คลินิกทารก • เด็ก • นมแม่ หมอลลิตา

คลินิกทารก • เด็ก • นมแม่ หมอลลิตา ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก คลินิกทารก • เด็ก • นมแม่ หมอลลิตา, กุมารแพทย์, ถนนห้วยยอด ซอย เรืองวิทย์การแพทย์, Trang.

• กุมารแพทย์เฉพาะทางสาขาทารกแรกเกิดจบการศึกษาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
• รักษาโรคเด็กทั่วไป ภูมิแพ้ นอนกรน พ่นยา ฉีดวัคซีน ทารกคลอดก่อนกำหนด
• ปรึกษาปัญหาการให้นมบุตร เจ็บเต้านม คัดตึงเต้านม
• ตัดพังผืดใต้ลิ้นในทารกดูดนมยาก
• ปรึกษาพัฒนาการ

07/10/2025

คลินิกปิด 7-13/10/68
เปิด 14/10: 17.00
รักษาสุขภาพกันด้วยนะค่า❤️💕😊

ต้าวภูเขาโต 4 เดือนแล้ว ฉีดวัคซีนครบทุกตัว RSV ภูเขาก็จัดแล้วครับ 😝😜🥰💕 วันนี้เอาไข่ไก่จากฟาร์มตัวเอง มาฝากป้าหมอด้วย📍ฟาร...
05/10/2025

ต้าวภูเขาโต 4 เดือนแล้ว ฉีดวัคซีนครบทุกตัว RSV ภูเขาก็จัดแล้วครับ 😝😜

🥰💕 วันนี้เอาไข่ไก่จากฟาร์มตัวเอง มาฝากป้าหมอด้วย

📍ฟาร์มสุวิมล: ไข่สดมากๆ ค่า
😊 มีกำลังใจทำงานต่อไปอีกหลายวันเลยแบบนี้ 🥰
ขอให้แข็งแรงสมบูรณ์ พัฒนาการตามวัยนะลูกน้า

อยากให้แม่ๆ ได้อ่านนะค่า ✅📍ยาแก้อักเสบ หรือยาฆ่าเชื้อ ที่หมอพยายามย้ำบ่อยๆ กับแม่ๆ 💕
04/10/2025

อยากให้แม่ๆ ได้อ่านนะค่า ✅
📍ยาแก้อักเสบ หรือยาฆ่าเชื้อ ที่หมอพยายามย้ำบ่อยๆ กับแม่ๆ 💕

เด็กป่วยส่วนใหญ่ "ไม่จำเป็น" ต้องกินยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะ!
(คนไทยชอบเรียกผิดว่า “ยาแก้อักเสบ”)
เพราะส่วนใหญ่แล้วโรคที่เจอมักเกิดจาก “เชื้อไวรัส” 🦠
ซึ่งร่างกายลูกสามารถต่อสู้และหายได้เอง

ก่อนจะเข้าเนื้อหา ผมอยากชวนทำความเข้าใจคำนี้ให้ตรงกันก่อนครับ 👉“ยาปฏิชีวนะ” (antibiotic) = ยาที่ใช้ฆ่าเชื้อ "แบคทีเรีย" เท่านั้น
❌ ยาปฏิชีวนะ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
❌ ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ” อย่างที่คนไทยมักเรียกกันผิดๆ

ในโพสต์นี้ผมจะเรียกยาตัวนี้ว่า “ยาปฏิชีวนะ” นะครับ

ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่พ่อแม่คุ้นชื่อ เช่น
อะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin), อ๊อกเมนติน (Augmentin),
ซิโทรแมก (Zithromax), ไมแอ่ก (meiact) เป็นต้น

=======================
1. เด็กที่ป่วยส่วนใหญ่ (>80-90%) ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ 🚫💊
2. เด็กประมาณ 10% เท่านั้น ที่ป่วยจากเชื้อแบคทีเรียและต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ 💊
3. แล้วหมอรู้ได้ยังไง ว่าลูกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน? 🤔
4. เน้นย้ำว่า การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน มักเกิด “ตามหลัง” การติดเชื้อไวรัส
5. เราจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ไหม? 🤔
6. “กินยาปฏิชีวนะดักไว้เลยตั้งแต่แรก” ดีไหม?
7. ถ้าหมอบอกว่าลูกติดเชื้อแบคทีเรียและต้องกินยาปฏิชีวนะ 👉 ต้องกินให้ครบ ห้ามหยุดเอง! 💊
8. ลูกติดเชื้อไวรัส แต่หมอยังสั่งให้กินยาปฏิชีวนะ จะทำยังไง? 🤔💊
9. ตัวอย่างความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “ยาปฏิชีวนะ” 💊
=======================

1. เด็กที่ป่วยส่วนใหญ่ (>80-90%) ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ 🚫💊
เพราะว่า…
• เวลาลูกป่วย มักจะมีอาการ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก จาม เจ็บคอ อาเจียน หรือท้องเสีย
• อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการติด "เชื้อไวรัส" ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย
• เชื้อไวรัส 🦠 เป็นเชื้อที่ร่างกายกำจัดเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยา
• แต่ต้องใช้เวลา… บางโรคหายภายใน 4–5 วัน บางโรคอาจใช้ 7–10 วัน

⏳ ระหว่างที่รอให้ร่างกายกำจัดไวรัสออกไป
หมอจะให้การรักษาแบบ “บรรเทาอาการ” เพื่อให้ลูกสบายตัวขึ้น เช่น
• ไข้สูง → ให้ยาลดไข้เวลาที่เด็กไม่สุขสบาย
• น้ำมูกเยอะ → ล้างจมูก, ดูดน้ำมูก หรือใช้ยาลดน้ำมูกช่วย
• ไอเยอะ → ดื่มน้ำมากๆ + ใช้ยาแก้ไอ
• ท้องเสีย → ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ (ORS), โพรไบโอติก
• อาเจียน → ให้ยาแก้อาเจียน

ถ้าอาการไม่เยอะหรือไม่มีอาการแล้วก็สามารถหยุดยาได้เลย
ส่วนการฆ่าเชื้อไวรัสจะเป็นหน้าที่ของร่างกายจัดการเอง เราไม่ต้องยุ่งอะไรเลยครับ

🧾 ตัวอย่างเชื้อไวรัสที่พ่อแม่คุ้นหู
เช่น RSV, hMPV, ไข้หวัดใหญ่, โควิด, โรต้าไวรัส, โนโรไวรัส, ไวรัสมือเท้าปาก เป็นต้น
➡️ เชื้อเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเลย

💡 หมายเหตุ: ไวรัสบางชนิดอาจมียาต้านไวรัส (antiviral drugs) เช่น ไข้หวัดใหญ่หรือโควิด
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องใช้ยาต้านไวรัสนะครับ หมอจะเป็นผู้พิจารณาให้เป็นรายๆ ตามข้อบ่งชี้อีกที ✅

=======================

2. เด็กประมาณ 10% เท่านั้น ที่ป่วยจากเชื้อแบคทีเรีย และต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ 💊
🔹 ความจริงที่พ่อแม่อาจไม่รู้ก็คือ… ไวรัสกับแบคทีเรียมีพฤติกรรมต่างกันมาก

• ไวรัส = “ตัวโจมตี” ทำให้เกิดอาการป่วยทันที
→ พอเข้าสู่ร่างกาย จะบุกรุก"เข้าไปในเซลล์"ของเราเพื่อขยายจำนวน
→ เซลล์ที่ถูกทำลายจะส่ง “สัญญาณไซเรน” เรียกภูมิคุ้มกันออกมาสู้
→ พอภูมิคุ้มกันทำงาน เราก็จะมีอาการทันที เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ

• แบคทีเรีย(ส่วนใหญ่) = ผู้อาศัยเงียบๆ
→ มันขยายจำนวนได้เองโดยไม่ต้องเข้าไปในเซลล์มนุษย์
→ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามจมูก คอ หรือหลอดลม (ภาวะที่เราเรียกว่า colonization)
→ เป้าหมายของมันคืออยู่แบบเงียบๆ คอยกินอาหารจากเมือกในทางเดินหายใจ
→ เพราะมันไม่ได้ทำลายเซลล์ → จึงไม่มีสัญญาณไซเรนเรียกภูมิคุ้มกัน→ ร่างกายก็เลย “ไม่รู้สึกอะไร” (ไม่มีอาการ)
→ ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรมาเปิดทาง แบคทีเรียก็จะอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ โดยไม่ก่อโรค

🔹 แล้วเมื่อไหร่แบคทีเรียจะเริ่มก่อโรค?
คำตอบคือ… เมื่อมีใครมาเปิดทางให้มันและคนนั้นก็คือ “เชื้อไวรัส” นั่นเอง

🧩 ยกตัวอย่าง กลไกที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียก่อโรคตามหลังไวรัส
1.ภูมิคุ้มกันอ่อนลง
•ร่างกายใช้ภูมิคุ้มกันไปสู้กับไวรัสจนหมดแรง
•แบคทีเรียที่เคยแอบซ่อนอยู่ → ฉวยโอกาสก่อโรค
2.ท่อยูสเตเชียนบวม (ท่อเล็กๆ เชื่อมหูชั้นกลางกับโพรงจมูก)
•ไวรัสทำให้เยื่อบุจมูกและท่อยูสเตเชียนบวม
•น้ำในหูชั้นกลางระบายไม่ออก → ของเหลวขัง → กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย
•สุดท้ายแบคทีเรียเติบโตอย่างมาก → ทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบแทรกซ้อน
3.ไซนัสบวม
•ไวรัสทำให้เยื่อบุในไซนัสบวม น้ำมูกระบายออกไม่ดี
•น้ำค้างอยู่ในไซนัส → แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย
•ทำให้เกิด ไซนัสอักเสบแทรกซ้อน
4.ปอดมีแผล
•ถ้าไวรัสลงปอด (เช่น RSV, ไข้หวัดใหญ่) → ทำให้เนื้อปอดอักเสบ มีแผล
•แผลในปอดเหมือน “ประตูที่เปิดไว้” ให้แบคทีเรียตามเข้ามา
•ผลลัพธ์คือ ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

⚠️ แต่ก็มีแบคทีเรียบางชนิดที่อันตรายตั้งแต่แรก ไม่ต้องรอไวรัสเปิดทางแบบนี้ (จะเล่าต่อในข้อ 7)



🏰 เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น
• ร่างกาย = ป้อมปราการ
• ภูมิคุ้มกันร่างกาย = ทหารเฝ้าป้อม
• เชื้อไวรัส = หัวหน้าโจร → บุกโจมตี ทำให้ทหารต้องออกไปสู้จนหมดแรง และบางครั้งยังพังประตู ก่อแผลตามกำแพงไว้
• เชื้อแบคทีเรีย = ลูกสมุน → ปกติทำอะไรไม่ได้ แค่แอบอยู่รอบๆ ป้อมปราการ
แต่พอทหารหมดแรง + ประตูพัง + มีกำแพงแตก → ลูกสมุนก็อาศัยช่องโหว่บุกเข้ามาก่อโรคได้สำเร็จ



💊 เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ถ้าลูกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจริงๆ 👉 หมอจึงจะสั่งยาปฏิชีวนะ เพราะยากลุ่มนี้ทำหน้าที่เฉพาะ “ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย” เท่านั้น ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล

และที่สำคัญมาก ⚠️
เมื่อหมอสั่งแล้ว ต้องกินให้ครบตามที่กำหนด
• ห้ามหยุดยาเอง
• ห้ามกินไม่ครบคอร์ส

เพราะถ้ากินไม่ครบ… เชื้อที่ยังเหลือรอด อาจพัฒนาเป็นเชื้อดื้อยาได้ครับ

=======================

3. แล้วหมอรู้ได้ยังไง ว่าลูกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน? 🤔

จริงๆ เรื่องนี้ซับซ้อนมากและมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละโรคแต่ละอวัยวะเลยครับ
ดังนั้นเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะตรวจและวินิจฉัย ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ต้องตัดสินใจเอง

บางครั้งหมออาจต้องใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด หรือ ตรวจเลือด เพื่อช่วยยืนยัน

📌 ตัวอย่างบางสถานการณ์ที่ทำให้หมอสงสัยเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น
• หูชั้นกลางอักเสบ → หูบวมแดง มีน้ำขังในหู
• ไข้ที่กลับมาใหม่หลังติดไวรัส → เด็กอาการเหมือนจะดีขึ้นแล้ว แต่ไข้สูงกลับมาอีก
• ไซนัสอักเสบแทรกซ้อน → หวัดหายไปเกือบดี แต่กลับมีไข้สูงใหม่ น้ำมูกข้นมากขึ้น คัดจมูกหนักขึ้น



🎯 สรุป
โดยทั่วไป การติดเชื้อไวรัส → อาการควรค่อยๆ ดีขึ้น
แต่ถ้าอาการ กลับมาแย่ลง หรือมีอาการใหม่ที่รุนแรงขึ้น → หมอจะเริ่มสงสัยการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

⚠️ และเพราะรายละเอียดจริงๆ ของแต่ละโรคมีความซับซ้อนมาก
ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็น หน้าที่แพทย์ตรวจและตัดสินใจเท่านั้นครับ
(แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถถามหมอได้ ว่าอาการที่ลูกเป็นอยู่นั้น เป็นการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย)

=======================

4. เน้นย้ำว่า การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน มักเกิด “ตามหลัง” การติดเชื้อไวรัส
• ช่วง 1–3 วันแรก ที่ลูกเริ่มมีไข้ ไอ น้ำมูก → ส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อไวรัสอย่างเดียว
👉 ดังนั้นแพทย์มักยังไม่จ่ายยาปฏิชีวนะ แต่จะให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ
👉 เด็กจำนวนมากเมื่อผ่านไปไม่กี่วัน อาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นและหายเองได้

• แต่ในบางราย…
👉 ผ่านไป วันที่ 4–5 เป็นต้นไป บางคนอาการกลับแย่ลง ไข้สูงกว่าเดิม หรือดูหอบเหนื่อยกว่าเดิม
👉 คราวนี้เมื่อไปพบแพทย์อีกครั้ง แพทย์ตรวจแล้วพบว่า มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
👉 จึงตัดสินใจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยฆ่าเชื้อ
• หลายครั้งพ่อแม่อาจเข้าใจว่า “หมอคนแรกวินิจฉัยผิด” แต่จริงๆ แล้ว… ไม่ใช่นะครับ
✅ เพราะการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนมักแสดงอาการทีหลัง

หมอคนแรกวินิจฉัยถูกแล้วว่าติดเชื้อไวรัส
แต่พอเชื้อแบคทีเรียตามมาในเวลาต่อมา หมอคนที่สองจึงเป็นคนเจอและให้ยาปฏิชีวนะ



🎯 สรุปคือ…
• วันแรกๆ ป่วย = มักเป็นไวรัส ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ
• ถ้าอาการดีขึ้น → หายเองได้
• ถ้าอาการแย่ลงหลังวันที่ 4–5 → อาจเป็นสัญญาณของเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน → ค่อยใช้ยาปฏิชีวนะตามดุลยพินิจของแพทย์

=======================

5. เราจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ไหม? 🤔
คำตอบคือ… พอจะทำได้ครับ ✅

หนึ่งในเชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการหลักของการติดเชื้อทางเดินหายใจ
คือ Streptococcus pneumoniae
หรือที่พ่อแม่คุ้นในชื่อเชื้อนิวโมคอคคัส / เชื้อไอพีดี

เชื้อตัวนี้…
• มันชอบเด็กเล็ก(อายุ

04/10/2025

วันนี้ 4/10/68
เปิดบริการ 10.00 ถึง 15.30 น. นะคะ 💕✅

อาทิตย์หน้าหมอหยุดหลายวันนะค่า 🙏🏻👩🏻‍⚕️มีอะไรให้หมอช่วยเหลือแวะมาก่อนน้า ☺️😊💕
03/10/2025

อาทิตย์หน้าหมอหยุดหลายวันนะค่า 🙏🏻👩🏻‍⚕️
มีอะไรให้หมอช่วยเหลือแวะมาก่อนน้า ☺️😊💕

✅ วันและเวลาทำการประจำเดือนตุลาคม 2568 ค่า 😊⛔️ ปิด: 7-13, 17, 24-25 ตุลาคม 2568 ⏰ เวลาทำการ• วันธรรมดา: 17.00-19.30 น.• ...
30/09/2025

✅ วันและเวลาทำการประจำเดือนตุลาคม 2568 ค่า 😊

⛔️ ปิด: 7-13, 17, 24-25 ตุลาคม 2568

⏰ เวลาทำการ

• วันธรรมดา: 17.00-19.30 น.
• วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์: 10.00-16.00 น.

✅ ตรวจโรคเด็กทั่วไป-ฉีดวัคซีน-พ่นยา
✅ ปัญหาทารกคลอดก่อนกำหนด
✅ ตัดพังผืดใต้ลิ้นในทารกที่ดูดนมยาก
✅ ปรึกษาปัญหาการเข้าเต้า ปัญหานมน้อย นมตัน นมอักเสบ การให้นมบุตรหรือต้องการระบายและกระตุ้นน้ำนมของมารดาหลังคลอด

📍ที่ตั้ง: https://maps.app.goo.gl/opst42hV5qSKMB4A6?g_st=com.google.maps.preview.copy

☎️ 061-4947463

#คลินิกเด็กตรัง #คลินิกเด็กหมอลลิตา #คลินิกนมแม่ตรัง #นวดกระตุ้นน้ำนมตรัง #นวดระบายน้ำนมตรัง

อยากให้คุณพ่อ คุณแม่อ่านค่าวันที่ 3-5 หมอย้ำสุดดๆ เลยค่า 🥹
29/09/2025

อยากให้คุณพ่อ คุณแม่อ่านค่า
วันที่ 3-5 หมอย้ำสุดดๆ เลยค่า 🥹

👃 แยงจมูกลูกตรวจเจอ RSV แล้วไงต่อ?

ทุกวันนี้ชุดตรวจน้ำมูกหาซื้อได้ง่ายขึ้น
หลายครอบครัวเลยตรวจเองที่บ้านกันได้ 🏠
แล้วพอผลขึ้นว่า RSV ก็เกิดคำถามทันทีว่า…
“ต้องทำยังไงต่อ?” 🤔



1️⃣ ขึ้นขีดจางๆ คือติดเชื้อหรือไม่ติด?
• เส้นจางหรือเข้ม = ติดเชื้อเหมือนกัน
• ถ้าเส้นจาง แปลว่าปริมาณเชื้อยังไม่มาก แต่ก็ติดเชื้อแล้ว
• ถ้าไม่แน่ใจ อาจตรวจซ้ำอีกวัน บางครั้งเส้นจะเข้มขึ้น



2️⃣ หาข้อมูล RSV จากแหล่งที่เชื่อถือได้ 📚
• อย่าเสียเวลาไถดูว่า “ลูกคนอื่นอาการเป็นยังไงบ้าง” เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
• การอ่านเคสหนักๆ ของคนอื่น อาจทำให้พ่อแม่เครียดมากจนลืมหาข้อมูลที่ถูกต้อง
• สิ่งที่ควรทำ = เลือกข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ (กุมารแพทย์ องค์กรสุขภาพต่างๆ)
• ผมได้ทำสรุปเรื่อง RSV อย่างละเอียด ทั้งแบบโพสต์และคลิปวิดีโอไว้แล้ว สามารถดูได้ในคอมเมนต์ 👇



3️⃣ เมื่อตั้งสติแล้ว ดูอาการลูกให้ชัด และ รู้วันแรกที่เริ่มมีอาการ 📅
จุดประสงค์คือเพื่อประเมินช่วงที่โรคจะหนักสุด และเสี่ยงลงปอดมากที่สุด

• ระบุให้ชัดว่า “วันแรกของอาการ” คือวันไหน
ตัวอย่าง: แค่น้ำมูกนิด ๆ หรือไอนิด ๆ ก็ นับเป็นวันที่ 1 แล้ว

• เพราะช่วงวันที่ 3–5 นับจากวันแรก
คือช่วงที่ เชื้อเยอะที่สุด / อาการมากที่สุด / โอกาสลงปอดมากที่สุด 🚨

• ถ้าตอนนี้อยู่วันที่ 1–3 → เพิ่งเริ่มต้น
🔍 เฝ้าระวังใกล้ชิดว่า วันที่ 3–5 อาการจะหนักขึ้นไหม

• ถ้าตอนนี้อยู่วันที่ 3–5 → ช่วงพีคของโรค
📌 เฝ้าระวังสัญญาณเตือนลงปอดให้ดี (ศึกษาล่วงหน้าเพื่อรู้เท่าทัน แต่ ไม่ตื่นตระหนก)

• ถ้าตอนนี้อยู่วันที่ 6–7 เป็นต้นไป → โดยมากเริ่มดีขึ้นทีละนิด
✅ ไข้มักหายก่อน
🕰️ ไอจะหายช้าที่สุด
⚠️ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพาไปตรวจ



4️⃣ โฟกัสที่ “อาการตอนนี้” ของลูก 👶
(ใช้หลักนี้ควบคู่กับการนับวันตามข้อ 3)

ผลตรวจเป็นเพียงข้อมูลประกอบ ✅
สิ่งสำคัญที่สุดคือ… ลูกมีอาการยังไงตอนนี้ 👶

🟢 กลุ่มที่ 1 อาการน้อยมากกกกกกก
• ไข้นิด ๆ แทบไม่มีน้ำมูก ไม่ค่อยไอ
👉 สบายใจได้ เฝ้าระวังช่วงวันที่ 3–5 ให้ดี
👉 ดื่มน้ำ/นมเพียงพอ พักผ่อน กินยาตามอาการ
👉 หยุดเรียนจนกว่าจะดีขึ้น ✋

🟡 กลุ่มที่ 2 อาการมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอันตราย
• ไข้สูงขึ้น เริ่มไอมาก น้ำมูกเยอะ
• แต่ยังเล่นได้ กินได้ นอนได้ ไม่ซึม
👉 ดูแลที่บ้านได้ + เฝ้าระวังวันที่ 3–5
👉 ถ้าไม่แน่ใจหรือไม่สบายใจ ให้พาไปตรวจคอนเฟิร์มกับหมอว่ายังโอเคจริงๆไหม
👉 ดื่มน้ำ/นมเพียงพอ พักผ่อน กินยาตามอาการ
👉 หยุดเรียนจนกว่าจะดีขึ้น ✋

🔴 กลุ่มที่ 3 : มีสัญญาณอันตราย 🚨
👉 กลุ่มนี้ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที ❗

1. สัญญาณว่าลงปอด (ดูคลิปประกอบได้ในคอมเมนท์)
• หายใจเร็วผิดปกติ
• จมูกบาน อกบุ๋ม
• ไอมากจนกินไม่ได้/นอนแทบไม่ได้
• ปากม่วงหรือเขียว

2. สัญญาณว่าขาดน้ำ
• กินได้น้อยมาก
• ปากแห้ง
• ปัสสาวะน้อยลง
• ดูซึมลง



5️⃣ การตรวจเจอ RSV ไม่ใช่หายนะวันสิ้นโลก 🌍
• การตรวจเจอ RSV ไม่ได้หมายความว่าลูกต้องป่วยหนักทุกราย
• ข้อเท็จจริงคือ… เด็กเกือบ 90% เคยติดเชื้อนี้อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนอายุ 2 ขวบ 👶
(หลายครั้งแค่เป็นหวัดธรรมดา แล้วหายไปเองโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็น RSV)
• เคสส่วนใหญ่รักษาที่บ้านได้ เคสส่วนน้อยที่ต้องนอนโรงพยาบาล



6️⃣ อย่าลืมดูแลใจพ่อแม่ด้วย 💙
• การเสพข้อมูลมากเกินไปอาจทำให้เครียด จนพลังหมดไปกับความกลัว
• ลองค่อยๆคิด หายใจลึกๆ แล้วโฟกัสที่ลูกตรงหน้า
• พ่อแม่ที่มีข้อมูลถูกต้องและใจที่สงบ → จะช่วยให้ลูกผ่านโรคนี้ไปได้ง่ายขึ้น



💡 สรุป
• เส้นจางหรือเข้ม = ติดเหมือนกัน
• หาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่ามัวแต่ไปไถดูอาการลูกคนอื่น
• ตั้งสติ → ดูอาการลูกของเราและรู้วันแรกที่เริ่มป่วย
• วันที่ 3–5 คือช่วงพีค ต้องระวังใกล้ชิด
• อาการเบา → ดูแลที่บ้านได้
• มีสัญญาณอันตราย → รีบไปโรงพยาบาล
• RSV ไม่ใช่หายนะวันสิ้นโลก ตั้งสติและใจเย็นๆ
• พ่อแม่ต้องดูแลใจตัวเองไปพร้อมๆ กับการดูแลลูกด้วย

📍มาเลยจ้า 😊🥰💕 ✅ เราพร้อมดูแลเด็กๆ ด้วยมาตรฐานระดับมืออาชีพ และหัวใจที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ขอบคุณที่รอหมอนะค่า 🥰💕 #คลินิกเ...
27/09/2025

📍มาเลยจ้า 😊🥰💕
✅ เราพร้อมดูแลเด็กๆ ด้วยมาตรฐานระดับมืออาชีพ และหัวใจที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ขอบคุณที่รอหมอนะค่า 🥰💕

#คลินิกเด็กตรัง #ฉีดวัคซีนตรัง #นวดระบายน้ำนมตรัง #นวดกระตุ้นน้ำนมตรัง #หมอเด็กตรัง
#วัคซีนRSV #ภูมิสำเร็จRSV #คลินิกเด็กหมอลลิตา #คลินิกนมแม่ตรัง #คลินิกเด็กเปิดวันอาทิตย์

ที่อยู่

ถนนห้วยยอด ซอย เรืองวิทย์การแพทย์
Trang
92000

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 20:00
อังคาร 17:00 - 20:00
พุธ 17:00 - 20:00
พฤหัสบดี 17:00 - 20:00
ศุกร์ 17:00 - 20:00
เสาร์ 10:00 - 16:00
อาทิตย์ 10:00 - 16:00

เบอร์โทรศัพท์

+66614947463

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกทารก • เด็ก • นมแม่ หมอลลิตาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram