
10/08/2025
https://www.facebook.com/share/p/15ptyg5zNU/?mibextid=wwXIfr
EP70**มะเร็ง คีโม+ยาจีน/ฝังเข็ม ได้เหรอ?🤔🤔
สวัสดีครับวันนี้หมอแมนจะมาชวนคุยการรักษามะเร็งในระยะลุกลามด้วยวิธีแบบผสมผสานแพทย์สมัยใหม่และแพทย์จีนกันครับ
📍ปัจจุบันการรักษามะเร็งระยะลุกลามแบบผสมผสานในมุมมองแพทย์แผนจีนในปัจจุบันมะเร็งยังคงเป็นปัญหาท้าทายของวงการแพทย์ครับ เพราะการรักษาวิธีเดียวไม่อาจควบคุมโรคหรือป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและแพร่กระจายของมะเร็งได้อย่างเบ็ดเสร็จ
👀ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นจึงหันมาสนใจแนวทางการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการแพทย์ตะวันตกและการแพทย์แผนจีน เพื่อให้ได้แผนการรักษาที่ครอบคลุมและเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ป่วย
🙏หมอหวังว่าในบทความนี้จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งและญาติจะมีความเข้าใจที่มากขึ้นในการเลือกการรักษาแบบแพทย์ร่วมกับการรักษาหลักในวิธีแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะสร้างโอกาสรอด เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีตลอดกระบวนการรักษาครับ
มาดูมุมมองในแพทย์จีนกัน
แนวคิดพื้นฐานของการผสานการรักษา
☯️แพทย์แผนจีนกับแผนปัจจุบันแพทย์แผนจีนมีแนวคิดการรักษาโรคมะเร็งที่แตกต่างแต่เกื้อหนุนกับการแพทย์กระแสหลัก
🔬ส่วนแพทย์ตะวันตก มุ่งกำจัดหรือทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง (เช่น ผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด หรือยาเป้าหมาย) ซึ่งให้ผลรวดเร็วและตรงจุด แต่ก็มักก่อผลข้างเคียงรุนแรงต่อร่างกาย เช่น กดไขกระดูก ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร หรืออวัยวะสำคัญอื่นๆ อีกทั้งยังมีปัญหาการดื้อยาหากใช้เป็นเวลานาน
👉จุดเด่นแพทย์แผนจีน นั้นยึดหลักองค์รวม (holistic) และการปรับสมดุลเฉพาะบุคคล (辨证论治 หรือจำแนกตามกลุ่มอาการแล้วรักษา) เชื่อว่ามะเร็งเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกาย (หยิน-หยางเสียสมดุล พลังชีวิตหรือชี่พร่อง และเลือดลมติดขัด) จึงเน้นการฟื้นฟูความสมดุลและเสริมภูมิต้านทานของผู้ป่วยควบคู่ไปกับการกำจัดโรค
🎓วิธีคิดนี้ทำให้การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนไม่ได้มุ่งที่ก้อนมะเร็งอย่างเดียว แต่คำนึงถึง สภาพร่างกายของผู้ป่วย ว่าพร้อมรับการรักษาที่รุนแรงหรือไม่ และหาวิธีช่วยให้ร่างกายผู้ป่วยแข็งแรงพอจะต่อสู้โรคและทนต่อการรักษา
☯️หลักการสำคัญแพทย์จีนคือ “เสริมสร้างธาตุพื้นฐานและภูมิคุ้มกัน (扶正) ควบคู่กับการกำจัดโรคภัย (祛邪)” กล่าวคือใช้การแพทย์แผนจีนเพื่อเสริมพลังชีวิต บำรุงอวัยวะที่อ่อนแอ เพิ่มภูมิต้านทาน (扶正หรือการเสริมชี่ บำรุงเลือด ปรับหยินหยาง) 🌐ในขณะที่การแพทย์ตะวันตกจะมุ่งโจมตีทำลายเซลล์มะเร็ง (祛邪หรือกำจัดสิ่งเสีย)
🎉ทั้งสองด้านนี้เมื่อทำควบคู่กันจะช่วยให้การรักษาเกิด ฤทธิ์เสริมกัน (synergy) ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สองทาง คือ ประสิทธิภาพการฆ่าเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้น และ พิษภัยต่อร่างกายลดลง แนวทางนี้มักเรียกว่า “增效减毒” (เจิ้งเสี้ยว เจี้ยนตู๋) แปลว่า เพิ่มประสิทธิผล ลดพิษภัยครับ
✍🏻ในทางปฏิบัติ แพทย์แผนจีนจะเลือกสรรสมุนไพรหรือสูตรยาที่เหมาะกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์บำรุงเลือดลม เสริมชี่ ปรับหยิน-หยาง เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัดซึ่งเปรียบเสมือน “การใช้พิษต่อพิษ” ทำให้เกิดภาวะพร่องพลังและเลือดลมในร่างกาย
โดยสมุนไพรจีนหลายชนิดมีสรรพคุณต้านมะเร็งทางอ้อม เช่น กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำลายเซลล์ผิดปกติ ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดเลี้ยงเนื้องอก และต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรบางชนิดที่มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งโดยตรงจากสารออกฤทธิ์ธรรมชาติ (เช่น สารคูร์คูมิน จากขมิ้นชัน สารเรสเวอราทรอล จากองุ่น เป็นต้น) ซึ่งงานวิจัยปัจจุบันเริ่มมีการศึกษากลไกเหล่านี้อย่างกว้างขวางมากขึ้นครับ
🍃การฝังเข็ม เป็นอีกส่วนหนึ่งของแพทย์แผนจีนที่มีบทบาทในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งแบบผสมผสาน แนวคิดของการฝังเข็มคือการปรับการไหลเวียนของชี่และเลือด ผ่านจุดต่าง ๆ บนร่างกาย เพื่อแก้ไขสมดุลหยิน-หยางและบรรเทาอาการ ผลการศึกษาพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน ช่วยหลั่งสารสื่อประสาทเช่น เอนดอร์ฟิน และ โดพามีน ซึ่งมีฤทธิ์ระงับปวดและลดความเครียด ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
แพทย์จีนมองว่าฝังเข็มช่วย "ปรับเปิดทางเดินลมปราณและกระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเลือด" ซึ่งสามารถ ยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายต่อสู้มะเร็งได้มีประสิทธิภาพขึ้น งานทดลองหนึ่งพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นการสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด B lymphocyte ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และการทำครอบแก้วก็เพิ่มระดับ immunoglobulin ในร่างกายได้เช่นกันครับ
✅โดยสรุป แนวคิดพื้นฐานของการแพทย์แผนจีนในการรักษามะเร็งคือการรักษาคนควบคู่ไปกับรักษาโรค กล่าวคือ ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้แข็งแรงสมดุล เพื่อให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการของแพทย์แผนปัจจุบันได้ผลดีที่สุด ลดการทำลายต่ออวัยวะปกติ และ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่ไปกับการยืดอายุ
เราลองมาดูวิจัยในต่างประเทศกัน🔬🌐
👉การรักษาแบบผสมผสานนี้หมายถึงอะไร หมอแมนขอจำกัดความอยู่ที่.. การรักษามะเร็งโดยการใช้เคมีบำบัดร่วมกับยาสมุนไพรจีนและการฝังเข็ม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิผลการรักษา ลดผลข้างเคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
🔬ความน่าเชื่อถือในแนวคิดการรักษาแบบผสมผสาน จากงานวิจัยทางคลินิกจำนวนมากจากประเทศจีนและแหล่งอื่น ๆ ระบุว่าการผสานการรักษาด้วยเคมีบำบัดเข้ากับยาสมุนไพรจีนและฝังเข็มสามารถช่วย ยกระดับประสิทธิผลการรักษามะเร็งระยะลุกลาม ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านการควบคุมโรค การอยู่รอด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ตัวอย่างผลการศึกษาที่สำคัญ ได้แก่
1.มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ระยะลุกลาม (Advanced Non-Small Cell Lung Cancer (NSCLC)): พบว่าการใช้ยาสมุนไพรจีนควบคู่กับการรักษามาตรฐานช่วยลดพิษและผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด เพิ่มคุณภาพชีวิตและยืดอายุผู้ป่วย ได้จริง นอกจากนี้ยังส่งผลให้การตอบสนองของก้อนมะเร็งดีขึ้น และคะแนนสมรรถนะตามมาตรฐาน Karnofsky สูงขึ้น เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างเดียว
งานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับรังสีร่วมกับสมุนไพรจีนมีอัตรารอด 5 ปีสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับสมุนไพรอย่างชัดเจน ผู้ป่วยที่รักษาผสมผสานสามารถมีชีวิตอยู่เฉลี่ย 31 เดือน เทียบกับ 16.5 เดือน ในกลุ่มที่ได้การรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มที่เสริมสมุนไพรกับกลุ่มที่เสริมเคมีบำบัด (ทั้งสองกลุ่มมีค่า HR ~0.5 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม)
ผลข้างเคียงบางอย่างเช่นอาการไอเรื้อรังหรือคลื่นไส้อาเจียนพบได้น้อยลงอย่างมากในกลุ่มที่ได้รับสมุนไพรจีนร่วมด้วย
🔗 https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6536969/
2. มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม: มีการทดลองแบบ Randomized Controlled Trial ในประเทศจีน (ใช้สูตรยาสมุนไพร Huangci Granule) แสดงให้เห็นว่าการเสริมสมุนไพรจีนกับเคมีบำบัดและยามุ่งเป้า (เช่น cetuximab หรือ bevacizumab) ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามมีช่วงเวลาปราศจากโรค (Progression-Free Survival, PFS) ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้ยาหลอก โดยในการรักษาแนวหน้า PFS เฉลี่ยเพิ่มจาก 6.89 เป็น 9.59 เดือน (P = 0.027) ส่วนในการรักษาเป็นเส้นที่สองเพิ่มจาก 4.53 เป็น 6.51 เดือน (P = 0.020) นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับสมุนไพรจีนยังมีคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ ดีขึ้น (เช่น ลดความเหนื่อยล้า มีความอยากอาหารดีขึ้น) และมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงระดับรุนแรง (Grade 3-4) ต่ำลงอย่างชัดเจน
🔗 https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2020.00478/full
3. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะท้าย: การศึกษาย้อนหลังในจีนซึ่งวิเคราะห์ผู้ป่วย 205 รายตลอดช่วงปี 2001–2018 พบว่าการเพิ่มสมุนไพรจีนกลุ่มเสริมม้ามบำรุงชี่ (เช่น ต้น Codonopsis pilosula, Atractylodes, Poria, เปลือกส้ม เป็นต้น) เข้าไปในการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาตรฐาน ส่งผลให้อายุขัยมัธยฐานของผู้ป่วยยาวนานขึ้นถึงประมาณ 21.3 เดือน เทียบกับ 10.8 เดือน ในกลุ่มที่ได้เฉพาะเคมีบำบัด (ความแตกต่างมีนัยสำคัญทางสถิติ, P = 0.001) โดยไม่มีผลข้างเคียงเพิ่มเติมจากสมุนไพร
ข้อสรุปคือสมุนไพรจีนสูตรเสริมม้ามบำรุงร่างกายร่วมกับเคมีบำบัด (เช่นสูตรยาที่มีหวงฉีหรือโสมเป็นหลัก) สามารถ เพิ่มอัตราการรอดชีวิตระยะยาว ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่เพิ่มความเป็นพิษในการรักษา
🔗 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8941405
4.มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม: การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากฐาน National Health Insurance Research Database ของไต้หวัน พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม (advanced breast cancer) ที่ได้รับการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเสริม (เช่น สมุนไพรจีน) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน มีอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง:
โดยกลุ่มที่ใช้แพทย์แผนจีนติดต่อกันระหว่าง 30–180 วัน มีความเสี่ยงเสียชีวิตลดลง (adjusted HR = 0.55)
และกลุ่มที่ใช้เกิน 180 วัน มีความเสี่ยงต่ำลงมากขึ้น (adjusted HR = 0.46)
สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึง ศักยภาพในการยืดอายุผู้ป่วย เมื่อผนวกการรักษาทางเลือกเข้าไปในการดูแลมาตรฐาน
🔗 https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24496917/
5.คุณภาพชีวิตและอาการข้างเคียง: นอกเหนือจากตัวชี้วัดด้านการรอดชีวิต การรักษาผสมผสานยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและลดความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษา ตัวอย่างเช่น การศึกษาแบบสุ่มที่ไต้หวันเปรียบเทียบผู้ป่วยที่ได้เคมีบำบัดอย่างเดียวกับผู้ที่ได้เคมีบำบัดควบคู่แพทย์แผนจีน พบว่าหลังการรักษา 8 สัปดาห์ กลุ่มเคมีบำบัดอย่างเดียวมีคะแนนคุณภาพชีวิตลดลงทุกด้าน (ร่างกาย จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม) อย่างมีนัยสำคัญ และยังตรวจพบภาวะพร่องพลังชีวิต (ชี่พร่อง) และหยินพร่องเพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ ขณะที่กลุ่มที่รักษาผสมผสานกลับมีคะแนนสุขภาวะทางกายดีขึ้น และไม่มีอัตราการเกิดภาวะชี่พร่อง/หยินพร่องเพิ่มขึ้นเลย โดยสอดคล้องกับงานวิจัยอื่น ๆ ที่ระบุว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบผสมผสานมีคุณภาพชีวิตดีกว่าและมีอาการกลุ่มอ่อนเพลียตามแบบแพทย์แผนจีน (เช่น อาการชี่พร่อง) น้อยกว่ากลุ่มที่รักษาเฉพาะทางตะวันตก
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ฐานข้อมูล (meta-analysis) ในจีนหลายฉบับยืนยันผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะในมะเร็งระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารที่พบว่าการใช้ยาสมุนไพรควบคู่เคมีบำบัดชนิด paclitaxel ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองของเนื้องอกประมาณ 1.4 เท่า เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต (KPS) อย่างมีนัยสำคัญ และลดความถี่ของผลข้างเคียงหลักๆ เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำ ไขกระดูกถูกกด คลื่นไส้อาเจียน อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเคมีบำบัดอย่างเดียว
🔗 https://clinmedjournals.org/articles/ijccr/international-journal-of-cancer-and-clinical-research-ijccr-6-118.php
🔗 https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2020.598886/full
😍สรุปคือภาพรวมหลักฐานเหล่านี้ชี้ว่า การรักษามะเร็งแบบผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนจีนสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรักษาแบบเดี่ยว ทั้งในด้านการควบคุมโรค การยืดอายุผู้ป่วย การเสริมคุณภาพชีวิต และการลดอาการไม่พึงประสงค์ ผู้ป่วยมักสามารถทนต่อการรักษาที่รุนแรง (เช่น คีโม) ได้ดีขึ้น ทำให้รักษาได้ครบตามแผน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อพยากรณ์โรคโดยรวมครับ
✍🏻 เราอยู่ในยุคที่สามารถหาข้อมูลทางด้านการรักษาได้ และสามารถเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดได้เช่นกันครับ
จากประสบการณ์ของหมอศาสตร์การแพทย์แผนจีน
มีประสิทธิภาพมากในการนำมาใช้รักษาแบบผสมผสานเพื่อทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาจากการให้คีโมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆครับ
#หมอแมนแพทย์จีน
#การรักษามะเร็งแบบผสมผสาน
#คีโมร่วมกับฝังเข็มยาจีน