03/06/2025
#ตัวอย่างผู้ป่วยสมมติ
เด็กชายอายุ 3 ปี 5 เดือน
แม่พามาตรวจเพราะยังไม่พูด
เคยพูด “หม่ำๆ” ได้เมื่ออายุ 8-9 เดือน
หลังจากนั้นไม่พูด แต่จะส่งเสียงที่ไม่มีความหมาย
มักเป็นภาษาการ์ตูน ช่วงหลังเริ่มมีการพูดเลียนคำท้ายของคำถาม เช่น เมื่อแม่ถามว่า *เอาไหม* ก็จะพูดว่า *ไหม* ตาม
เด็กไม่ค่อยสบตา เรียกไม่ค่อยหัน ไม่ชี้บอกความต้องการ ไม่พยักหน้าหรือสั่นศรีษะ
เวลาต้องการให้แม่ทำอะไรให้จะใช้วิธีจูงมือแม่แล้วพาแม่ไปที่สิ่งนั้นๆ ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการจะทุบศีรษะตัวเอง
หรือทำร้ายแม่ ชอบเล่นคนเดียวโดยเอาของมาเรียงกัน ไม่ชวนพ่อแม่เล่นด้วย ถ้ามีคนเข้าไปเล่นด้วยจะไม่ค่อยสนใจ
มีประวัติใช้หน้าจอตั้งแต่เกิด คือเปิดทีวีทิ้งไว้ตลอดวันระหว่างเลี้ยงเด็ก บางครั้งไม่ได้ดูแต่ก็เปิดไว้
ตอนอายุ 6 เดือน ให้ดูจอโทรศัพท์ตอนกินข้าว
หรือเวลาที่แม่ต้องทำงานบ้าน
ช่วงแรกๆใช้แค่เวลาไม่นาน แต่เมื่อเห็นว่าลูกนิ่งจึงปล่อยให้อยู่กับหน้าจอเกือบทั้งวัน หวังให้ลูกได้ภาษา เมื่อเวลาผ่านไป แม่สังเกตว่าลูกจดจ่อแต่กับหน้าจอ เรียกไม่หัน ไม่สนใจเล่นกับแม่
แม่ได้พยายามกระตุ้นพูด แต่ลูกไม่สนใจ ไม่ฟังนิทาน ไม่อยู่นิ่ง วิ่งไปมา ยังไม่ได้งดหน้าจอจริงจัง เพราะคิดว่ารอได้ เดี๋ยว 2 ขวบก็น่าจะพูด และคนรู้จักบอกว่าลูกเขาพูดได้ตอน 4 ขวบ ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวก็พูดได้เอง และเนื่องจากพอไม่ให้ดูจอลูกก็โวยวายมากจนแม่รับมือไม่ไหวจึงใจอ่อนให้ดูจอต่อไปเรื่อยๆ
เมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง เด็กเริ่มมีอารมณ์รุนแรง ไม่พูด บอกความต้องการไม่ได้ ไม่สบตาเวลาพูดคุย เวลาไม่พอใจจะเต้นๆ ลงไปดิ้นกับพื้น หรืออาละวาด ชอบเล่นคนเดียว กลัวการเข้าสังคม ชอบนั่งเรียงของเงียบๆ ไม่เล่นบทบาทสมมติ
พอ 3 ขวบลูกยังไม่พูด สื่อสารไม่เป็น บอกความต้องการไม่ได้ ยังไม่งดหน้าจอ แม่กังวลใจจึงพาไปเข้าโรงเรียน เมื่อไปโรงเรียนเด็กไม่อยู่นิ่ง สื่อสารไม่ได้ แสดงความต้องการด้วยการงอแง อาละวาด
คุณครูจึงแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อประเมินพัฒนาการ
ในห้องตรวจ เมื่อเข้ามาในห้องตรวจ จะเดินไปสำรวจรอบๆห้องปีนป่ายไปทั่ว เปิดลิ้นชัก เล่นถังขยะ เปิดก๊อกน้ำ ไม่ค่อยสบตากับคุณหมอ สนใจเล่นของในห้องตรวจโดยไม่สนใจเล่นกับผู้อื่น ถ้าส่งของให้เล่น จะรับไปหมุนเล่น ไม่ทำตามสิ่งที่คุณหมอชี้ชวนหรือชวนเล่น
ประเมิน ผู้ป่วยอายุ 3 ปี 5 เดือน มีความเสี่ยงของภาวะออทิสติก ASD หรืออาจมีภาวะคล้ายออทิสติก (ออทิสติกเทียม)
✅ความบกพร่องในพัฒนาการด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ได้แก่ ชอบเล่นคนเดียวไม่ชวนพ่อแม่เล่นด้วย
✅มีความผิดปกติในการสื่อสารด้วยภาษาท่าทาง
ไม่ชี้บอกความต้องการ ไม่พยักหน้าหรือสั่นศรีษะ
✅มีอาการตามเกณฑ์ในข้อพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่แคบ จำกัดหรือเป็นแบบแผนซ้ำๆ ได้แก่ การชอบเล่นซ้ำๆโดยเอาของมาเรียงกัน
ในที่นี้ขอกล่าวถึง ภาวะคล้ายออทิสติก (ออทิสติกเทียม) #ภาวะคล้ายออทิสติก
เกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น การดูหน้าจอตั้งแต่ยังเล็ก ใช้หน้าจอเลี้ยงลูก หรือแม้แต่เปิดทีวีทิ้งไว้แม้เด็กจะไม่ได้ดูก็ตาม ซึ่งตรงกับประวัติของผู้ป่วยรายนี้ ผู้ป่วยรายนี้จึงควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจการได้ยิน พบหมอพัฒนาการและจิตแพทย์เด็ก ปรับพฤติกรรม ทำกิจกรรมบำบัด ฝึกพูด
#และที่สำคัญคือควรงดหน้าจอ
🥹 ถามว่าใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะกลับมามีพัฒนาการสมวัยได้อีกครั้ง คำตอบคือ
ใช้เวลาประมาณเดียวกันกับเวลาที่ใช้หน้าจอเลี้ยงลูก
พัฒนาการที่เขาควรทำได้ในช่วงวัยที่ดูจอ
เหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ เมื่อกระตุ้นหรือปรับพฤติกรรม ก็เหมือนพาลูกย้อนกลับไปหาวัยเริ่มพูด คือวัย 1 ขวบ แม้ตอนนี้เขาจะอายุ 3 ขวบกว่าแล้ว แต่สมองไม่ได้รับการกระตุ้นให้เรียนรู้ที่จะพูด พูดไม่เป็น
เพราะฉะนั้นจึงต้องเริ่มใหม่ และการเริ่มในช่วงวัยที่ผ่าน critical period ไปแล้วนั้นจะยากและต้องใช้ความพยายามมากขึ้น เพราะพัฒนาการแต่ละเรื่องก็มีช่วงเวลาทองของเขา จึงมีคำกล่าวที่ว่า อะไรที่ผ่านแล้วผ่านเลย จะกลับมาแก้ไขก็อาจสายเสียแล้ว
หลังจากนั้นคุณแม่ได้งดหน้าจออย่างจริงจัง
และเริ่มปรับพฤติกรรม กระตุ้นพูด ทำกิจกรรมบำบัด
เมื่อนัดมาประเมินซ้ำที่ 3 เดือน
เด็กเริ่มพูดได้เป็นคำๆ ประมาณ 2-3 คำ
ยังไม่พูดเป็นประโยค อารมณ์รุนแรงลดลง
เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว
คุณแม่บอกว่าเหนื่อยมากแต่ดีใจที่เริ่มเห็นลูกพูดได้ … เป้าหมายคือ อยากให้เขาใช้ชีวิตในสังคม เอาตัวรอด และดูแลตัวเองได้
ตัวอย่างผู้ป่วยสมมติรายนี้ จึงชี้ให้เห็นว่า
#เด็กๆพัฒนาได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
มิใช่หน้าจอ เพราะหน้าจอทำหน้าที่แทนพ่อแม่ไม่ได้
ปล. เป็นผู้ป่วยสมมติที่หมอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน … และหมอเจอเคสประมาณนี้เกือบทุกวัน
ส่วนใหญ่ทราบว่าหน้าจอมีผลเสีย ที่ให้ดูเพราะมีเหตุผลประกอบมากมาย ไม่มีเวลา ไม่มีคนช่วย ลูกดื้อมาก แต่รู้ไหมคะว่าผลเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอ จะไม่เลือกเหตุผล ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าคุณแม่จะมีเหตุผลประกอบกี่ร้อยข้อ ผลเสียจากการใช้หน้าจอก็อาจเดินทางมาหาได้ ถ้าใช้ไม่เหมาะสมและยังไม่ถึงวัยที่ควรใช้ (ก่อน 2-3 ขวบควรงดหน้าจอใดๆทุกชนิด)
ทุกคนผิดพลาดได้ เมื่อพลาดแล้ว เราไม่โทษกัน
แต่ควรยอมรับและรีบแก้ไข
ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านค่ะ
หมอรวงข้าว
กุมารแพทย์ประจำคลินิกเด็กหมอรวงข้าว
ปล. พัฒนาการของลูกเป็นเรื่องที่ไม่ต้องแข่งขัน
แต่ให้อิงจากพัฒนาการตามวัยเฉลี่ยที่เด็กควรจะทำได้
นอกจากความรักที่สำคัญในการเลี้ยงลูก ความรู้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน
#ตัวอย่างผู้ป่วยสมมติ
เด็กชายอายุ 3 ปี 5 เดือน
แม่พามาตรวจเพราะยังไม่พูด
เคยพูด “หม่ำๆ” ได้เมื่ออายุ 8-9 เดือน
หลังจากนั้นไม่พูด แต่จะส่งเสียงที่ไม่มีความหมาย
มักเป็นภาษาการ์ตูน ช่วงหลังเริ่มมีการพูดเลียนคำท้ายของคำถาม เช่น เมื่อแม่ถามว่า *เอาไหม* ก็จะพูดว่า *ไหม* ตาม
เด็กไม่ค่อยสบตา เรียกไม่ค่อยหัน ไม่ชี้บอกความต้องการ ไม่พยักหน้าหรือสั่นศรีษะ
เวลาต้องการให้แม่ทำอะไรให้จะใช้วิธีจูงมือแม่แล้วพาแม่ไปที่สิ่งนั้นๆ ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการจะทุบศีรษะตัวเอง
หรือทำร้ายแม่ ชอบเล่นคนเดียวโดยเอาของมาเรียงกัน ไม่ชวนพ่อแม่เล่นด้วย ถ้ามีคนเข้าไปเล่นด้วยจะไม่ค่อยสนใจ
มีประวัติใช้หน้าจอตั้งแต่เกิด คือเปิดทีวีทิ้งไว้ตลอดวันระหว่างเลี้ยงเด็ก บางครั้งไม่ได้ดูแต่ก็เปิดไว้
ตอนอายุ 6 เดือน ให้ดูจอโทรศัพท์ตอนกินข้าว
หรือเวลาที่แม่ต้องทำงานบ้าน
ช่วงแรกๆใช้แค่เวลาไม่นาน แต่เมื่อเห็นว่าลูกนิ่งจึงปล่อยให้อยู่กับหน้าจอเกือบทั้งวัน หวังให้ลูกได้ภาษา เมื่อเวลาผ่านไป แม่สังเกตว่าลูกจดจ่อแต่กับหน้าจอ เรียกไม่หัน ไม่สนใจเล่นกับแม่
แม่ได้พยายามกระตุ้นพูด แต่ลูกไม่สนใจ ไม่ฟังนิทาน ไม่อยู่นิ่ง วิ่งไปมา ยังไม่ได้งดหน้าจอจริงจัง เพราะคิดว่ารอได้ เดี๋ยว 2 ขวบก็น่าจะพูด และคนรู้จักบอกว่าลูกเขาพูดได้ตอน 4 ขวบ ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวก็พูดได้เอง และเนื่องจากพอไม่ให้ดูจอลูกก็โวยวายมากจนแม่รับมือไม่ไหวจึงใจอ่อนให้ดูจอต่อไปเรื่อยๆ
เมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง เด็กเริ่มมีอารมณ์รุนแรง ไม่พูด บอกความต้องการไม่ได้ ไม่สบตาเวลาพูดคุย เวลาไม่พอใจจะเต้นๆ ลงไปดิ้นกับพื้น หรืออาละวาด ชอบเล่นคนเดียว กลัวการเข้าสังคม ชอบนั่งเรียงของเงียบๆ ไม่เล่นบทบาทสมมติ
พอ 3 ขวบลูกยังไม่พูด สื่อสารไม่เป็น บอกความต้องการไม่ได้ ยังไม่งดหน้าจอ แม่กังวลใจจึงพาไปเข้าโรงเรียน เมื่อไปโรงเรียนเด็กไม่อยู่นิ่ง สื่อสารไม่ได้ แสดงความต้องการด้วยการงอแง อาละวาด
คุณครูจึงแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อประเมินพัฒนาการ
ในห้องตรวจ เมื่อเข้ามาในห้องตรวจ จะเดินไปสำรวจรอบๆห้องปีนป่ายไปทั่ว เปิดลิ้นชัก เล่นถังขยะ เปิดก๊อกน้ำ ไม่ค่อยสบตากับคุณหมอ สนใจเล่นของในห้องตรวจโดยไม่สนใจเล่นกับผู้อื่น ถ้าส่งของให้เล่น จะรับไปหมุนเล่น ไม่ทำตามสิ่งที่คุณหมอชี้ชวนหรือชวนเล่น
ประเมิน ผู้ป่วยอายุ 3 ปี 5 เดือน มีความเสี่ยงของภาวะออทิสติก ASD หรืออาจมีภาวะคล้ายออทิสติก (ออทิสติกเทียม)
✅ความบกพร่องในพัฒนาการด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ได้แก่ ชอบเล่นคนเดียวไม่ชวนพ่อแม่เล่นด้วย
✅มีความผิดปกติในการสื่อสารด้วยภาษาท่าทาง
ไม่ชี้บอกความต้องการ ไม่พยักหน้าหรือสั่นศรีษะ
✅มีอาการตามเกณฑ์ในข้อพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่แคบ จำกัดหรือเป็นแบบแผนซ้ำๆ ได้แก่ การชอบเล่นซ้ำๆโดยเอาของมาเรียงกัน
ในที่นี้ขอกล่าวถึง ภาวะคล้ายออทิสติก (ออทิสติกเทียม) #ภาวะคล้ายออทิสติก
เกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น การดูหน้าจอตั้งแต่ยังเล็ก ใช้หน้าจอเลี้ยงลูก หรือแม้แต่เปิดทีวีทิ้งไว้แม้เด็กจะไม่ได้ดูก็ตาม ซึ่งตรงกับประวัติของผู้ป่วยรายนี้ ผู้ป่วยรายนี้จึงควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจการได้ยิน พบหมอพัฒนาการและจิตแพทย์เด็ก ปรับพฤติกรรม ทำกิจกรรมบำบัด ฝึกพูด
#และที่สำคัญคือควรงดหน้าจอ
🥹 ถามว่าใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะกลับมามีพัฒนาการสมวัยได้อีกครั้ง คำตอบคือ
ใช้เวลาประมาณเดียวกันกับเวลาที่ใช้หน้าจอเลี้ยงลูก
พัฒนาการที่เขาควรทำได้ในช่วงวัยที่ดูจอ
เหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ เมื่อกระตุ้นหรือปรับพฤติกรรม ก็เหมือนพาลูกย้อนกลับไปหาวัยเริ่มพูด คือวัย 1 ขวบ แม้ตอนนี้เขาจะอายุ 3 ขวบกว่าแล้ว แต่สมองไม่ได้รับการกระตุ้นให้เรียนรู้ที่จะพูด พูดไม่เป็น
เพราะฉะนั้นจึงต้องเริ่มใหม่ และการเริ่มในช่วงวัยที่ผ่าน critical period ไปแล้วนั้นจะยากและต้องใช้ความพยายามมากขึ้น เพราะพัฒนาการแต่ละเรื่องก็มีช่วงเวลาทองของเขา จึงมีคำกล่าวที่ว่า อะไรที่ผ่านแล้วผ่านเลย จะกลับมาแก้ไขก็อาจสายเสียแล้ว
หลังจากนั้นคุณแม่ได้งดหน้าจออย่างจริงจัง
และเริ่มปรับพฤติกรรม กระตุ้นพูด ทำกิจกรรมบำบัด
เมื่อนัดมาประเมินซ้ำที่ 3 เดือน
เด็กเริ่มพูดได้เป็นคำๆ ประมาณ 2-3 คำ
ยังไม่พูดเป็นประโยค อารมณ์รุนแรงลดลง
เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว
คุณแม่บอกว่าเหนื่อยมากแต่ดีใจที่เริ่มเห็นลูกพูดได้ … เป้าหมายคือ อยากให้เขาใช้ชีวิตในสังคม เอาตัวรอด และดูแลตัวเองได้
ตัวอย่างผู้ป่วยสมมติรายนี้ จึงชี้ให้เห็นว่า
#เด็กๆพัฒนาได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
มิใช่หน้าจอ เพราะหน้าจอทำหน้าที่แทนพ่อแม่ไม่ได้
ปล. เป็นผู้ป่วยสมมติที่หมอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน … และหมอเจอเคสประมาณนี้เกือบทุกวัน
ส่วนใหญ่ทราบว่าหน้าจอมีผลเสีย ที่ให้ดูเพราะมีเหตุผลประกอบมากมาย ไม่มีเวลา ไม่มีคนช่วย ลูกดื้อมาก แต่รู้ไหมคะว่าผลเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอ จะไม่เลือกเหตุผล ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าคุณแม่จะมีเหตุผลประกอบกี่ร้อยข้อ ผลเสียจากการใช้หน้าจอก็อาจเดินทางมาหาได้ ถ้าใช้ไม่เหมาะสมและยังไม่ถึงวัยที่ควรใช้ (ก่อน 2-3 ขวบควรงดหน้าจอใดๆทุกชนิด)
ทุกคนผิดพลาดได้ เมื่อพลาดแล้ว เราไม่โทษกัน
แต่ควรยอมรับและรีบแก้ไข
ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านค่ะ
หมอรวงข้าว
กุมารแพทย์ประจำคลินิกเด็กหมอรวงข้าว
ปล. พัฒนาการของลูกเป็นเรื่องที่ไม่ต้องแข่งขัน
แต่ให้อิงจากพัฒนาการตามวัยเฉลี่ยที่เด็กควรจะทำได้
นอกจากความรักที่สำคัญในการเลี้ยงลูก ความรู้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน
(เพิ่มเติม) น่าตกใจมากที่ปัจจุบันนี้ เด็ก 1 ขวบ 2 ขวบ 3 ขวบ 4 ขวบ 5 ขวบ ดูคลิปสั้นใน TikTok ซึ่งคลิปสั้นเหล่านี้ไม่ควรให้เด็กดูอย่างมาก เป็นปัจจัยของสมาธิสั้น อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง รอคอยอะไรไม่ได้ แถมยังไถไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าจะเจอคอนเท้นแบบใด ขนาดผู้ใหญ่เองยังควบคุมตัวเองได้ยาก เด็กจะเหลืออะไร
ปล. ไม่ว่าคลิปสั้นคลิปยาว คลิปจากไหนในหน้าจอ อายุก่อน 2-3 ปี แนะนำให้งดหน้าจอทุกชนิดค่ะ หรืองดให้นานที่สุด ทุกสิ่งเริ่มจากพ่อแม่ แค่ไม่ยื่นจอให้ลูกดู ไม่ต้องหวังว่าจะมีคอนเท้นจำกัดอายุ พ่อแม่เองต้องจำกัดหน้าจอให้ลูกก่อน ผลเสียมีมากจริงๆค่ะ