมาขอให้คุณช่วยงาน คุณก็จะตอบตกลง ทั้งๆที่งา...
15/09/2025

คุณเป็นคนที่ช่วยคนอื่นบ่อยจนตัวเองหมดแรงเองไหมครับ?
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่มีคนมาขอให้คุณช่วยงาน คุณก็จะตอบตกลง ทั้งๆที่งานของคุณเองก็ล้นมืออยู่แล้ว เป็นต้น
หลายคนเป็นแบบนั้นครับ - พวกเขาตามใจคนอื่นจนอาจถึงขั้น “เบียดเบียน” ตัวเอง
ทางออกที่จะช่วยให้พวกเขาหยุดการ “เบียดเบียน” ตัวเองได้คือการเรียนรู้ที่จะ “ขีดเส้น” ในความสัมพันธ์ให้มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ต่อให้จะมีคนมาขอให้พวกเขาช่วยงาน พวกเขาก็จะไม่ตอบตกลงจนกว่าพวกเขาจะทำงานของตัวเองเสร็จหมดแล้ว เป็นต้น
สำหรับบางคน พอเขาเริ่มต้น “ขีดเส้น” แล้ว เขาก็จะ “ขีดเส้น” หนาทึบมาก – มากจนคนอื่นๆไม่สามารถ “เข้าถึง” ได้แม้แต่นิดเดียว
เรียกได้ว่า หากจะเปรียบเขาเป็นบ้านสักหลัง เขาก็จะเป็นบ้านที่มี “กำแพง” หนาๆล้อมรอบบ้านไปหมด
ตอนแรกๆ เราอาจจะชอบ “กำแพง” นี้นะครับ เพราะมันช่วยให้บรรยากาศภายในบ้านเงียบสงบ
แต่พอวันเวลาผ่านไป บ้านที่ไม่มีเสียงหัวเราะหรือเสียงพูดคุยของผู้คนเลยนั้น มันก็เป็นอะไรที่เหงาและโดดเดี่ยวอยู่เหมือนกัน
ซึ่งแน่นอนครับว่า นี่ไม่ใช่เรื่องดี
แล้วทางออกคืออะไรกัน? เขาควรที่จะทุบ “กำแพง” ทิ้งและกลับไป “เบียดเบียน” ตัวอย่างอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนครับว่านั่นไม่ใช่ทางออก
เพราะหากเราทำเช่นนั้น บ้านเราก็จะกลายเป็น “พื้นที่สาธารณะ” ที่ใครๆก็สามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ซึ่งบ้านที่เป็น “พื้นที่สาธารณะ” มันก็จะไม่ใช่บ้านอีกต่อไป
ทางออกที่ดีกว่าก็คือ เราจะต้องเพิ่ม “ประตู” เข้าไปใน “กำแพง” ครับ
ทางออกนี้จะทำให้บ้านยังไม่ใช่ “พื้นที่สาธารณะ” และในขณะเดียวกัน ผู้คนก็ยังสามารถ “เข้าถึง” เจ้าของบ้านได้อยู่ (โดยที่เจ้าของบ้านสามารถเลือกได้ว่าจะ “เปิดประตู” ให้ใครเข้ามา และเข้ามาได้เมื่อไหร่)
เพราะในที่สุดแล้ว “กำแพง” ที่ดีจำเป็นต้องมี “ประตู” ครับ ไม่อย่างนั้นบ้านของเราจะกลายเป็นบ้านที่ “ปิดตาย”
บ้านที่ “ปิดตาย” อาจจะปลอดภัยก็จริง แต่มันจะไม่มีทางเป็นบ้านที่อบอุ่นได้เลยครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1111/j.1545-5300.1991.00393.x
http://dx.doi.org/10.31652/2786-6033-2024-3(1)-24-30
https://psycnet.apa.org/record/1973-28661-000

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความสัมพันธ์

คุณเป็น “พนักงานดับเพลิง” ประจำองค์กรหรือเปล่าครับ?คนที่เป็น “พนักงานดับเพลิง” ประจำองค์กรคือคนที่ทุกคนจะนึกถึงเวลาที่พว...
14/09/2025

