คลินิกสูตินรีเวชหมอขวัญชนก

คลินิกสูตินรีเวชหมอขวัญชนก สูตินรีเวชกรรม ฝากครรภ์ ทำคลอด อัลตราซาวด์4มิติ

📣 คลินิกปิด 18-19 ตุลาคม ค่าาาา คุณแม่ที่มีอาการเร่งด่วน เข้าไปที่ห้องคลอดได้เลยนะคะ 🫶🏻
17/10/2025

📣 คลินิกปิด 18-19 ตุลาคม ค่าาาา
คุณแม่ที่มีอาการเร่งด่วน เข้าไปที่ห้องคลอดได้เลยนะคะ 🫶🏻

07/10/2025

Medical clinic

07/10/2025

☕️ คาเฟอีนกับคนท้อง ทำไมต้องเตือนให้ระมัดระวัง ….

หลายคนติดกาแฟจนขาดไม่ได้
เช้า ๆ ไม่ได้จิบคือมึนทั้งวัน 💤
แต่พอรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์ ก็เริ่มมีคำถามขึ้นมาในใจว่า…

“กาแฟจะเป็นอันตรายกับลูกในท้องไหม?”
“ดื่มได้ไหม หรือควรงดไปเลยดี?”

คำตอบคือ… ดื่มได้ แต่ต้องรู้ลิมิต!
มาดูเหตุผลกันว่าทำไมคาเฟอีนถึงมีผลต่อทั้งแม่และลูกในท้องครับ 👇

👩‍🍼 1. คาเฟอีนอยู่ในร่างกายแม่นานขึ้นตอนตั้งครรภ์

ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์เปลี่ยนไปหลายอย่าง
โดยเฉพาะ “ระบบตับ” ที่ทำหน้าที่ย่อยคาเฟอีนได้ช้าลง
เพราะเอนไซม์สำคัญชื่อว่า CYP1A2 ทำงานลดลงมาก

หมายความว่า คาเฟอีนที่ดื่มเข้าไปจะอยู่ในเลือดนานขึ้น
จากปกติแค่ 3–5 ชั่วโมง อาจยืดไปได้ถึง 8–16 ชั่วโมง!
ถ้าดื่มหลายแก้วต่อวัน คาเฟอีนก็จะสะสมในร่างกายมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

🤰 2. คาเฟอีน “ผ่านรกได้ง่าย” และลูกยังย่อยไม่ได้

คาเฟอีนเป็นโมเลกุลเล็กและละลายในไขมันได้ดี
มันจึงผ่านรกไปหาลูกได้อย่างสบาย
ระดับคาเฟอีนในเลือดลูกมักใกล้เคียงกับของแม่เลยครับ

แต่… ปัญหาคือ
ลูกในท้องยังไม่มีเอนไซม์ย่อยคาเฟอีน เหมือนผู้ใหญ่
ทำให้คาเฟอีนที่ได้รับไปนั้น “ค้างอยู่” ในร่างกายลูกได้นานมาก
ยิ่งแม่ดื่มบ่อย คาเฟอีนก็สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ

⚗️ 3. คาเฟอีนกระตุ้นร่างกายอย่างไร?

คาเฟอีนออกฤทธิ์โดย “ยับยั้งสาร adenosine”
ซึ่งปกติช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
เมื่อถูกยับยั้ง หลอดเลือดจึงหดตัว หัวใจเต้นเร็วขึ้น
และความดันโลหิตอาจสูงขึ้นเล็กน้อย

ในหญิงตั้งครรภ์ หลอดเลือดของ “รก” ก็อาจหดตัวตาม
เลือดที่ไปเลี้ยงลูกจึงลดลง
ขณะเดียวกัน คาเฟอีนยังกระตุ้นให้ร่างกายหลั่ง อะดรีนาลีน (Adrenaline)
ทำให้หัวใจของแม่และลูกเต้นเร็วขึ้น บางรายอาจรู้สึกใจสั่น

👶 4. ลูกได้รับผลกระทบอย่างไร?

