แคลเซียม แคลดีแมคผสมวิตามิน D กิฟฟารีน

แคลเซียม แคลดีแมคผสมวิตามิน D กิฟฟารีน แคลดีแมค แคลเซียม กิฟฟารีน
สอบถาม📞0898 515 216

วันนี้มาทำความรู้จักกับแคลเซี่ยมกันดีกว่าค่ะแคลเซี่ยมเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าแร่ธาตุอื่นๆแคลเซี่ยมและฟอสฟอรั...
11/12/2023

วันนี้มาทำความรู้จักกับแคลเซี่ยมกันดีกว่าค่ะ

แคลเซี่ยมเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าแร่ธาตุอื่นๆแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสทำงานร่วมกันเพื่อให้กระดูกและฟันแข็งแรง

แคลเซี่ยมและแมกนีเซียมทำงานร่วมกันเพื่อให้สุขภาพของหัวใจและเส้นเลือดแข็งแรง

เพื่อนเพื่อนรู้ครับแคลเซี่ยมในร่างกายทั้งหมดสะสมอยู่ในกระดูกและฟันมันจะสร้างใหม่ทุกปีนะครับเซลล์กระดูกใหม่ถูกสร้างในขณะเดียวกันเซลล์เก่าก็ถูกทำลายไป

ร่างกายต้องการวิตามินดีให้เพียงพอด้วยนะคะเพื่อให้แคลเซี่ยมถูกดูดซึมได้ดีเช่นกันเช่นกัน

เพราะฉะนั้นขนาดที่แนะนำในการรับประทานแคลเซี่ยมก็ประมาณ 1200 ถึง 1500 มิลลิกรัมต่อวัน

ทีนี้ลองมาดูครับว่าแคลเซี่ยมมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไรช่วยให้กระดูกแข็งแรงและฟันมีสุขภาพดี
ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกเสื่อมและกระดูกพรุนพร้อมกับกระดูกหักด้วย
มีส่วนช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ
ใครจะรู้ว่าแคลเซี่ยมบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ด้วย
ช่วยในการเผาผลาญธาตุเหล็กของร่างกาย
ช่วยระบบประสาทโดยเฉพาะการส่งต่อสัญญาณประสาท
และที่เซอร์ไพรส์ที่สุดเลยก็คือช่วยในการควบคุมน้ำหนักด้วยแหละ

หากเราขาดแร่ธาตุที่ชื่อว่าแคลเซี่ยมอาจจะนำเราเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุนกระดูกหักง่าย

มาถึงคำถามที่น่าจะมีคนยังไม่เข้าใจและยังกันเยอะว่าเราควรรับประทานแร่ธาตุที่ชื่อว่าแคลเซี่ยมกันตอนไหน

💥แคลเซี่ยมจะถูกดูดซึมได้ดีที่สุดหากรับประทานหลังอาหารและก่อนนอน

เราสามารถหาแหล่งแคลเซียมได้เยอะแยะมากมายจากรอบตัวเรานะครับไม่ว่าจะเป็นเป็นจากนมทุกชนิดจากชีทถั่วเหลืองเต้าหู้ปลาล้าปลาแซลมอนถั่วเหลืองเมล็ดทานตะวันถั่วแห้งผักเคี้ยวและยังมีในอีกหลากหลาย

อย่าลืมนะคะในทุกๆวันเราต้องรับแร่ธาตุที่ชื่อว่าแคลเซี่ยมให้มากพอต่อความต้องการของเราในแต่ละวัน

รู้อย่างนี้แล้วเราต้องไปหาแคลเซี่ยมมาดื่มมากินนะคะทุกคน
🦴💪🦷🦴💪🦷🦴💪🦷🦴💪🦷🦴💪🦷

ด่วน❗❗ราคาดี้ดี ...โปรกิฟฟารีน #แคลเซียมสูง  #กิฟฟารีนแคลเซียม 🔺พร้อมส่ง🫵มีบริการเก็บเงินปลายทางคร้า🫵
08/12/2023

ด่วน❗❗ราคาดี้ดี ...โปรกิฟฟารีน
#แคลเซียมสูง
#กิฟฟารีนแคลเซียม

🔺พร้อมส่ง

🫵มีบริการเก็บเงินปลายทางคร้า🫵

09/06/2023

...เลซิติน วันละ​ 1-2​ เม็ด.....สายรักตับไม่ควรพลาด​ (The​ Liver)​...
💢สายปาร์​ตี้​ 💢ดื่มบ่อย​
💢พักผ่อนน้อย​ 💢อ่อนเพลีย
รักตัวเอง ใส่ใจตัวเอง...เลซิติน
#เลซิตินแคร์โรทีนอยด์
ชนิดแคปซูลนิ่ม
ผลิตภัณฑ์​เสริมอาหาร​
ตรา​ กิฟฟารีน​
เลขที่อย.​ 13-1-03337-1-0171
🔺ขนาด​ 30​ แคปซูล​ ราคา 392​ บาท
🔺ขนาด​ 60​ แคปซูล​ ราคา 680​ บาท
~~~~~~~~~~~~~~~~~~

สั่งซื้อ​สินค้า​ สอบถามเพิ่มเติมทักแชทได้เลยจ้า
☎️ 089-851-5216
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
#เลซิตินแคร์โรทีนอยด์​
#เลซิตินกิฟฟารีน​

🔴 วิธีรับประทาน​ : ทานวันละ​ 1-2 แคปซูล
หลังหรือพร้อมอาหาร​ มื้อที่สะดวกค่ะ

09/06/2023
20/08/2022

🐳น้ำมันปลาสุดยอดสารอาหารสำคัญต่อร่างกาย💪
🐳น้ำมันปลา (โอเมก้า 3)
เป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ต้องได้รับจากการกินอาหารเข้าไป โดยกลุ่มนี้มีไขมันที่มีความสำคัญอยู่ 3 ตัว คือ
🐳โอเมก้า 3,
🐳โอเมก้า 6
🐳และโอเมก้า 9
วันนี้เราจะมาพูดถึงกลุ่มไขมันเหล่านี้กันค่ะ
1.) โอเมก้า 6 แม้ว่าร่างกายจะสร้างเองไม่ได้ แต่โอเมก้า 6 มีอยู่ในอาหารที่มีไขมันแทบทุกชนิด แล้วในทุกวันนี้เราได้โอเมก้า 6 เยอะเกินไปด้วยซ้ำ ซึ่งโอเมก้า 6 ทำให้เกิดการอักเสบของร่างกาย ไม่ควรรับในปริมาณที่มากจนเกินไป
2.) โอเมก้า 9 เป็นไขมันที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ซึ่งโอเมก้า 9 จะอยู่ในน้ำมันมะกอก การที่เรามีโอเมก้า 9 ปริมาณมากจะช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ แนะนำให้กินเป็นน้ำมันมะกอก กินแบบสดๆ ก็ได้ หรือกินแบบ Cold Presses ที่เป็นการสกัดเย็นได้เลย
โอเมก้า 9 หรือน้ำมันมะกอกยังมีความเกี่ยวข้องกับคอเลสเตอรอลอีกด้วย คือ ปกติคอเลสเตอรอลยิ่งเล็กยิ่งร้าย ถ้ามีขนาดเล็กๆ จะยิ่งไปเกาะไปพอกตามหลอดเลือด ถ้าเรากินแป้งหรือน้ำตาลเยอะๆ จะทำให้คอเลสเตอรอลเรามีขนาดเล็กลงก็จะยิ่งไปเกาะไปพอกตามหลอดเลือดมากยิ่งขึ้น กลับกันกับตัวของโอเมก้า 9 หรือน้ำมันมะกอกซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้คอเลสเตอรอลมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เมื่อมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นก็จะไม่เกาะไม่พอกตามหลอดเลือดนั่นเอง
3.) โอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา ซึ่งน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาไม่เหมือนกัน (โดยน้ำมันตับปลาอยู่ในกลุ่มของวิตามิน A) ซึ่งโอเมก้า 3 จะหากินได้จากปลาทะเล แต่ในปลาทะเลจะมีพวกสารพิษปรอทสูง โดยเฉพาะปลาที่ตัวใหญ่จะยิ่งมีสารปรอทเยอะ เพราะว่าปลาตัวใหญ่นั้นได้ใช้ชีวิตในทะเลเป็นเวลานาน เมื่ออยู่ในทะเลยิ่งนานก็จะยิ่งได้รับสารปรอทเข้าไปได้เยอะขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าจะเลือกกินปลาทะเลควรกินปลาทะเลที่ตัวเล็กๆ ยิ่งเล็กสารพิษก็จะยิ่งน้อย เช่น ปลาแซลมอน เป็นปลาที่ไม่ได้มีขนาดตัวที่ใหญ่มากนัก สามารถกินได้ แต่พวกปลาทูน่าหรือปลาทูน่ากระป๋อง ซึ่งปลาทูน่าจะมีขนาดตัวที่ใหญ่สารปรอทจะยิ่งมีจำนวนมาก
ในคนท้องหรือคนที่ให้นมลูกไม่ควรกินปลาทะเล เพราะจะได้รับสารพิษปรอทเข้ามาได้ ซึ่งปรอทมีผลต่อสมองของเด็กด้วย เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งครรภ์หรือคนที่ให้นมลูกไม่ควรกินปลาทะเลจะดีกว่า แล้วในเด็กเล็กๆ ก็จะไม่ควรให้กินปลาทะเลเพราะปรอทมีผลต่อสมองของเด็ก
โอเมก้า 3 มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย ทั้งช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากโอเมก้า 6 ช่วยลดการอักเสบของร่างกายและหลอดเลือด บำรุงสมอง ลดไขมัน ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันคอเลสเตอรอลเกาะหลอดเลือด ลดผลเสียเวลาทานของทอดต่างๆ ได้ด้วย
การเลือกน้ำมันปลาที่ปลอดภัย
1.) ข้างกระปุกจะต้องระบุไว้เลยว่า ปราศจากสารพิษโลหะหนักต่างๆ ถ้ากระปุกไหนไม่เขียน คือ ยังอาจมีสารพิษปนเปื้นหรือยังไม่ได้มีการจำกัดสารพิษออกก่อน
2.) ดูส่วนประกอบของน้ำมันปลา น้ำมันปลาจะมีราคาที่หลากหลาย มีถูก มีแพง เพราะว่าส่วนประกอบในนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วในน้ำมันปลาสิ่งที่เราอยากได้ คือ DHA กับ EPA เวลาดูส่วนประกอบควรดู 2 ตัวนี้ โดย EPA จะช่วยเรื่องหัวใจและหลอดเลือด แล้ว DHA จะช่วยเรื่องสมอง
ถ้าให้เด็กกิน ควรกินตัวที่มี DHA เด่น แต่ในผู้ใหญ่อาจจะกินตัวที่มี EPA เด่นก็ได้ ซึ่งปกติผู้ใหญ่จะกิน DHA กับ EPA 2 ตัวนี้คู่กันอยู่แล้ว
**เวลาเลือกน้ำมันปลาควรเลือกที่มี DHA รวมกับ EPA เกิน 60% ของเม็ดขึ้นไป หมายความว่า ถ้าน้ำมันปลา เม็ดละ 1,000 mg ควรจะต้องมี DHA กับ EPA รวมกันแล้วเกิน 600 mg ขึ้นไป หรือถ้าน้ำมันปลา เม็ดละ 500 mg ควรจะต้องมี DHA กับ EPA รวมกันแล้วเกิน 300 mg ขึ้นไป ถึงจะเรียกว่ามีประโยชน์**
ปกติแล้วจะมีค่าเลือดค่าหนึ่งเป็นค่าที่ดูสัดส่วนระหว่างโอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6 ซึ่งสัดส่วนของโอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6 ที่ดีที่สุดอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 4 คือ โอเมก้า 3 มี 1 ส่วน โอเมก้า 6 มี 4 ส่วน ถึงจะดีที่สุด (โอเมก้า 6 ถ้ามีเยอะๆ จะทำให้เกิดการอักเสบ แล้วตัวโอเมก้า 3 จะช่วยลดการอักเสบนั้นได้)
อาหารคนเราในปัจจุบันนี้ เช่น อาหาร Western diet อาหารตะวันตกต่างๆ มีสัดส่วนของโอเมก้า 3 ต่อโอเมก้า 6 อยู่ที่ 1 ต่อ 16 ส่วน โอเมก้า 6 คือสูงมาก เพราะฉะนั้นอาหารในทุกวันนี้ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายมากมาย น้ำมันปลาโอเมก้า 3 จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกินเสริมเข้าไป เพื่อเพิ่มปริมาณโอเมก้า 3 ให้สูงขึ้น จะได้ไปช่วยลดการอักเสบของร่างกายที่มาจากโอเมก้า 6
ในแต่ละวันจะกินโอเมก้า 3 เท่าไหร่นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับปริมาณที่เรากินโอเมก้า 6 เข้าไปว่ากินไปเยอะขนาดไหน โอเมก้า 6 อยู่ในอาหารทุกอย่างที่เป็นไขมัน เช่น น้ำมัน ของทอด ของผัด นม เนย ชีส ซึ่งถ้าเรากินโอเมก้า 6 เข้าไปเยอะจะต้องกินโอเมก้า 3 เข้าไปเยอะเช่นกัน เพื่อให้สัดส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 4 นั่นเอง
#​ขอบคุณ​ข้อมูล​และภาพจากเพจอย่าฝากชีวิตไว้กับหมอค่ะ

02/07/2022

Happy ๆๆๆในทุกๆวันนะคะทุกคน

28/06/2022
11/06/2022
12/05/2022

"ไขมันพอกตับ" โรคฮิตของคนยุคนี้ที่เป็นได้โดยไม่รู้ตัว!

‘ตับ’ คือ อวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดในร่างกาย เป็นแหล่งเก็บพลังงาน ช่วยย่อยอาหาร ขจัดสารพิษ กรองสารที่เป็นอันตรายออกจากเลือด เป็นแหล่งกักเก็บวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย หากตับของคุณป่วยลงจะทำให้ระบบในร่างกายไม่เสถียรและมีปัญหาโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะโรคที่พบเจอได้บ่อยครั้ง คือ โรคไขมันพอกตับ เป็นอาการของตับแข็งที่เกิดขึ้นเมื่อมีไขมันอยู่ในตับ การที่มีไขมันในตับเพียงเล็กน้อยอาจถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีไขมันมากเกินไปจะกลายเป็นปัญหาสุขภาพ เกิดเป็นโรคไขมันพอกตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ มะเร็งตับได้

🔺 พฤติกรรมของคนในยุคนี้มีการสังสรรค์ จัดปาร์ตี้ เลี้ยงฉลอง ในโอกาสต่างๆ แล้วเกือบทุกงานสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยิ่งหากใครที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ดื่มบ่อยครั้ง ดื่มมากจนเกินไป หรือดื่มมาเป็นเวลานานเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนั้นจะมีความเสี่ยงเกิดไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (AFLD) สูงขึ้น เพราะการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์จะไปเปลี่ยนแปลงกระบวนการเผาผลาญในตับจึงนำไปสู่การก่อตัวของไขมันส่วนเกินในตับ

📌 ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (AFLD)
ปัจจัยที่สำคัญเลยคือ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ งานวิจัยพบว่า ผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์ 40-80 กรัม/วัน และผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ 20-40 กรัม/วัน ในช่วง 10-12 ปี จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไขมันพอกตับ นอกจากการดื่มแอลกอฮอล์มากไปแล้วยังมีปัจจัยเสี่ยงของอายุที่มากขึ้น ระบบการเผาผลาญทำงานได้ลดลง กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่บ่อย ความอ้วนได้อีกด้วย

🔺ในยุคนี้อาหารที่คนส่วนมากรับประทานจะเป็นอาหารจำพวกน้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมหวาน เนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารแปรรูป อาหารทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก หากินได้ง่าย กินสะดวก ราคาจับต้องได้จึงเป็นที่นิยมของคนในยุคนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า หากกินอาหารเหล่านี้มากเกินไปจะทำให้ไขมันสะสมในตับเป็นจำนวนมาก แล้วหากมีการเผาผลาญที่ไม่ดีจะยิ่งเสี่ยงทำให้เกิดไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ได้ โดยโรคนี้จะพบในคนที่น้ำหนักเกินหรืออ้วนบ่อยที่สุด แต่ที่น่ากังวลของโรคนี้คือคนส่วนใหญ่จะไม่รู้มาก่อนว่ามีความผิดปกติกับตับของตัวเองจะมารู้ก็ต่อเมื่อตรวจพบเจอโดยบังเอิญ หรือไปตรวจสุขภาพถึงจะพบ

📌 ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD)
คนที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
- ทานอาหารที่มีพลังงานสูงจำพวกไขมัน แป้ง น้ำตาลมากเกินไป
- โรคที่เพิ่มขึ้นของเมตาบอลิซึมซินโดรม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง
- มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- อายุมากขึ้น เพราะระบบการเผาผลาญทำงานน้อยลง
- มีประวัติการติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคตับอักเสบบี
- อาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS)
- สัมผัสกับสารพิษที่เป็นอันตรายบางชนิด

🔴 สัญญาณต่อไปนี้อาจบ่งบอกว่าตับของคุณมีปัญหา
เมื่อเรารู้แล้วว่าไขมันพอกตับเกิดจากอะไรและมีอะไรบ้างที่เป็นจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคนี้ ก็ถึงเวลาที่มารู้จักอาการทั่วไปของไขมันพอกตับ อย่างที่รู้กันว่าโรคนี้ช่วงแรกจะไม่มีอาการอะไรที่บ่งชี้แน่ชัดว่าเป็นไขมันพอกตับ ในบางคนอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ แต่จะพบจากการไปตรวจสุขภาพถึงจะรู้ว่าเป็นไขมันพอกตับแล้วนั่นเอง ยังไงมาลองสังเกตสัญญาณเหล่านี้กันค่ะ
- น้ำหนักมากเกินไป อ้วนลงพุง หรือมีไขมันสะสมในช่องท้อง
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- เจ็บตึงๆ บริเวณชายโครงฝั่งขวา
- เป็นเบาหวาน ความดัน คอเลสเตอรอลสูง
- ตาเหลือง ตัวเหลือง (เกิดจากการที่ตับถูกทำลายอย่างมาก)
🟩 อาหารที่ดีต่อสุขภาพของตับ
อาหารเมดิเตอร์เรเนียน งานศึกษาพบว่า อาหารเมดิเตอร์เรเนียนจะช่วยลดไขมันพอกตับ โดยเน้นทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด พืชตระกูลถั่ว น้ำมันมะกอก อาหารไขมันดี เช่น น้ำมันปลา ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน จะไม่เน้นกินเนื้อแดง หรือผลิตภัณฑ์นมเหมือนประเทศตะวันตกอื่นๆ แล้วการศึกษายังพบอีกว่า อาหารเมดิเตอร์เรเนียนช่วยปรับปรุงอาการของผู้ที่เป็นไขมันพอกตับจากกลุ่มอาการเมตาบอลิซึมได้อีกด้วย
🟩 อาหารเพิ่มพลังงานตับ ควรทานอาหารที่มาจากส่วนประกอบของพืชเป็นหลักมากขึ้น ทานอาหารที่ช่วยลดการอักเสบของตับ ช่วยให้ร่างกายได้ใช้อินซูลินอย่างมีประสิทธิภาพ
- อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วต่างๆ
- อาหารที่อุมไปด้วยกรดไขมันดี เช่น น้ำมันปลา ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน - เมล็ดเจีย เมล็ดแฟล็กซ์
- อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน E เช่น เมล็ดทานตะวัน ถั่วอัลมอนด์
- อาหารที่อุมไปด้วยคาเทชินช่วยลดไขมันในร่างกายและป้องกันโรคอ้วน โดยเฉพาะชาเขียว
🟩 อาหารเสริมที่ส่งเสริมสุขภาพตับ เมื่อเราทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับแล้วแต่บางครั้งอาจไม่เพียงพอ การเสริมด้วยอาหารเสริมให้ตับแข็งแรงมากขึ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี
- วิตามิน E (Tocopherol) ปกป้องเซลล์ตับไม่ให้เกิดการอักเสบ
- วิตามิน B100 เน้นการเผาผลาญไขมันที่พอกอยู่ที่ตับให้หายไป
- วิตามิน D การขาดวิตามิน D ส่งผลให้เกิดการดื้อต่ออินซูลิน เสี่ยงเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้
- Multiminerals Plus ช่วยสร้างสารต้านอนุมูล​อิสระ​ภายในร่างกาย ช่วยให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติดีในทุกๆ ระบบ
- โปรไบโอติก เพราะลำไส้และตับเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาเกิดโรค NAFLD ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้ เพราะหากลำไส้ไม่แข็งแรงจะช่วยสนับสนุนให้เกิดโรค NAFLD
- น้ำมันปลา ช่วยลดการอักเสบของตับ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- เควอซิติน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย พบมากในพืช ผักไม้ เช่น แอปเปิ้ล องุ่น เบอร์รี่ หอมแดง หัวหอม มะเขือเทศ เป็นต้น ซึ่งเควอซิตินจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีไขมันพอกตับ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้
🟩 อาหารสมุนไพรที่ดีต่อตับ
- กระเทียม สาร S-allylmercaptocysteine ​​​​(SAMC) ที่มาจากกระเทียมมีประโยชน์ต่อโรคไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีความสามารถในการควบคุมการจัดเก็บไขมันและการเผาผลาญกลูโคส
- อบเชย อาจช่วยปรับปรุงการดื้อต่ออินซูลิน และช่วยจัดการความเครียด
- ขมิ้น มีสารเคอร์คูมิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพ ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยลดไขมันสะสมในตับ ป้องกันการเกิดไขมันในตับไขมัน
- ชาเขียว จะมีสารกลุ่ม Catechin ที่พบมากในชาเขียว ที่ช่วยป้องกันภาวะไขมันพอกตับได้ โดยจะลดการดูดซึมไขมันและคาร์โบไฮเดรตในอาหาร

ไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบที่แฝงอยู่ในร่างกายในช่วงแรกแทบจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา จนถึงช่วงที่อันตรายที่สุดถึงจะเริ่มมีอาการออกมา เมื่อถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงที่เข้าสู่ความอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะตับได้ถูกทำลายไปมากแล้ว ดังนั้นควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการกิน การใช้ชีวิต ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันให้กับร่างกาย ยังไงก็ดูแลสุขภาพตับของเราอย่างดีกันนะคะ เพราะตับของเราหากเราไม่ดูแล ตับจะยิ่งแย่ลงทุกวัน ถ้าเราดูแลอย่างดีเราจะได้ไม่ฝากชีวิตไว้กับหมอนะคะ : )
ขอบคุณเครดิตอย่าฝากชีวิตไว้กับหมอค่ะ

ที่อยู่

บางพลี
Samut Prakan
10540

เบอร์โทรศัพท์

+66898515216

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ แคลเซียม แคลดีแมคผสมวิตามิน D กิฟฟารีนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง แคลเซียม แคลดีแมคผสมวิตามิน D กิฟฟารีน:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

แคลเซียม บำรุงกระดูก

แคลเซียม บำรุงกระดูก ป้องกันกระดูกพรุน เปราะและบาง เพิ่มสูงในวัยรุ่น

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 👉..📞089 851 5216