คุณเป็น “พนักงานดับเพลิง” ประจำองค์กรหรือเปล่าครับ?
คนที่เป็น “พนักงานดับเพลิง” ประจำองค์กรคือคนที่ทุกคนจะนึกถึงเวลาที่พวกเขาเจอปัญหาในการทำงาน
เพราะไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นอะไร คุณก็จะ “ดับไฟ” ปัญหาดังกล่าวได้เสมอ
คุณอาจจะเป็นคนที่ “ขาดไม่ได้” ในองค์กร แต่ในขณะเดียวกัน ชีวิตการทำงานของคุณกลับไม่ค่อยก้าวหน้าไปไหน
เพราะผู้คนในองค์กรมองเห็นว่า “ไฟ” ถูกดับ แต่มักจะมองไม่เห็นตัว “พนักงานดับเพลิง”
หรือต่อให้ผู้คนจะมองเห็น “พนักงานดับเพลิง” แต่พวกเขาก็อาจจะมี “ภาพจำ” ว่าคุณคือ “นักแก้ปัญหา” (ไม่ใช่ “ผู้นำ” ที่จะพาองค์กรเติบโต)
ยิ่งไปกว่านั้น พอคุณใช้เวลา “ดับไฟ” ให้คนอื่นมากๆเข้า มันก็อาจทำให้ตัวคุณมีเวลาในการทำงานของคุณเองน้อยลง และทำให้คุณกลายเป็นคนที่ “ดับไฟ” เก่งแต่ “ไร้ผลงาน” ซะอย่างงั้น
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้คุณถูกมองข้ามเวลาที่มีการ promote คนในองค์กรอยู่เรื่อยไป
แต่ถ้าคุณไม่อยากถูกมองข้ามแบบนี้อีกต่อไปล่ะ? มีอะไรที่คุณพอจะทำได้ไหม?
มีครับ!
# 1 คุณจะต้องปฏิเสธและให้คนอื่นเรียนรู้ที่จะ “ดับไฟ” ของพวกเขาเองบ้าง ไม่อย่างนั้น คุณจะกลายเป็น “พนักงานดับเพลิงที่ไร้ผลงาน” ต่อไปเรื่อยๆ
# 2 คุณจะต้องแสดง “ความเป็นผู้นำ” ให้คนอื่นเห็นด้วยการกระจายงานให้คนอื่น สอนงานให้คนอื่น (ทั้งงานประเภท “ดับไฟ” และงานประเภทอื่นๆ) เพราะนอกจากการทำเช่นนี้จะช่วยให้คนอื่นเห็น “ความเป็นผู้นำ” ของคุณแล้ว มันยังช่วยให้คุณมี “ลูกทีม” ที่พร้อมสนับสนุนคุณในช่วงเวลาที่มีการตัดสินใจ promote คนอีกด้วย
# 3 คุณไม่จำเป็นต้องโอ้อวด “ไฟ” ที่คุณดับได้หรือผลงานที่คุณทำสำเร็จ แต่คุณจำเป็นต้องสื่อสาร impact ที่คุณมีให้คนอื่นรับรู้ (พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ อย่าปิดทองหลังพระเงียบๆเพียงอย่างเดียว) เพราะในหลายๆครั้ง คนอื่น (โดยเฉพาะคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารสูงๆ) เขาไม่ได้มีเวลาหรือพลังงานมากพอที่จะมองเห็น impact ของคุณด้วยตาของเขาเองเสมอไป
ผมหวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ผมนำเสนอในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับ “พนักงานดับเพลิง” ทุกๆคนนะครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1146/annurev-orgpsych-032117-104631

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ทำงาน #เก่ง #มองข้าม

คุณเคยทำงานเสร็จแต่ก็ยังไม่ส่งงานนั้นออกไปเพราะคุณอยากที่จะ “ตรวจเช็ค” งานดังกล่าวก่อนไหมครับ?การทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี...
13/09/2025