ถ้าแม่ดื่มคาเฟอีนมากเกินไป
อาจเกิดผลตามนี้ได้ 👇
• เสี่ยง แท้งบุตร โดยเฉพาะหากดื่มเกินวันละ 2 แก้ว
• ทารกน้ำหนักตัวน้อย (Low Birth Weight) เพราะเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงไม่พอ
• หัวใจทารกเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ
• บางรายอาจเพิ่มความเสี่ยง คลอดก่อนกำหนด

ส่วนแม่เอง คาเฟอีนยังลดการดูดซึม ธาตุเหล็กและแคลเซียม
ถ้าดื่มพร้อมอาหารบ่อย ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยง “โลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์” ได้เช่นกัน

📏 5. ปริมาณที่ “ปลอดภัย”

ตามแนวทางของ ACOG (American College of Obstetricians and Gynecologists)
หญิงตั้งครรภ์สามารถบริโภคคาเฟอีนได้ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน
หรือประมาณ กาแฟชง 1–2 ถ้วยมาตรฐาน ☕️☕️

อย่าลืมว่าคาเฟอีนไม่ได้มีแค่ในกาแฟ!
แต่ยังมีใน ชา, โกโก้, ช็อกโกแลต, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มพลังงาน ด้วยนะครับ

07/10/2025
05/10/2025

ผู้หญิงที่มี ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ไม่ได้แค่มีปัญหาประจำเดือนหรือมีบุตรยากเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อร่างกายทั้งระบบ เช่น ฮอร์โมนเพศชายสูง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความอ้วน และการอักเสบที่ค่อย ๆ สะสมในร่างกาย 🌀

เมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็น “เงื่อนไขพิเศษ” ที่ทำให้ความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

⚠️ ความเสี่ยงของคุณแม่

👩‍🍼 แท้งบุตร – เสี่ยงเพิ่ม ~30–50%
เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกในคนที่มี PCOS ไม่พร้อมสำหรับการฝังตัว ฮอร์โมนไม่สมดุลเหมือนพื้นดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ต้นอ่อนจึงโตได้ยาก

🍬 เบาหวานขณะตั้งครรภ์ – พบมากขึ้น 2–3 เท่า
เพราะร่างกายดื้อต่ออินซูลินอยู่แล้ว พอตั้งครรภ์ ฮอร์โมนรกยิ่งทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ควบคุมยากกว่าเดิม

💔 ครรภ์เป็นพิษ/ความดันสูง – เสี่ยงเพิ่ม 1.5–2 เท่า
เส้นเลือดเหมือนท่อที่บอบบางจากการอักเสบและไขมันสะสม จึงหดเกร็งง่ายขึ้น ความดันสูงตามมา

⏰ คลอดก่อนกำหนด – เสี่ยงเพิ่ม 1.5–2 เท่า
เพราะรกที่สร้างเหมือน “โรงงานเล็ก ๆ” อาจทำงานไม่เต็มที่ ร่างกายจึงส่งสัญญาณให้คลอดก่อนเวลา

✂️ การผ่าตัดคลอด – เสี่ยงเพิ่ม ~1.5 เท่า
บางครั้งทารกตัวใหญ่เกินไป หรือมีภาวะแทรกซ้อน ทำให้ต้องจบการตั้งครรภ์ด้วยการผ่าตัด

👶 ความเสี่ยงของทารก

📏 ตัวเล็กหรือตัวใหญ่เกินไป – เสี่ยงเพิ่ม ~1.5 เท่า
• ถ้าแม่มีน้ำตาลสูง → ลูกตัวโตเหมือน “ได้อาหารหวานมากเกิน”
• ถ้ารกทำงานไม่ดี → ลูกตัวเล็กเพราะ “ไม่ได้รับอาหารพอ”

••••••••

การคุม PCOS ก่อนท้อง … ไม่ได้หมายถึงแค่กินยาคุมหรือยาปรับฮอร์โมน แต่รวมถึงการปรับวิถีชีวิต (ลดน้ำหนัก, ออกกำลังกาย, คุมอาหาร), การใช้ยาเช่น metformin ถ้าจำเป็น และการประเมินสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ ผลลัพธ์ที่ได้คืนมาคือความเสี่ยงในครรภ์จะใกล้เคียงคนทั่วไปมากขึ้น ต่างจากการปล่อยให้ PCOS ไม่ได้คุมแล้วไปท้องหรือทำให้ท้องซึ่งจะเจอภาวะแทรกซ้อนบ่อยและรุนแรงกว่าครับ

28/09/2025
18/09/2025

หลายคนอาจเคยแอบสงสัยว่าทำไมหมอเริ่มนับอายุครรภ์จาก “วันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด” ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ได้ท้องเลยด้วยซ้ำจริงไหม ??

อยากให้เราลองนึกภาพย้อนกลับไปสมัยก่อน (สักหลายร้อยกว่าปีก่อน)

• ตอนนั้นยังไม่มีอัลตราซาวด์ ไม่มีวิธีตรวจฮอร์โมน ไม่มีแอปมือถือให้บันทึก สิ่งเดียวที่ผู้หญิงอาจพอจะจำได้ ก็คือ… “ประจำเดือนมาวันไหน” ✨

• หมอตำแยยุคนั้นเลยเลือกใช้ “วันแรกที่เลือดออก” เป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุครรภ์ ถึงแม้จริงๆ แล้วการตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ (ช่วงไข่ตก) ก็ตามครับ

•••••••

จุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์

• คริสต์ศตวรรษที่ 18–19: หมอในยุโรปเริ่มสังเกตว่า วันคลอดมักจะเชื่อมโยงกับรอบเดือนครับ

• Franz Naegele (หมอชาวเยอรมัน) ค.ศ. 1830s คิดสูตรขึ้นมา (ที่เรายังใช้กันอยู่ทุกวันนี้) → “เอาวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย บวก 7 วัน ลบ 3 เดือน” = วันครบกำหนดคลอด 🍼
• จากนั้นก็ใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลก เพราะมัน ง่าย และ จำได้จริงในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันถึงแม้มีอัลตราซาวด์
• หมอก็ยังถามวันแรกของประจำเดือนอยู่ เพราะเป็น ข้อมูลตั้งต้นที่สำคัญมาก
• แล้วใช้ผลอัลตราซาวด์ไตรมาสแรก (CRL) มาช่วยยืนยันอีกที

มุมมองที่อยากชวนผู้หญิงทำ
• ถ้าเราจด วันที่ประจำเดือนมา จะช่วยให้คุณหมอคำนวณอายุครรภ์ได้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
• ถ้าจดเพิ่มว่า มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิดวันไหน ก็ยิ่งช่วยให้ประเมิน “วันไข่ตก/วันปฏิสนธิ” ได้แม่นขึ้นอีก 🌸
• เดี๋ยวนี้ยิ่งง่าย เพราะมีแอปฯ หรือปฏิทินเล็กๆ ก็จดได้แล้ว

08/09/2025

ภาพอัลตราซาวด์นี้แสดงให้เห็นทารกอายุครรภ์ประมาณ 9 สัปดาห์ ที่ปลายลูกศรชี้ไปคือบริเวณศีรษะ/สมอง ซึ่งจะเห็นเป็นลักษณะ ช่องกลวง (cystic appearance) ที่หลายคนพอได้ภาพกลับไปจากโรงพยาบาลอาจกังวลใจว่า #ทำไมสมองตรงหัวดูเป็นช่องกลวงๆ ไม่มีเนื้อเหมือนส่วนอื่นๆ ❓

สิ่งนี้ถือว่า #ปกติสำหรับช่วงอายุครรภ์นี้ เนื่องจากพัฒนาการสมองของทารกในไตรมาสแรกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ 8–10 จะเห็นโครงสร้างสมองด้านหน้าและช่องโพรงสมอง (lateral ventricles) ที่กว้างชัดเจน เมื่อเทียบกับเนื้อสมองรอบ ๆ จึงดูเหมือน “กลวง”

••••••••

เหตุผลที่สมองดูเป็นช่องกลวง

• Neural tube และ forebrain development: ตอนสัปดาห์ 7–10 forebrain (prosencephalon) กำลังพัฒนาและมีช่องโพรงสมองใหญ่ชัด

• Choroid plexus ยังเล็ก และยังไม่เต็มพื้นที่ ทำให้ภาพส่วนใหญ่เห็นเป็นโพรงน้ำไขสันหลัง

• เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ 11–12 ขึ้นไป สมองจะมีเนื้อสมองมากขึ้น โพรงสมองดูแคบลง ไม่กลวงเหมือนในช่วงแรก

•••••••••

สรุป

• ลักษณะสมองที่เห็นเป็นช่องกลวงในอายุครรภ์ประมาณ 9 สัปดาห์ เป็นพัฒนาการปกติ
• ไม่ใช่ความผิดปกติของสมอง
• ในการตรวจติดตามช่วงไตรมาสสอง จะเห็นสมองมีโครงสร้างซับซ้อนขึ้นและไม่กลวงแบบนี้ครับ

06/09/2025

หลายคนที่ตั้งครรภ์ในวัย 35 ปีขึ้นไป อาจกังวลเรื่องความเสี่ยงของโครโมโซมทารก ว่าควรเลือกตรวจแบบไหนดี มาลองทำความเข้าใจกัน

🔬 NIPT คืออะไร?

NIPT (Non-Invasive Prenatal Test) คือการตรวจเลือดคุณแม่ เพื่อวิเคราะห์ชิ้นส่วน DNA ของทารกที่ลอยอยู่ในเลือดแม่
• ตรวจพบความผิดปกติที่พบบ่อย เช่น ดาวน์ซินโดรม (Trisomy 21), Trisomy 18, Trisomy 13
• ปลอดภัย 100% เพราะเป็นเพียงการเจาะเลือดแม่
• ทำได้เร็ว ตั้งแต่ 10 สัปดาห์ขึ้นไปและหลายๆที่นัดตรวจกันแถว 12 สัปดาห์
• ความแม่นยำสูงมาก (>99% สำหรับดาวน์ซินโดรม)

⚠️ แต่ NIPT ถือว่าเป็นเพียง “การคัดกรอง” เพราะ DNA ที่ตรวจได้มาจากรก ไม่ใช่จากทารกโดยตรง จึงอาจเกิด “ผลบวกเทียม” หรือ “ผลลบเทียม” ได้ หากผลออกมาเสี่ยงสูง ต้อง ยืนยันด้วยการเจาะน้ำคร่ำ

💉 การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)

เป็นการเจาะเข็มผ่านหน้าท้องไปเอาน้ำคร่ำรอบตัวทารกมาตรวจ
• เป็น การตรวจวินิจฉัย (Diagnostic test) → ให้ผลที่แน่นอน
• ตรวจโครโมโซมได้หลากหลายและละเอียดกว่า
• ใช้ยืนยันผลจาก NIPT หรือจากการตรวจอัลตราซาวนด์ที่ผิดปกติ
• ทำได้เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ขึ้นไป และส่วนมากมักนัดเจาะกันแถวๆ 18 สัปดาห์

⚠️ มีความเสี่ยงเล็กน้อย เช่น แท้ง (ประมาณ 1–3 ต่อพันราย), น้ำคร่ำรั่ว, ติดเชื้อ

📚 แนวทางสากลพูดว่าอย่างไร?

• ACOG (สหรัฐอเมริกา) และ RCOG (อังกฤษ) : หญิงตั้งครรภ์ทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไร ควรได้รับข้อมูลทั้ง “การคัดกรอง” และ “การตรวจวินิจฉัย” เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง
• RTCOG (ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย) : ไม่ได้บังคับให้หญิงตั้งครรภ์อายุ ≥35 ต้องเจาะน้ำคร่ำทุกคน แต่ควรมีสิทธิเลือกทั้ง NIPT และการเจาะน้ำคร่ำ โดยมีแพทย์อธิบายข้อดีข้อเสียครบถ้วน

✅ แล้วคุณแม่วัย 35 ปีควรเลือกแบบไหน?
• ถ้าอยาก เริ่มจากวิธีที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยง และทำได้เร็ว → เลือก NIPT ก่อน
• ถ้า NIPT ผลเสี่ยงสูง → ควรเจาะน้ำคร่ำเพื่อยืนยัน
• ถ้าอยากได้ ความชัดเจน 100% ตั้งแต่แรก หรือมีอัลตราซาวนด์ผิดปกติ/ครอบครัวมีประวัติ → อาจเลือกเจาะน้ำคร่ำได้เลย

✨ สรุป:
ที่อายุ 35 ปี การตรวจ NIPT มักเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสม ปลอดภัย และให้ข้อมูลที่แม่นยำสูง แต่หากต้องการคำตอบที่ชัดเจนที่สุด หรือมีผลตรวจคัดกรองผิดปกติ การเจาะน้ำคร่ำคือมาตรฐานในการยืนยันผล

⚠️ ข้อควรจำ: รายละเอียดของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป เช่น สุขภาพ ประวัติครอบครัว หรือผลอัลตราซาวนด์ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจครั้งสุดท้าย ควรพูดคุยกับสูติแพทย์โดยตรง เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดกับคุณและลูกน้อย 💕

••••••••

บทความนี้อาจช่วยให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้นะครับสำหรับคนที่อาจลังเลอยู่ ลองพิจารณาและพูคคุยกับสูติแพทย์ของคุณต่อนะครับ ขอให้ทุกการตรวจไม่ว่าคัดกรองหรือวินิจฉัยผ่านไปด้วยดีทุกๆครั้งทุกๆคนครับ

ขอบคุณครับ ^^

26/08/2025

ศีรษะทารกลงอุ้งเชิงกราน: เรื่องที่คุณแม่หลายคนสงสัย

ศีรษะลงเมื่อใด?
• ครรภ์แรก (Primigravida): ศีรษะทารกมักจะเริ่ม “engage” หรือเคลื่อนเข้าสู่ช่องเชิงกรานเล็กได้ตั้งแต่ประมาณ 36–38 สัปดาห์ ก่อนเริ่มเจ็บครรภ์จริง ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด
• ครรภ์หลัง (Multigravida): ศีรษะมักจะยังไม่ลงจนกว่าจะเริ่มเจ็บครรภ์จริง เนื่องจากโครงสร้างช่องทางคลอดเคยผ่านการขยายมาแล้ว

ทำไมบางครั้งศีรษะไม่ลง?

การที่ศีรษะทารกยังไม่ลงก่อนกำหนด ไม่ได้หมายความว่าจะคลอดไม่ได้เสมอไป แต่ในบางกรณีอาจสะท้อนถึง ภาวะศีรษะไม่เข้ากับอุ้งเชิงกราน (cephalopelvic disproportion: CPD) ซึ่งคือความไม่สมดุลระหว่างขนาดศีรษะทารกกับขนาดเชิงกรานของมารดา
สาเหตุที่พบได้ เช่น
• ศีรษะหรือทารกตัวใหญ่เกินไป (fetal macrosomia)
• รูปร่างเชิงกรานของมารดาแคบ หรือมีความผิดปกติ
• ท่าของทารกไม่เหมาะสม เช่น ศีรษะเงย (deflexed head) หรือหน้าหงายออก
• มีสิ่งกีดขวาง เช่น รกเกาะต่ำ (placenta previa) หรือ เนื้องอกในมดลูก/อุ้งเชิงกราน

คุณแม่ควรกังวลหรือไม่?
• ถ้ายังไม่ถึงกำหนดคลอด #ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะโดยธรรมชาติศีรษะอาจลงเมื่อเริ่มเจ็บครรภ์จริง
• ในครรภ์แรก หากพ้น 38–39 สัปดาห์แล้วยังไม่พบการลงของศีรษะ แพทย์มักจะนัดติดตาม ตรวจประเมินเชิงกราน และติดตามท่าทางศีรษะอย่างใกล้ชิด
• หากพบความเสี่ยง CPD ทีมแพทย์จะพิจารณาแผนการคลอดที่ปลอดภัยที่สุด อาจเป็นการคลอดทางช่องคลอดภายใต้การเฝ้าระวัง หรือผ่าตัดคลอดเมื่อมีข้อบ่งชี้

ที่อยู่

1228/65 Thepa Road , Mueang Nuea
Si Sa Ket
33000

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 20:00
อังคาร 17:00 - 20:00
พุธ 17:00 - 20:00
พฤหัสบดี 17:00 - 20:00
ศุกร์ 17:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 12:00
อาทิตย์ 09:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

+66611244436

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกสูตินรีเวชหมอขวัญชนกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram