04/10/2025
อยากให้แม่ๆ ได้อ่านนะค่า ✅
📍ยาแก้อักเสบ หรือยาฆ่าเชื้อ ที่หมอพยายามย้ำบ่อยๆ กับแม่ๆ 💕
เด็กป่วยส่วนใหญ่ "ไม่จำเป็น" ต้องกินยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะ!
(คนไทยชอบเรียกผิดว่า “ยาแก้อักเสบ”)
เพราะส่วนใหญ่แล้วโรคที่เจอมักเกิดจาก “เชื้อไวรัส” 🦠
ซึ่งร่างกายลูกสามารถต่อสู้และหายได้เอง
ก่อนจะเข้าเนื้อหา ผมอยากชวนทำความเข้าใจคำนี้ให้ตรงกันก่อนครับ 👉“ยาปฏิชีวนะ” (antibiotic) = ยาที่ใช้ฆ่าเชื้อ "แบคทีเรีย" เท่านั้น
❌ ยาปฏิชีวนะ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
❌ ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ” อย่างที่คนไทยมักเรียกกันผิดๆ
ในโพสต์นี้ผมจะเรียกยาตัวนี้ว่า “ยาปฏิชีวนะ” นะครับ
ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่พ่อแม่คุ้นชื่อ เช่น
อะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin), อ๊อกเมนติน (Augmentin),
ซิโทรแมก (Zithromax), ไมแอ่ก (meiact) เป็นต้น
=======================
1. เด็กที่ป่วยส่วนใหญ่ (>80-90%) ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ 🚫💊
2. เด็กประมาณ 10% เท่านั้น ที่ป่วยจากเชื้อแบคทีเรียและต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ 💊
3. แล้วหมอรู้ได้ยังไง ว่าลูกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน? 🤔
4. เน้นย้ำว่า การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน มักเกิด “ตามหลัง” การติดเชื้อไวรัส
5. เราจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ไหม? 🤔
6. “กินยาปฏิชีวนะดักไว้เลยตั้งแต่แรก” ดีไหม?
7. ถ้าหมอบอกว่าลูกติดเชื้อแบคทีเรียและต้องกินยาปฏิชีวนะ 👉 ต้องกินให้ครบ ห้ามหยุดเอง! 💊
8. ลูกติดเชื้อไวรัส แต่หมอยังสั่งให้กินยาปฏิชีวนะ จะทำยังไง? 🤔💊
9. ตัวอย่างความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “ยาปฏิชีวนะ” 💊
=======================
1. เด็กที่ป่วยส่วนใหญ่ (>80-90%) ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ 🚫💊
เพราะว่า…
• เวลาลูกป่วย มักจะมีอาการ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก จาม เจ็บคอ อาเจียน หรือท้องเสีย
• อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการติด "เชื้อไวรัส" ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย
• เชื้อไวรัส 🦠 เป็นเชื้อที่ร่างกายกำจัดเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยา
• แต่ต้องใช้เวลา… บางโรคหายภายใน 4–5 วัน บางโรคอาจใช้ 7–10 วัน
⏳ ระหว่างที่รอให้ร่างกายกำจัดไวรัสออกไป
หมอจะให้การรักษาแบบ “บรรเทาอาการ” เพื่อให้ลูกสบายตัวขึ้น เช่น
• ไข้สูง → ให้ยาลดไข้เวลาที่เด็กไม่สุขสบาย
• น้ำมูกเยอะ → ล้างจมูก, ดูดน้ำมูก หรือใช้ยาลดน้ำมูกช่วย
• ไอเยอะ → ดื่มน้ำมากๆ + ใช้ยาแก้ไอ
• ท้องเสีย → ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ (ORS), โพรไบโอติก
• อาเจียน → ให้ยาแก้อาเจียน
ถ้าอาการไม่เยอะหรือไม่มีอาการแล้วก็สามารถหยุดยาได้เลย
ส่วนการฆ่าเชื้อไวรัสจะเป็นหน้าที่ของร่างกายจัดการเอง เราไม่ต้องยุ่งอะไรเลยครับ
🧾 ตัวอย่างเชื้อไวรัสที่พ่อแม่คุ้นหู
เช่น RSV, hMPV, ไข้หวัดใหญ่, โควิด, โรต้าไวรัส, โนโรไวรัส, ไวรัสมือเท้าปาก เป็นต้น
➡️ เชื้อเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเลย
💡 หมายเหตุ: ไวรัสบางชนิดอาจมียาต้านไวรัส (antiviral drugs) เช่น ไข้หวัดใหญ่หรือโควิด
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องใช้ยาต้านไวรัสนะครับ หมอจะเป็นผู้พิจารณาให้เป็นรายๆ ตามข้อบ่งชี้อีกที ✅
=======================
2. เด็กประมาณ 10% เท่านั้น ที่ป่วยจากเชื้อแบคทีเรีย และต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ 💊
🔹 ความจริงที่พ่อแม่อาจไม่รู้ก็คือ… ไวรัสกับแบคทีเรียมีพฤติกรรมต่างกันมาก
• ไวรัส = “ตัวโจมตี” ทำให้เกิดอาการป่วยทันที
→ พอเข้าสู่ร่างกาย จะบุกรุก"เข้าไปในเซลล์"ของเราเพื่อขยายจำนวน
→ เซลล์ที่ถูกทำลายจะส่ง “สัญญาณไซเรน” เรียกภูมิคุ้มกันออกมาสู้
→ พอภูมิคุ้มกันทำงาน เราก็จะมีอาการทันที เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ
• แบคทีเรีย(ส่วนใหญ่) = ผู้อาศัยเงียบๆ
→ มันขยายจำนวนได้เองโดยไม่ต้องเข้าไปในเซลล์มนุษย์
→ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามจมูก คอ หรือหลอดลม (ภาวะที่เราเรียกว่า colonization)
→ เป้าหมายของมันคืออยู่แบบเงียบๆ คอยกินอาหารจากเมือกในทางเดินหายใจ
→ เพราะมันไม่ได้ทำลายเซลล์ → จึงไม่มีสัญญาณไซเรนเรียกภูมิคุ้มกัน→ ร่างกายก็เลย “ไม่รู้สึกอะไร” (ไม่มีอาการ)
→ ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรมาเปิดทาง แบคทีเรียก็จะอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ โดยไม่ก่อโรค
🔹 แล้วเมื่อไหร่แบคทีเรียจะเริ่มก่อโรค?
คำตอบคือ… เมื่อมีใครมาเปิดทางให้มันและคนนั้นก็คือ “เชื้อไวรัส” นั่นเอง
🧩 ยกตัวอย่าง กลไกที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียก่อโรคตามหลังไวรัส
1.ภูมิคุ้มกันอ่อนลง
•ร่างกายใช้ภูมิคุ้มกันไปสู้กับไวรัสจนหมดแรง
•แบคทีเรียที่เคยแอบซ่อนอยู่ → ฉวยโอกาสก่อโรค
2.ท่อยูสเตเชียนบวม (ท่อเล็กๆ เชื่อมหูชั้นกลางกับโพรงจมูก)
•ไวรัสทำให้เยื่อบุจมูกและท่อยูสเตเชียนบวม
•น้ำในหูชั้นกลางระบายไม่ออก → ของเหลวขัง → กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย
•สุดท้ายแบคทีเรียเติบโตอย่างมาก → ทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบแทรกซ้อน
3.ไซนัสบวม
•ไวรัสทำให้เยื่อบุในไซนัสบวม น้ำมูกระบายออกไม่ดี
•น้ำค้างอยู่ในไซนัส → แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย
•ทำให้เกิด ไซนัสอักเสบแทรกซ้อน
4.ปอดมีแผล
•ถ้าไวรัสลงปอด (เช่น RSV, ไข้หวัดใหญ่) → ทำให้เนื้อปอดอักเสบ มีแผล
•แผลในปอดเหมือน “ประตูที่เปิดไว้” ให้แบคทีเรียตามเข้ามา
•ผลลัพธ์คือ ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
⚠️ แต่ก็มีแบคทีเรียบางชนิดที่อันตรายตั้งแต่แรก ไม่ต้องรอไวรัสเปิดทางแบบนี้ (จะเล่าต่อในข้อ 7)
⸻
🏰 เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น
• ร่างกาย = ป้อมปราการ
• ภูมิคุ้มกันร่างกาย = ทหารเฝ้าป้อม
• เชื้อไวรัส = หัวหน้าโจร → บุกโจมตี ทำให้ทหารต้องออกไปสู้จนหมดแรง และบางครั้งยังพังประตู ก่อแผลตามกำแพงไว้
• เชื้อแบคทีเรีย = ลูกสมุน → ปกติทำอะไรไม่ได้ แค่แอบอยู่รอบๆ ป้อมปราการ
แต่พอทหารหมดแรง + ประตูพัง + มีกำแพงแตก → ลูกสมุนก็อาศัยช่องโหว่บุกเข้ามาก่อโรคได้สำเร็จ
⸻
💊 เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
ถ้าลูกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจริงๆ 👉 หมอจึงจะสั่งยาปฏิชีวนะ เพราะยากลุ่มนี้ทำหน้าที่เฉพาะ “ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย” เท่านั้น ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล
และที่สำคัญมาก ⚠️
เมื่อหมอสั่งแล้ว ต้องกินให้ครบตามที่กำหนด
• ห้ามหยุดยาเอง
• ห้ามกินไม่ครบคอร์ส
เพราะถ้ากินไม่ครบ… เชื้อที่ยังเหลือรอด อาจพัฒนาเป็นเชื้อดื้อยาได้ครับ
=======================
3. แล้วหมอรู้ได้ยังไง ว่าลูกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน? 🤔
จริงๆ เรื่องนี้ซับซ้อนมากและมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละโรคแต่ละอวัยวะเลยครับ
ดังนั้นเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะตรวจและวินิจฉัย ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ต้องตัดสินใจเอง
บางครั้งหมออาจต้องใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด หรือ ตรวจเลือด เพื่อช่วยยืนยัน
📌 ตัวอย่างบางสถานการณ์ที่ทำให้หมอสงสัยเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น
• หูชั้นกลางอักเสบ → หูบวมแดง มีน้ำขังในหู
• ไข้ที่กลับมาใหม่หลังติดไวรัส → เด็กอาการเหมือนจะดีขึ้นแล้ว แต่ไข้สูงกลับมาอีก
• ไซนัสอักเสบแทรกซ้อน → หวัดหายไปเกือบดี แต่กลับมีไข้สูงใหม่ น้ำมูกข้นมากขึ้น คัดจมูกหนักขึ้น
⸻
🎯 สรุป
โดยทั่วไป การติดเชื้อไวรัส → อาการควรค่อยๆ ดีขึ้น
แต่ถ้าอาการ กลับมาแย่ลง หรือมีอาการใหม่ที่รุนแรงขึ้น → หมอจะเริ่มสงสัยการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
⚠️ และเพราะรายละเอียดจริงๆ ของแต่ละโรคมีความซับซ้อนมาก
ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็น หน้าที่แพทย์ตรวจและตัดสินใจเท่านั้นครับ
(แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถถามหมอได้ ว่าอาการที่ลูกเป็นอยู่นั้น เป็นการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย)
=======================
4. เน้นย้ำว่า การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน มักเกิด “ตามหลัง” การติดเชื้อไวรัส
• ช่วง 1–3 วันแรก ที่ลูกเริ่มมีไข้ ไอ น้ำมูก → ส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อไวรัสอย่างเดียว
👉 ดังนั้นแพทย์มักยังไม่จ่ายยาปฏิชีวนะ แต่จะให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ
👉 เด็กจำนวนมากเมื่อผ่านไปไม่กี่วัน อาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นและหายเองได้
• แต่ในบางราย…
👉 ผ่านไป วันที่ 4–5 เป็นต้นไป บางคนอาการกลับแย่ลง ไข้สูงกว่าเดิม หรือดูหอบเหนื่อยกว่าเดิม
👉 คราวนี้เมื่อไปพบแพทย์อีกครั้ง แพทย์ตรวจแล้วพบว่า มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
👉 จึงตัดสินใจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยฆ่าเชื้อ
• หลายครั้งพ่อแม่อาจเข้าใจว่า “หมอคนแรกวินิจฉัยผิด” แต่จริงๆ แล้ว… ไม่ใช่นะครับ
✅ เพราะการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนมักแสดงอาการทีหลัง
หมอคนแรกวินิจฉัยถูกแล้วว่าติดเชื้อไวรัส
แต่พอเชื้อแบคทีเรียตามมาในเวลาต่อมา หมอคนที่สองจึงเป็นคนเจอและให้ยาปฏิชีวนะ
⸻
🎯 สรุปคือ…
• วันแรกๆ ป่วย = มักเป็นไวรัส ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ
• ถ้าอาการดีขึ้น → หายเองได้
• ถ้าอาการแย่ลงหลังวันที่ 4–5 → อาจเป็นสัญญาณของเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน → ค่อยใช้ยาปฏิชีวนะตามดุลยพินิจของแพทย์
=======================
5. เราจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ไหม? 🤔
คำตอบคือ… พอจะทำได้ครับ ✅
หนึ่งในเชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการหลักของการติดเชื้อทางเดินหายใจ
คือ Streptococcus pneumoniae
หรือที่พ่อแม่คุ้นในชื่อเชื้อนิวโมคอคคัส / เชื้อไอพีดี
เชื้อตัวนี้…
• มันชอบเด็กเล็ก(อายุ