คุณเคยทำงานเสร็จแต่ก็ยังไม่ส่งงานนั้นออกไป
เพราะคุณอยากที่จะ “ตรวจเช็ค” งานดังกล่าวก่อนไหมครับ?
การทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องดีนะครับ
เพราะมันสะท้อนถึงความรอบคอบในการทำงาน
แต่ถ้าเราไม่เพียงแค่หยิบงานมา “ตรวจเช็ค” 1 รอบล่ะ?
ถ้าเราหยิบงานมา “ตรวจเช็ค” 2 รอบ…3 รอบ…5 รอบ…10 รอบ…20 รอบล่ะ?
เราจะยังเรียกสิ่งนี้ว่า “ความรอบคอบ” อยู่ไหม?
หรือมันคือความกลัวที่จะ “ก้าวต่อไป” มากกว่า?
วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราแยกความแตกต่าง
ระหว่าง “ความรอบคอบ” ที่แท้จริงกับ
ความกลัวที่ปลอมตัวเป็น “ความรอบคอบ”
คือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเราครับ
ถ้า “ความรอบคอบ” ที่เราเจออยู่
มันช่วยให้เรา “ก้าวต่อไป” ได้อย่างมั่นคง
(ไม่ใช่ “ย่ำอยู่กับที่”)
นั่นคือ “ความรอบคอบ” ที่แท้จริง
แต่ถ้า “ความรอบคอบ” ที่เราเจออยู่
มันส่งผลให้เรา “ย่ำอยู่กับที่”
(ไม่ได้ “ก้าวต่อไป” อย่างมั่นคง)
นั่นอาจเป็น “ความรอบคอบ” ตัวปลอม…ก็เป็นได้
ฉะนั้น
ครั้งต่อไปที่เรา “ตรวจเช็ค” งานของเรา
เราอย่าลืมถามตัวเองด้วยนะครับว่า
“ที่ฉันกำลังเช็คงานอยู่ตอนนี้
มันกำลังช่วยให้ฉันเดินต่อไปข้างหน้า
หรือรากงอกอยู่กับที่กันนะ?”
บางครั้ง พอเราได้ตั้งคำถามนี้กับตัวเอง
เราก็อาจจะพบว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ในตอนนี้
ไม่ใช่การ “ตรวจเช็ค” รอบที่ 21
แต่มันคือการไว้วางใจในตัวเรามากพอ
ที่จะส่งงานนั้นออกไปมากกว่าครับ
อ้างอิง
http://dx.doi.org/10.17583/ijep.2019.2993
https://doi.org/10.1002/nop2.1922

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #กลัว #รอบคอบ

เคยไหมครับ?เราเขียนอีเมลเสร็จแล้ว แต่เราก็ยังไม่ส่งอีเมลนั้นออกไป เพราะเรามองว่าเนื้อหามันยัง “ไม่โดน”?เคยไหมครับ?เราเจอ...
12/09/2025

เคยไหมครับ?
เราเขียนอีเมลเสร็จแล้ว
แต่เราก็ยังไม่ส่งอีเมลนั้นออกไป
เพราะเรามองว่าเนื้อหามันยัง “ไม่โดน”?
เคยไหมครับ?
เราเจอโอกาสในการทำงานที่ดีมากๆ
แต่เราก็เลือกที่จะปฏิเสธมันไป
เพราะเรามองว่าตัวเองยังไม่พร้อม
ที่จะทำงานดังกล่าวได้ดีแบบเป๊ะๆ?
เคยไหมครับ?
คนที่เราแอบชอบเขาอยากรู้จักเรามากขึ้น
แต่เราก็ไม่ยอมเปิดช่องให้เขา
เพราะเรามองว่าตัวเองไม่สามารถ
ที่จะเป็นแฟนที่เพียบพร้อมให้เขาได้?
ทั้งหมดที่ผมหยิบมาเล่าให้ฟังในข้างต้น
มันคือความเป็น perfectionist
ซึ่งเจ้าความเป็น perfectionist นี้
มันมักจะ “ปลอมตัว” มาในรูปแบบของการมีมาตรฐานสูง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ธรรมชาติของความเป็น perfectionist คือความกลัว
กลัวว่าจะล้มเหลว
กลัวว่าจะถูกตัดสิน
กลัวว่าจะ “ดีไม่พอ”
หากเราปล่อยให้ความกลัวนี้ครอบงำ
เราก็จะผัดผ่อนการใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ
หนทางที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระ
จากความกลัวลักษณะนี้
คือการต้อนรับคำว่า “ดีพอ” เข้ามาในชีวิต
ยกตัวอย่างเช่น
เนื้อหาในอีเมลไม่จำเป็นต้อง “โดน”
ขอแค่มัน “ดีพอ” ก็พอแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องทำงานได้ดีแบบเป๊ะๆ
ขอแค่เราทำงานได้ “ดีพอ” ก็พอแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนที่เพียงพร้อม
ขอแค่เราเป็นแฟนที่ “ดีพอ” ก็พอแล้ว
เป็นต้น
ฉะนั้น เรามาเริ่มต้อนรับ “ดีพอ” เข้ามาในชีวิต (อย่างน้อยสัก 1 เรื่อง) กันเถอะครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1007/s10942-007-0052-7
https://doi.org/10.1123/jsep.31.5.602

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #สมบูรณ์ #ดีพอ

ตอนที่ผมยังเป็นนิสิตนักศึกษา “เคล็ดลับ” การสอบของเพื่อนๆ (รวมถึงรุ่นน้องและรุ่นพี่) หลายคนคือการหา “เสื้อสีมงคล” มาใส่ใน...
11/09/2025

ตอนที่ผมยังเป็นนิสิตนักศึกษา
“เคล็ดลับ” การสอบของเพื่อนๆ
(รวมถึงรุ่นน้องและรุ่นพี่) หลายคน
คือการหา “เสื้อสีมงคล” มาใส่ในวันสอบ
อันที่จริง เพื่อนของผมบางคน (ที่สนิทกับอาจารย์บางท่าน)
ถึงกับนัดแนะกับอาจารย์ล่วงหน้าเพื่อขอให้อาจารย์
ใส่เสื้อสีเดียวกันกับเจ้าตัวในวันสอบเสียด้วย!
สำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่อง “สีมงคล”
สิ่งที่ผมเล่าให้ฟังในข้างต้นอาจจะดูน่าหัวเราะนะครับ
แต่สำหรับคนที่เชื่อในเรื่อง “สีมงคล”
(หรือแม้กระทั่งสำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้จริงๆจังๆ)
การทำแบบนี้มันช่วยให้พวกเขารู้สึกมีกำลังใจ
ซึ่งแน่นอนครับว่า
การเข้าห้องสอบด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม
มันย่อมดีกว่าการเข้าห้องสอบด้วยใจที่สั่นกลัว
ฉะนั้น
แม้บางคนอาจมองว่านี่คือความเชื่อที่ “งมงาย”
แต่สำหรับคนที่เชื่อใน “สีมงคล” แล้ว
ความเชื่อที่ “งมงาย” นี้มันเป็นประโยชน์กับพวกเขา
แต่ถึงกระนั้น บางคนก็จะเกิดคำถามตามมาว่า
ประโยชน์ที่ได้จากความเชื่อที่ “งมงาย” นี้
มันคุ้มค่ากับโทษของความเชื่อดังกล่าวหรือ?
เพราะถ้าเรายึดถือในเรื่อง “สีมงคล” อย่างเข้มข้น
มันอาจทำให้เราไม่ “ลงแรง” กับการอ่านหนังสือสอบ
และพึ่งพาแต่การใส่ “เสื้อสีมงคล” เพียงอย่างเดียวได้
สำหรับตัวผมเองนั้น
ผมมองว่าความเชื่อที่ “งมงาย”
อย่างเรื่อง “สีมงคล” นี้ยังสามารถ
เป็นประโยชน์มากกว่าโทษได้อยู่ครับ
…ตราบใดที่เราใช้ความเชื่อนี้อย่างมีสติ
…ตราบใดที่เราใช้ความเชื่อนี้เป็น “เทคนิค” ช่วยทำใจให้สงบ
…ตราบใดที่เราเข้าใจว่าเรายังต้อง “ลงแรง” ด้วยตัวเองอยู่
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายึดความเชื่อดังกล่าวอย่างเหนียวแน่นไร้สติ
ความเชื่อดังกล่าวก็จะกลายเป็น “กรงขัง” มากกว่า “กำลังใจ” ได้ครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1177/0956797610372631

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #งมงาย #ความเชื่อ

เคยรู้สึกไหมครับว่า ยิ่งเราอายุมากขึ้น “นาฬิกาชีวิต” ของเราก็ยิ่งดูจะวิ่งเร็วขึ้น?มันแอบรู้สึกน่าใจหายอยู่เหมือนกันนะครั...
10/09/2025

เคยรู้สึกไหมครับว่า ยิ่งเราอายุมากขึ้น
“นาฬิกาชีวิต” ของเราก็ยิ่งดูจะวิ่งเร็วขึ้น?
มันแอบรู้สึกน่าใจหายอยู่เหมือนกันนะครับ
อย่างไรก็ตาม วันนี้ ผมมีข่าวดี
ผมมีวิธีที่จะช่วยให้เราชะลอ
ความเร็วของ “นาฬิกาชีวิต” เราลงได้ครับ
# 1 ลดการไถมือถือ
ผมไม่ได้ต้องการจะสื่อว่า
เราควรหยุดใช้โทรศัพท์มือถือนะครับ
อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการจะ
ชะลอ “นาฬิกาชีวิต” ของเราลง
เราไม่ควรหยิบมือถือมาไถ
โซเชียลเล่นบ่อยเกินไปนัก
เพราะการทำแบบนั้น
มันมีแนวโน้มที่จะกินเวลาในชีวิตเรา
นานเกินกว่าที่เราคาด
(เช่น ตอนแรก เราคิดจะไถมือถือเล่นสัก 10 นาที
แต่พอรู้ตัวอีกที เราไถมือถือเล่นไปแล้ว 2 ชั่วโมง)
นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่เราไถโซเชียลนั้น
มันยังถือเป็นช่วงเวลาที่เราใช้ไปกับ
การมองดูชีวิตคนอื่น (แทนที่จะใช้ชีวิตของเราเอง) อีกด้วย
# 2 พาตัวเองไปทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
ยกตัวอย่างเช่น
การเล่นกีฬาที่ไม่เคยเล่นมาก่อน
การไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน
การพูดคุยกับคนที่ไม่เคยคุยด้วยมาก่อน
การเรียนรู้ภาษาที่ไม่เคยใช้มาก่อน
เป็นต้น
เพราะเวลาที่เราทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
มันเป็นการบังคับให้สมองเรา
มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ส่งผลให้ “นาฬิกาชีวิต” ของเราชะลอตัวลงตามลำดับ
# 3 ทำสิ่งที่น่าสนใจและท้าทาย
เพราะเวลาที่เรากำลังทำสิ่งที่น่าสนใจ
(ไม่น่าเบื่อ) และท้าทาย (ไม่ง่ายเกินไป) สำหรับเรา
ใจเราจะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นแบบ “ดำดิ่ง”
จนทำให้เรา “ลืมหิว” หรือ “ลืมว่าตัวเองอยู่ที่ไหน” ได้
มันทำให้เรารู้สึกราวกับว่า
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไป
มันเต็มไปด้วยความ “เข้มข้น” มากขึ้น
เมื่อเทียบกับกรณีที่เราทำสิ่งที่
น่าเบื่อหรือง่ายเกินไปสำหรับเรา
(มันคล้ายๆกับเวลาที่เราดื่มกาแฟ 2 แก้ว
โดยที่กาแฟแก้วแรกคือกาแฟดำ
ส่วนกาแฟแก้วที่สองคือน้ำเปล่ากลิ่นกาแฟเลยครับ
เราดื่มเครื่องดื่ม 1 แก้วเหมือนกัน
แต่แก้วแรกให้ความรู้สึกเข้มข้นมากกว่า
กาแฟที่สองอย่างเทียบไม่ติดเลยครับ)
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
สิ่งที่ผมหยิบมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้
จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆคน
ที่อยากจะทำอะไรบางอย่างกับ
“นาฬิกาชีวิต” ของตัวเองนะครับ
อ้างอิง
https://www.researchgate.net/publication/224927532_Flow_The_Psychology_of_Optimal_Experience
http://dx.doi.org/10.1038/s41562-024-01863-2
https://doi.org/10.48550/arXiv.2310.05945

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #เวลา

เวลาที่คนใกล้ตัวทำ “สิ่งไม่ดี” กับเรา (เช่น แฟนตอบข้อความช้า น้องไม่พูดขอบคุณหลังจากที่เราเพิ่งให้ความช่วยเหลือ เพื่อนสน...
09/09/2025

เวลาที่คนใกล้ตัวทำ “สิ่งไม่ดี” กับเรา
(เช่น แฟนตอบข้อความช้า
น้องไม่พูดขอบคุณหลังจากที่เราเพิ่งให้ความช่วยเหลือ
เพื่อนสนิทเปลี่ยนเวลานัดหมายกะทันหัน)
มันปกติมากๆครับที่เราจะรู้สึกไม่โอเค
ถ้า “สิ่งไม่ดี” นั้นเป็นเรื่อง “เล็กน้อย”
ความไม่โอเคของเราก็จะอยู่ในระดับที่ “เล็กน้อย”
แต่ถ้า “สิ่งไม่ดี” นั้นเป็นเรื่อง “ใหญ่โต”
ความไม่โอเคของเราก็จะอยู่ในระดับที่ “ใหญ่โต”
แล้วถ้า “สิ่งไม่ดี” นั้นเป็นเรื่อง “เล็กน้อย”
แต่ความไม่โอเคของเราอยู่ในระดับที่ “ใหญ่โต” ล่ะ?
ยกตัวอย่างเช่น
แฟนมีสีหน้าไม่ดีและบอกเราว่า
“เดี๋ยวฉันขอเวลาอยู่คนเดียวสักหน่อยนะ”
เราฟังคำพูดของแฟนและรู้สึกกลัวจนใจสั่น
เพราะในใจเราเกิดความคิดผุดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวแฟนจะต้องเลิกกับฉันแน่ๆเลย”
เป็นต้น
เพราะอะไรความไม่โอเคของเราถึงอยู่ในระดับที่ “ใหญ่โต” ได้
ทั้งๆที่ “สิ่งไม่ดี” ที่เกิดขึ้นมันแค่ “เล็กน้อย” เท่านั้น?
เหตุผลที่เป็นไปได้ข้อหนึ่งก็คือ
เพราะ “สิ่งไม่ดี” ที่ “เล็กน้อย” นั้น
มันมี “กลิ่นอาย” คลับคล้ายคลับคลา
กับ “สิ่งไม่ดี” ขนาด “ใหญ่โต” ที่เคยเกิดขึ้นกับเราในอดีต
ยกตัวอย่างเช่น
แฟนเก่าของเราเคย “ขอเวลาอยู่คนเดียว” มาก่อน
และหลังจากนั้นไม่นาน
แฟนเก่าก็เลิกกับเราโดยไม่บอกกล่าวเราแม้แต่คำเดียว
ส่งผลให้เรารู้สึกกลัวขึ้นมาเมื่อแฟนปัจจุบัน “ขอเวลาอยู่คนเดียว” บ้าง
เป็นต้น
ฉะนั้น สำหรับกรณีแบบนี้
การรับมือกับความไม่โอเคที่ “ใหญ่โต” ได้อย่าง “ตรงจุด”
จะไม่ใช่การจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าในปัจจุบัน
(เช่น การยื้อไม่ให้แฟนได้มีเวลาอยู่คนเดียว)
แต่จะเป็นการสำรวจตัวเองเพื่อทำความเข้าใจว่า
ความไม่โอเคที่ “ใหญ่โต” นี้มี “ที่มา” จากไหนมากกว่า
(เช่น เหตุการณ์ที่เลิกรากับแฟนเก่า)
เพราะถ้าเราเข้าใจ “ที่มา” ของความไม่โอเคที่ “ใหญ่โต” นี้ได้
การดึงตัวเองกลับมา “อยู่กับปัจจุบัน” ก็จะทำได้ง่ายขึ้น
(เช่น “แฟนคนนี้ไม่ใช่แฟนเก่านะ”)
ส่งผลให้ความไม่โอเคที่ “ใหญ่โต” นั้นลดระดับลงมา
สอดคล้องกับ “สิ่งไม่ดี” ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากขึ้นนั่นเองครับ
(เช่น ไม่ได้รู้สึกกลัวจนใจสั่นเมื่อแฟนอยากมีเวลาอยู่ตัวคนเดียว)
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1146/annurev.ps.46.020195.001233
https://doi.org/10.1146/annurev.neuro.23.1.155
https://doi.org/10.1016/j.tics.2005.03.010
https://doi.org/10.1016/s0005-7967(99)00123-0
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/1089-2680.5.4.323

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #บาดแผล #ความทุกข์ #อดีต #ปัจจุบัน

เวลาที่เราเห็นใครสักคนที่พยายามทำอะไรบางอย่าง (เช่น เรียนภาษาจีน) และล้มเลิกสิ่งนั้นในเวลาต่อมามันเป็นภาพลักษณ์ที่ดูไม่ด...
08/09/2025

เวลาที่เราเห็นใครสักคน
ที่พยายามทำอะไรบางอย่าง
(เช่น เรียนภาษาจีน)
และล้มเลิกสิ่งนั้นในเวลาต่อมา
มันเป็นภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
เพราะมันดูเหมือนกับว่า
คนๆนั้นเขา “ขี้แพ้” หรือ “ไร้ความอดทน”
แต่ในความเป็นจริง
การตัดสินใจที่จะล้มเลิกอะไรบางอย่าง
ใช่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ “เลวร้าย” เสมอไป
ลองนึกถึงกรณีต่อไปนี้ดูก็ได้ครับ…
สมมตินะครับว่าเรามีแฟน
และแฟนก็ทำร้ายร่างกายเรามาโดยตลอด
ซึ่งที่ผ่านมา เราเลือกที่จะอยู่ต่อในความสัมพันธ์นี้
เพราะเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเรา “ล้มเหลวในความรัก”
หากวันหนึ่ง เราตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้น
มันจะเป็นการตัดสินใจที่ “เลวร้าย” หรือไม่?
ไม่เลยครับ!
อันที่จริง หลายคนอาจมองว่า
เราควรเดินออกมาจากความสัมพันธ์ดังกล่าวให้เร็วกว่านี้เสียอีก!
เราจะเห็นได้จากตัวอย่างในข้างต้นว่า
สมการ “ล้มเลิก = ขี้แพ้, เลวร้าย, ไม่อดทน”
ไม่ใช่สมการที่เป็นจริงเสมอไป
เพราะการที่เราล้มเลิกมันอาจสะท้อนถึง
การที่เรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงว่า
“สิ่งนี้ไม่ได้เหมาะกับฉันอีกต่อไปแล้ว”
ยิ่งไปกว่านั้น
การที่เราล้มเลิกยังอาจสะท้อนถึงความถ่อมตัวอีกด้วย
(เพราะเรายอมรับว่าเรามีเวลาและพลังงานจำกัด
ส่งผลให้เราขอเลือกใช้มันกับสิ่งที่มีค่าจริงๆเท่านั้น)
ดังนั้น หากเรากำลังคิดที่จะล้มเลิกอะไรบางอย่างอยู่ล่ะก็ เราอาจลองถามตัวเองดูครับว่า…
ฉันยังอยากทำสิ่งนี้อยู่จริงๆไหม?
ที่ฉันยังทำสิ่งนี้อยู่เพราะฉันกลัวว่าคนอื่นจะมองฉันไม่ดีหรือเปล่า?
ถ้าฉันหยุดทำสิ่งนี้ ฉันจะได้อะไรกลับคืนมาบ้าง?
ผมเชื่อว่าการตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองจะช่วยให้การล้มเลิกของเราไม่ใช่การล้มเลิกที่ตรงกับสมการ “ล้มเลิก = ขี้แพ้, เลวร้าย, ไม่อดทน” แน่นอนครับ!
อ้างอิง
Annie Duke – Quit: The Power of Knowing When to Walk Away (2022)

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ล้มเลิก #ล้มเหลว

ถ้าเราพูดถึงจังหวะ “ระเบิดลง” ภายในความสัมพันธ์ (เช่น ลูกร้องไห้งอแงที่เราไม่อนุญาตให้เล่นเกมเกิน 2 ทุ่ม แฟนงอนเพราะเราล...
07/09/2025

ถ้าเราพูดถึงจังหวะ “ระเบิดลง” ภายในความสัมพันธ์
(เช่น ลูกร้องไห้งอแงที่เราไม่อนุญาตให้เล่นเกมเกิน 2 ทุ่ม
แฟนงอนเพราะเราลืมวันเกิดของแฟน
เพื่อนโกรธที่เรามาสาย 30 นาที เป็นต้น)
บางครั้ง จังหวะ “ระเบิดลง” ก็เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
แต่บ่อยครั้ง จังหวะ “ระเบิดลง” เป็นสิ่งที่เราพอจะมองเห็นล่วงหน้า
ในกรณีที่เราพอจะมองเห็นล่วงหน้านั้น
เราได้ลงมือทำอะไรหลังจากที่เรามองเห็นบ้าง?
หลายคนตัดสินใจที่จะไม่ได้ทำอะไรเพราะพวกเขามองว่า “มันยังไม่ถึงเวลา”
อันที่จริง หลายคนแอบหวังอยู่ในใจว่า
หากพวกเขาเลือกที่จะอยู่เงียบๆ
จังหวะ “ระเบิดลง” อาจไม่เกิดขึ้นอย่างที่พวกเขาคาดก็ได้
แต่ในความเป็นจริงนั้น
หากพวกเขาเลือกที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง
ในช่วงเวลาก่อน “ระเบิดลง”
มันมีโอกาสสูงมากๆเลยครับ
ที่สถานการณ์จะ “ผ่อนหนักเป็นเบา” ได้
ยกตัวอย่างเช่น
การพูดกับลูกว่า…
“เดี๋ยวอีก 1 ชั่วโมง เวลาก็จะถึง 2 ทุ่มแล้ว
แม่รู้ว่าลูกอยากที่จะเล่นเกมนานกว่านี้
แต่ในเมื่อเราตกลงกันแล้วว่าเราจะไม่เล่นเกมหลัง 2 ทุ่ม
ดังนั้น ถ้าเวลาถึง 2 ทุ่มเมื่อไหร่
แม่ก็จะบอกให้ลูกหยุดเล่นเกมนะ
ซึ่งตอนที่แม่บอกให้ลูกหยุดเล่นเกมนั้น
ลูกก็อาจจะรู้สึกไม่พอใจ
และอาจจะส่งเสียงดังหรือขว้างปาสิ่งของ
(เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต)
ซึ่งหากมันเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ
แม่เองก็คงจะไม่พอใจและเริ่มเสียงดังกับลูกเหมือนกัน
สำหรับวันนี้
แม่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบนั้นอีก
แม่เลยอยากจะมาคุยกับลูกว่า
เราจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์บานปลายได้ยังไงบ้าง
เป็นต้น
เพราะในช่วงเวลาก่อน “ระเบิดลง” นั้น
มันคือช่วงเวลาที่อารมณ์ความรู้สึกยังไม่เข้มข้น
มันคือช่วงเวลาที่คนเรายังสามารถรับฟังกันได้อยู่
ฉะนั้น เราอย่าปล่อยให้ช่วงเวลา “นาทีทอง”
ผ่านพ้นไปโดยไม่ได้ take action ใดใดเลยครับ
อ้างอิง
http://dx.doi.org/10.4324/9780203763568
https://psycnet.apa.org/record/1999-02501-000

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #สื่อสาร #ความสัมพันธ์ #ปัญหา

ทุกวันนี้ หลายคนรู้สึกว่า ชีวิตของพวกเขาเป็นเหมือนกับการล่องเรือลำเล็กๆอยู่กลางมหาสมุทรหากคลื่นลมทะเลต้องการจะพัดให้เรือ...
06/09/2025

ทุกวันนี้ หลายคนรู้สึกว่า
ชีวิตของพวกเขาเป็นเหมือนกับ
การล่องเรือลำเล็กๆอยู่กลางมหาสมุทร
หากคลื่นลมทะเลต้องการจะพัด
ให้เรือของพวกเขาลอยไปทางซ้าย
เรือของพวกเขาก็จะลอยไปทางซ้าย
หากคลื่นลมทะเลต้องการจะพัด
ให้เรือของพวกเขาลอยไปทางขวา
เรือของพวกเขาก็จะลอยไปทางขวา
หากคลื่นลมทะเลเกิดปั่นป่วนขึ้นมา
เรือของพวกเขาก็พร้อมที่จะคว่ำได้เสมอ
และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน
พวกเขาก็ควบคุมคลื่นลมทะเลที่พวกเขาเจอไม่ได้เสียที
มันทำให้พวกเขาหมดแรงใจที่จะ “ลุยต่อ” กับการเดินทางบนมหาสมุทรชีวิตแห่งนี้
แต่ข่าวดีก็คือ
แม้พวกเขาจะไม่สามารถควบคุม
คลื่นลมทะเลที่พวกเขาเจอได้
แต่พวกเขาสามารถจับไม้พายให้มั่นคง
ปรับองศาใบเรือให้เหมาะสม
และครองสติตัวเองให้นิ่งท่ามกลางคลื่นลมที่ปั่นป่วนได้!
มันคือการหยุดนิ่งสักครู่
เวลาเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย
มันคือการเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง
ในช่วงเวลาที่ใจอยากกรีดร้อง
มันคือการเท่าทันความคิดตัวเอง
ก่อนที่มันจะเหนี่ยวนำให้เราทำสิ่งที่เราจะเสียใจในภายหลัง
แน่นอนครับว่าการให้ความสำคัญกับ
“คนบนเรือ” มากกว่า “คลื่นลมทะเล”
มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้การเดินทาง
บนมหาสมุทรชีวิตราบรื่นแบบ 100% ก็จริง
แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การให้ความสำคัญกับ “คลื่นลมทะเล”
ที่เราควบคุมไม่ได้เยอะเลยครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1111/j.1467-8721.2007.00534.x
https://psycnet.apa.org/record/1999-04037-000

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ควบคุม

ที่อยู่

Samut Prakan

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

About Journaling My Journey

My Interests: จิตวิทยา, ปรัชญา, การลงทุน และอื่นๆที่ผมอาจจะเห่อเป็นพักๆ

-

My Educational Background

ปริญญาตรี: เศรษฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย