หมอแมนฝังเข็มยาจีนอู่ทอง-สุพรรณ

หมอแมนฝังเข็มยาจีนอู่ทอง-สุพรรณ อาจารย์แพทย์จีน ปริญญาโทด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและป้องกันโรค ทุนรัฐบาลจีน

https://www.facebook.com/share/p/15ptyg5zNU/?mibextid=wwXIfr
10/08/2025

https://www.facebook.com/share/p/15ptyg5zNU/?mibextid=wwXIfr

EP70**มะเร็ง คีโม+ยาจีน/ฝังเข็ม ได้เหรอ?🤔🤔

สวัสดีครับวันนี้หมอแมนจะมาชวนคุยการรักษามะเร็งในระยะลุกลามด้วยวิธีแบบผสมผสานแพทย์สมัยใหม่และแพทย์จีนกันครับ

📍ปัจจุบันการรักษามะเร็งระยะลุกลามแบบผสมผสานในมุมมองแพทย์แผนจีนในปัจจุบันมะเร็งยังคงเป็นปัญหาท้าทายของวงการแพทย์ครับ เพราะการรักษาวิธีเดียวไม่อาจควบคุมโรคหรือป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและแพร่กระจายของมะเร็งได้อย่างเบ็ดเสร็จ
👀ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นจึงหันมาสนใจแนวทางการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการแพทย์ตะวันตกและการแพทย์แผนจีน เพื่อให้ได้แผนการรักษาที่ครอบคลุมและเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ป่วย
🙏หมอหวังว่าในบทความนี้จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งและญาติจะมีความเข้าใจที่มากขึ้นในการเลือกการรักษาแบบแพทย์ร่วมกับการรักษาหลักในวิธีแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะสร้างโอกาสรอด เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีตลอดกระบวนการรักษาครับ

มาดูมุมมองในแพทย์จีนกัน

แนวคิดพื้นฐานของการผสานการรักษา
☯️แพทย์แผนจีนกับแผนปัจจุบันแพทย์แผนจีนมีแนวคิดการรักษาโรคมะเร็งที่แตกต่างแต่เกื้อหนุนกับการแพทย์กระแสหลัก
🔬ส่วนแพทย์ตะวันตก มุ่งกำจัดหรือทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง (เช่น ผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด หรือยาเป้าหมาย) ซึ่งให้ผลรวดเร็วและตรงจุด แต่ก็มักก่อผลข้างเคียงรุนแรงต่อร่างกาย เช่น กดไขกระดูก ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร หรืออวัยวะสำคัญอื่นๆ อีกทั้งยังมีปัญหาการดื้อยาหากใช้เป็นเวลานาน

👉จุดเด่นแพทย์แผนจีน นั้นยึดหลักองค์รวม (holistic) และการปรับสมดุลเฉพาะบุคคล (辨证论治 หรือจำแนกตามกลุ่มอาการแล้วรักษา) เชื่อว่ามะเร็งเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกาย (หยิน-หยางเสียสมดุล พลังชีวิตหรือชี่พร่อง และเลือดลมติดขัด) จึงเน้นการฟื้นฟูความสมดุลและเสริมภูมิต้านทานของผู้ป่วยควบคู่ไปกับการกำจัดโรค
🎓วิธีคิดนี้ทำให้การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนไม่ได้มุ่งที่ก้อนมะเร็งอย่างเดียว แต่คำนึงถึง สภาพร่างกายของผู้ป่วย ว่าพร้อมรับการรักษาที่รุนแรงหรือไม่ และหาวิธีช่วยให้ร่างกายผู้ป่วยแข็งแรงพอจะต่อสู้โรคและทนต่อการรักษา

☯️หลักการสำคัญแพทย์จีนคือ “เสริมสร้างธาตุพื้นฐานและภูมิคุ้มกัน (扶正) ควบคู่กับการกำจัดโรคภัย (祛邪)” กล่าวคือใช้การแพทย์แผนจีนเพื่อเสริมพลังชีวิต บำรุงอวัยวะที่อ่อนแอ เพิ่มภูมิต้านทาน (扶正หรือการเสริมชี่ บำรุงเลือด ปรับหยินหยาง) 🌐ในขณะที่การแพทย์ตะวันตกจะมุ่งโจมตีทำลายเซลล์มะเร็ง (祛邪หรือกำจัดสิ่งเสีย)
🎉ทั้งสองด้านนี้เมื่อทำควบคู่กันจะช่วยให้การรักษาเกิด ฤทธิ์เสริมกัน (synergy) ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สองทาง คือ ประสิทธิภาพการฆ่าเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้น และ พิษภัยต่อร่างกายลดลง แนวทางนี้มักเรียกว่า “增效减毒” (เจิ้งเสี้ยว เจี้ยนตู๋) แปลว่า เพิ่มประสิทธิผล ลดพิษภัยครับ

✍🏻ในทางปฏิบัติ แพทย์แผนจีนจะเลือกสรรสมุนไพรหรือสูตรยาที่เหมาะกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์บำรุงเลือดลม เสริมชี่ ปรับหยิน-หยาง เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัดซึ่งเปรียบเสมือน “การใช้พิษต่อพิษ” ทำให้เกิดภาวะพร่องพลังและเลือดลมในร่างกาย
โดยสมุนไพรจีนหลายชนิดมีสรรพคุณต้านมะเร็งทางอ้อม เช่น กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำลายเซลล์ผิดปกติ ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดเลี้ยงเนื้องอก และต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรบางชนิดที่มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งโดยตรงจากสารออกฤทธิ์ธรรมชาติ (เช่น สารคูร์คูมิน จากขมิ้นชัน สารเรสเวอราทรอล จากองุ่น เป็นต้น) ซึ่งงานวิจัยปัจจุบันเริ่มมีการศึกษากลไกเหล่านี้อย่างกว้างขวางมากขึ้นครับ

🍃การฝังเข็ม เป็นอีกส่วนหนึ่งของแพทย์แผนจีนที่มีบทบาทในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งแบบผสมผสาน แนวคิดของการฝังเข็มคือการปรับการไหลเวียนของชี่และเลือด ผ่านจุดต่าง ๆ บนร่างกาย เพื่อแก้ไขสมดุลหยิน-หยางและบรรเทาอาการ ผลการศึกษาพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน ช่วยหลั่งสารสื่อประสาทเช่น เอนดอร์ฟิน และ โดพามีน ซึ่งมีฤทธิ์ระงับปวดและลดความเครียด ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
แพทย์จีนมองว่าฝังเข็มช่วย "ปรับเปิดทางเดินลมปราณและกระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเลือด" ซึ่งสามารถ ยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายต่อสู้มะเร็งได้มีประสิทธิภาพขึ้น งานทดลองหนึ่งพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นการสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด B lymphocyte ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และการทำครอบแก้วก็เพิ่มระดับ immunoglobulin ในร่างกายได้เช่นกันครับ

✅โดยสรุป แนวคิดพื้นฐานของการแพทย์แผนจีนในการรักษามะเร็งคือการรักษาคนควบคู่ไปกับรักษาโรค กล่าวคือ ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้แข็งแรงสมดุล เพื่อให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการของแพทย์แผนปัจจุบันได้ผลดีที่สุด ลดการทำลายต่ออวัยวะปกติ และ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่ไปกับการยืดอายุ

เราลองมาดูวิจัยในต่างประเทศกัน🔬🌐

👉การรักษาแบบผสมผสานนี้หมายถึงอะไร หมอแมนขอจำกัดความอยู่ที่.. การรักษามะเร็งโดยการใช้เคมีบำบัดร่วมกับยาสมุนไพรจีนและการฝังเข็ม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิผลการรักษา ลดผลข้างเคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

🔬ความน่าเชื่อถือในแนวคิดการรักษาแบบผสมผสาน จากงานวิจัยทางคลินิกจำนวนมากจากประเทศจีนและแหล่งอื่น ๆ ระบุว่าการผสานการรักษาด้วยเคมีบำบัดเข้ากับยาสมุนไพรจีนและฝังเข็มสามารถช่วย ยกระดับประสิทธิผลการรักษามะเร็งระยะลุกลาม ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านการควบคุมโรค การอยู่รอด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ตัวอย่างผลการศึกษาที่สำคัญ ได้แก่

1.มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ระยะลุกลาม (Advanced Non-Small Cell Lung Cancer (NSCLC)): พบว่าการใช้ยาสมุนไพรจีนควบคู่กับการรักษามาตรฐานช่วยลดพิษและผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด เพิ่มคุณภาพชีวิตและยืดอายุผู้ป่วย ได้จริง นอกจากนี้ยังส่งผลให้การตอบสนองของก้อนมะเร็งดีขึ้น และคะแนนสมรรถนะตามมาตรฐาน Karnofsky สูงขึ้น เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างเดียว
งานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับรังสีร่วมกับสมุนไพรจีนมีอัตรารอด 5 ปีสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับสมุนไพรอย่างชัดเจน ผู้ป่วยที่รักษาผสมผสานสามารถมีชีวิตอยู่เฉลี่ย 31 เดือน เทียบกับ 16.5 เดือน ในกลุ่มที่ได้การรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มที่เสริมสมุนไพรกับกลุ่มที่เสริมเคมีบำบัด (ทั้งสองกลุ่มมีค่า HR ~0.5 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม)
ผลข้างเคียงบางอย่างเช่นอาการไอเรื้อรังหรือคลื่นไส้อาเจียนพบได้น้อยลงอย่างมากในกลุ่มที่ได้รับสมุนไพรจีนร่วมด้วย
🔗 https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6536969/

2. มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม: มีการทดลองแบบ Randomized Controlled Trial ในประเทศจีน (ใช้สูตรยาสมุนไพร Huangci Granule) แสดงให้เห็นว่าการเสริมสมุนไพรจีนกับเคมีบำบัดและยามุ่งเป้า (เช่น cetuximab หรือ bevacizumab) ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามมีช่วงเวลาปราศจากโรค (Progression-Free Survival, PFS) ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้ยาหลอก โดยในการรักษาแนวหน้า PFS เฉลี่ยเพิ่มจาก 6.89 เป็น 9.59 เดือน (P = 0.027) ส่วนในการรักษาเป็นเส้นที่สองเพิ่มจาก 4.53 เป็น 6.51 เดือน (P = 0.020) นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับสมุนไพรจีนยังมีคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ ดีขึ้น (เช่น ลดความเหนื่อยล้า มีความอยากอาหารดีขึ้น) และมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงระดับรุนแรง (Grade 3-4) ต่ำลงอย่างชัดเจน
🔗 https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2020.00478/full

3. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะท้าย: การศึกษาย้อนหลังในจีนซึ่งวิเคราะห์ผู้ป่วย 205 รายตลอดช่วงปี 2001–2018 พบว่าการเพิ่มสมุนไพรจีนกลุ่มเสริมม้ามบำรุงชี่ (เช่น ต้น Codonopsis pilosula, Atractylodes, Poria, เปลือกส้ม เป็นต้น) เข้าไปในการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาตรฐาน ส่งผลให้อายุขัยมัธยฐานของผู้ป่วยยาวนานขึ้นถึงประมาณ 21.3 เดือน เทียบกับ 10.8 เดือน ในกลุ่มที่ได้เฉพาะเคมีบำบัด (ความแตกต่างมีนัยสำคัญทางสถิติ, P = 0.001) โดยไม่มีผลข้างเคียงเพิ่มเติมจากสมุนไพร
ข้อสรุปคือสมุนไพรจีนสูตรเสริมม้ามบำรุงร่างกายร่วมกับเคมีบำบัด (เช่นสูตรยาที่มีหวงฉีหรือโสมเป็นหลัก) สามารถ เพิ่มอัตราการรอดชีวิตระยะยาว ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่เพิ่มความเป็นพิษในการรักษา
🔗 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8941405

4.มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม: การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากฐาน National Health Insurance Research Database ของไต้หวัน พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม (advanced breast cancer) ที่ได้รับการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเสริม (เช่น สมุนไพรจีน) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน มีอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง:
โดยกลุ่มที่ใช้แพทย์แผนจีนติดต่อกันระหว่าง 30–180 วัน มีความเสี่ยงเสียชีวิตลดลง (adjusted HR = 0.55)

และกลุ่มที่ใช้เกิน 180 วัน มีความเสี่ยงต่ำลงมากขึ้น (adjusted HR = 0.46)
สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึง ศักยภาพในการยืดอายุผู้ป่วย เมื่อผนวกการรักษาทางเลือกเข้าไปในการดูแลมาตรฐาน
🔗 https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24496917/

5.คุณภาพชีวิตและอาการข้างเคียง: นอกเหนือจากตัวชี้วัดด้านการรอดชีวิต การรักษาผสมผสานยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและลดความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษา ตัวอย่างเช่น การศึกษาแบบสุ่มที่ไต้หวันเปรียบเทียบผู้ป่วยที่ได้เคมีบำบัดอย่างเดียวกับผู้ที่ได้เคมีบำบัดควบคู่แพทย์แผนจีน พบว่าหลังการรักษา 8 สัปดาห์ กลุ่มเคมีบำบัดอย่างเดียวมีคะแนนคุณภาพชีวิตลดลงทุกด้าน (ร่างกาย จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม) อย่างมีนัยสำคัญ และยังตรวจพบภาวะพร่องพลังชีวิต (ชี่พร่อง) และหยินพร่องเพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ ขณะที่กลุ่มที่รักษาผสมผสานกลับมีคะแนนสุขภาวะทางกายดีขึ้น และไม่มีอัตราการเกิดภาวะชี่พร่อง/หยินพร่องเพิ่มขึ้นเลย โดยสอดคล้องกับงานวิจัยอื่น ๆ ที่ระบุว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบผสมผสานมีคุณภาพชีวิตดีกว่าและมีอาการกลุ่มอ่อนเพลียตามแบบแพทย์แผนจีน (เช่น อาการชี่พร่อง) น้อยกว่ากลุ่มที่รักษาเฉพาะทางตะวันตก
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ฐานข้อมูล (meta-analysis) ในจีนหลายฉบับยืนยันผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะในมะเร็งระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารที่พบว่าการใช้ยาสมุนไพรควบคู่เคมีบำบัดชนิด paclitaxel ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองของเนื้องอกประมาณ 1.4 เท่า เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต (KPS) อย่างมีนัยสำคัญ และลดความถี่ของผลข้างเคียงหลักๆ เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำ ไขกระดูกถูกกด คลื่นไส้อาเจียน อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเคมีบำบัดอย่างเดียว
🔗 https://clinmedjournals.org/articles/ijccr/international-journal-of-cancer-and-clinical-research-ijccr-6-118.php
🔗 https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2020.598886/full

😍สรุปคือภาพรวมหลักฐานเหล่านี้ชี้ว่า การรักษามะเร็งแบบผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนจีนสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรักษาแบบเดี่ยว ทั้งในด้านการควบคุมโรค การยืดอายุผู้ป่วย การเสริมคุณภาพชีวิต และการลดอาการไม่พึงประสงค์ ผู้ป่วยมักสามารถทนต่อการรักษาที่รุนแรง (เช่น คีโม) ได้ดีขึ้น ทำให้รักษาได้ครบตามแผน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อพยากรณ์โรคโดยรวมครับ

✍🏻 เราอยู่ในยุคที่สามารถหาข้อมูลทางด้านการรักษาได้ และสามารถเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดได้เช่นกันครับ
จากประสบการณ์ของหมอศาสตร์การแพทย์แผนจีน
มีประสิทธิภาพมากในการนำมาใช้รักษาแบบผสมผสานเพื่อทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาจากการให้คีโมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆครับ

#หมอแมนแพทย์จีน
#การรักษามะเร็งแบบผสมผสาน
#คีโมร่วมกับฝังเข็มยาจีน

27/07/2025

✍🏻สรุปภาพอินโฟรกราฟฟิก
ประกาศ คณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนจีน
เรื่อง การประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนจีน(หัตถการ)
📍* เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารประชาสัมพันธ์และเข้าใจใน เนื้อหาของประกาศ* https://web.hss.moph.go.th/mrd/8578-2/

19/07/2025

เสาร์อาทิตย์นี้เปิดทำการปกตินะครับ
เสาร์ คิวเช้า 8.30-11.00
คิวบ่าย 14.00-16.30
อาทิตย์ ครึ่งวัน 8.30-12.00

06/07/2025

สัปดาห์หน้า
🚫วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคมหยุด
✅วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม เปิดทำการเต็มวันครับ

https://www.facebook.com/share/p/1Aztvot1YP/?mibextid=wwXIfr
05/07/2025

https://www.facebook.com/share/p/1Aztvot1YP/?mibextid=wwXIfr

EP63**สัญญาณไตวายก่อนวัย ใครพร้อมยกมือขึ้น🥹

✅ 9 สัญญาณที่กำลังบอกว่า “ไตของคุณอาจเริ่มมีปัญหา”

1.ตื่นมาก็เหนื่อย เพลียทั้งวัน
🧠 อาจบ่งถึง “ชี่ไตพร่อง (肾气虚)” ในมุมจีน หรือการกรองเสียของไตเริ่มเสื่อม → ของเสียคั่งในเลือด ทำให้รู้สึกเพลียไม่สดชื่นแม้นอนเต็มที่

2.ปัสสาวะกลางคืนบ่อย (เกิน 2 ครั้ง/คืน)
🛌 ปกติร่างกายควรหลั่ง ADH (ฮอร์โมนยับยั้งการปัสสาวะ) มากเวลากลางคืน ถ้าไตเสื่อม ฮอร์โมนทำงานผิด สมดุลน้ำเสีย → ปัสสาวะบ่อย เป็นอาการของ “ไตหยางพร่อง (肾阳虚)” ทำให้พลังควบคุมกระเพาะปัสสาวะอ่อนแอ

3.ขาบวม ตาตุ่มบุ๋มตอนเย็น ๆ
💧 ไตทำหน้าที่ขับของเหลว → ถ้ากรองน้ำไม่ได้ดี จะเกิด “น้ำคั่ง” โดยเริ่มบวมจากปลายเท้าเป็นอาการที่มาจาก “水湿困脾” น้ำและความชื้นติดขัด มีพื้นฐานมากจากหยางอวัยวะไตและม้ามพร่อง

4.เบื่ออาหาร คลื่นไส้แต่ไม่รู้สาเหตุ
🧬 เมื่อไตเสื่อม ของเสีย (ยูเรีย ฯลฯ) คั่งในเลือด → ส่งผลต่อระบบย่อย “ชี่ไตไม่ส่งเสริมม้าม” ทำให้ระบบย่อย (脾胃) อ่อนแรงตาม

5.คันผิวเรื้อรัง ตรวจเลือดก็ปกติ
🩸 เป็นอาการจาก “สารพิษคั่งเรื้อรังในเลือด” แม้ค่าการทำงานของไตจะยังไม่ตก แพทย์จีนมองว่าเลือดไม่ชุ่ม ผิวแห้ง และ “ลมเลือดคั่ง (血风)” ก่อคันเรื้อรัง

6.ผิวแห้ง สีคล้ำ มีจุดดำรอบตา
🌚 ไตควบคุมผิวหนังส่วนลึก (深层滋养) และ “เปิดทวารที่ใบหน้า” → ผิวดำคล้ำ บริเวณรอบตาเป็นจุดดำ เป็นอาการแสดงของ “肾虚精亏” (สารจิงพร่อง ไตพร่องเรื้อรัง

7. ปัสสาวะมีฟอง หรือมีกลิ่นแรง
💦 ฟองในปัสสาวะ = โปรตีนรั่วจากไต
กลิ่นแรง = ของเสียไนโตรเจนคั่ง
แพทย์จีนสอดคล้องกับ“湿热下注” (ชื้นร้อนลงล่าง) หรือ “肾失固摄” (ไตควบไม่อยู่)

8.ความดันสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
💣 ความดันมักขึ้นจากการคั่งเกลือ–น้ำ → ไตเป็นอวัยวะควบคุมความดันโดยตรง
แพทย์จีนมองว่า “肾虚不能纳气” → พลังไตอ่อน → เส้นลมปราณตึงขึ้นดันหัวใจ

9.เคยใช้ยาแก้ปวดหรือสมุนไพรแรง ๆ ต่อเนื่องนาน
💊 พวก NSAIDs, สมุนไพรขับปัสสาวะแรง ๆ → ทำลายไตโดยตรง
แพทย์จีนมองว่าถือเป็น “ยาร้อน–ยาขม–บั่นทอนไต” → ทำให้สารจิงพร่องและชี่อ่อนแอ

📍แล้วถ้ามีความเสี่ยงแล้วต้องตรวจไต ต้องทำอย่างไร?

🧪 ค่าตรวจไต…ดูจากอะไรบ้าง? แล้วแค่ไหนถึงเรียกว่า “ผิดปกติ”?
1. ครีเอตินิน (Creatinine)
เป็นของเสียที่ไตต้องกรองออกจากเลือด ยิ่งค่าสูง ยิ่งแปลว่าไตทำงานหนัก
– ถ้าเป็นผู้ชาย ปกติควรอยู่ราว 0.7 ถึง 1.3 mg/dL
– ถ้าเป็นผู้หญิง ควรอยู่ประมาณ 0.6 ถึง 1.1 mg/dL
ถ้าเกินจากนี้ ไตอาจเริ่มมีปัญหาแล้ว

2. ค่า eGFR (Estimated GFR)
เป็นค่าที่คำนวณจากครีเอตินินร่วมกับอายุ เพศ และเชื้อชาติ
ยิ่ง eGFR ต่ำ ยิ่งแสดงว่าไตกรองของเสียได้น้อย
– ถ้าอยู่ มากกว่า 90 ถือว่าปกติ
– ถ้าเหลือ ต่ำกว่า 60 ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน ถือว่า “ไตเสื่อม”
– ถ้าต่ำกว่า 15 อาจต้องเข้าสู่กระบวนการฟอกไต

3. BUN (Blood Urea Nitrogen)
เป็นตัวบอกของเสียจากการย่อยโปรตีน ถ้าสูง แปลว่าไตขับยูเรียได้น้อย
– ค่าปกติจะอยู่แถว ๆ 7 ถึง 20 mg/dL
– ถ้าเกิน 20 โดยเฉพาะถ้าร่วมกับครีเอตินินสูง อาจบ่งชี้ไตทำงานผิดปกติ

4. ตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)
ใช้ดูหลายอย่างเลย เช่น
– ถ้ามี โปรตีนในปัสสาวะ แม้เพียงเล็กน้อย (เช่น trace, +) ก็อาจเริ่มมีภาวะไตรั่ว
– ถ้ามีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะแปลว่าอาจมีการอักเสบในไต
– ถ้าปัสสาวะมีกลิ่นแรง มีฟองมาก หรือลักษณะขุ่น ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าไตไม่สมดุล

5. ความดันโลหิต
ความดันสูงสามารถทำลายเส้นเลือดฝอยในไตได้โดยตรง
– ถ้าเกิน 140/90 mmHg และเป็นบ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อไตเสื่อมแบบไม่รู้ตัว การควบคุมความดันจึงสำคัญมากต่อการป้องกันโรคไต

😭ส่วนพฤติกรรมแบบนี้…ระวัง “ไตวายไม่รู้ตัว”นะครับ!

ลองเช็กดูว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้หรือเปล่า?

1.กินเค็มเป็นนิสัย

อาหารรสจัด น้ำปลาตักไม่ยั้ง ซุปก้อน–ผงปรุงรสทุกมื้อ
➡️ โซเดียมสะสมทำให้ความดันสูง ไตต้องกรองเกลือเยอะขึ้น เสี่ยงไตพัง
📍 แพทย์จีนถือว่า “เกลือรสเค็มเป็นธาตุน้ำ” ถ้ากินมากเกิน ทำร้ายไตโดยตรง

2.ดื่มน้ำน้อย

วัน ๆ ดื่มแต่น้ำหวาน กาแฟ ชา แต่ลืมน้ำเปล่า
➡️ ปัสสาวะข้น ไตต้องทำงานหนัก ของเสียตกค้างง่าย
📍 ตามหลักจีน “น้ำคือหยิน” ดื่มน้ำน้อย = หยินพร่อง
ไตหยินพร่อง = เสื่อมเร็ว

3.ใช้ยาแก้ปวดบ่อยโดยไม่จำเป็น

ทั้งยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ไมเกรน หรือพาราต่าง ๆ
➡️ กลุ่ม NSAIDs ทำลายหลอดเลือดฝอยในไตโดยตรง
📍 ยาร้อนทำร้าย “สารจิงของไต” ตามแพทย์จีน

4.สมุนไพรบางชนิดที่กินต่อเนื่องโดยไม่มีคำแนะนำ

เช่น สมุนไพรขับปัสสาวะ ขับลม หรือยาลูกกลอนแรง ๆ
➡️ มีรายงานว่าทำให้เกิด “พิษต่อไต” โดยเฉพาะแบบแอบแฝง
📍 ยาขมจัด–เย็นจัด ทำลายพลังหยางของไตได้เช่นกัน

5.ดื่มแอลกอฮอล์หนักเป็นประจำ

➡️ ตับและไตต้องรับภาระขับพิษพร้อมกัน
ไตเสียไปเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว
📍 จีนมองว่า “สุราร้อน ไฟเข้าไต” ทำให้เกิดภาวะ “ไตร้อน–หยางพร่องตาม”

6.พักผ่อนไม่พอ นอนดึกเรื้อรัง

➡️ ไตเป็นอวัยวะที่ชอบ “การพัก” เพราะเกี่ยวข้องกับสารจิง (พลังชีวิตดั้งเดิม)
📍 ถ้านอนดึก–ทำงานหักโหมมาก ๆ จะทำให้ “ไตพร่องก่อนวัย”

7.ไม่เคยตรวจสุขภาพเลย

➡️ ไตเสื่อมระยะแรกมักไม่มีอาการ
กว่าจะรู้ ก็อาจเข้าสู่ระยะ “ไตวายเรื้อรัง” ไปแล้ว

🌐โรคไตไม่ไกลตัวแล้วนะครับ ปัจจัยการใช้ชีวิตประจำวันถือว่าเป็นความเสี่ยงมาก และเมื่อเป็นโรคไตแล้วจะย้อนกลับมาเพื่อให้แข็งแรงเหมือนเดิมเป็นไปได้ยากมากครับ

หมอแมนอยากให้ทุกคน รีบดูแลตัวเองตั้งแต่ต้นก่อนที่จะสายเกินไป อย่าให้ถึงต้องฟอกไตเลยนะครับ❤️

#สัญญาณโรคไต
#โรคไตใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
#หมอแมนแพทย์จีน

https://www.facebook.com/share/1DHHqd8FLk/?mibextid=wwXIfr
10/06/2025

https://www.facebook.com/share/1DHHqd8FLk/?mibextid=wwXIfr

🧬 EP55**สัญญาณร่างกายย้อนวัย❤️
ย้อนวัยไม่ใช่แค่ดูเด็ก…แต่ร่างกายต้องตอบกลับแบบนี้!

“หมอแมนคะ…หมอว่าพี่ดูเด็กลงมั้ย?”
คำถามจากคนไข้ประจำที่เพิ่งเริ่มฝังเข็ม+กินอาหารตามธาตุมาได้ 2 เดือน 🥹

😂หมอเองก็หัวเราะแล้วตอบไปว่า…
“ผิวดูใสขึ้น ผมหยุดร่วงแล้ว แต่ที่หมออยากให้ดูยิ่งกว่านั้น…คือ สัญญาณที่ร่างกายส่งกลับ เวลามันเริ่มฟื้นจริง ๆ”

🍀สำหรับหลายคนเข้าใจว่า ดูอ่อนเยาว์ = ต้องฉีด ต้องทา ต้องเติมสารอะไรเข้าไป
แต่ความจริงแล้ว…การย้อนวัยที่แท้จริง มันเริ่มที่ “ร่างกายเริ่มซ่อมตัวเองได้”
วันนี้หมอเองจะมาบอกวิธีการสังเกตตัวเองว่าการดูแลสุขภาพของเรามาถูกทางแล้วหรือยัง
📍และนี่คือ 10 สัญญาณที่หมอแมนอยากให้ทุกคนสังเกต

☯️🍀☯️

🌿 10 สัญญาณ…ร่างกายคุณกำลังย้อนวัยอย่างแท้จริง

1. หลับลึก ตื่นแล้วสดชื่น😴

ถ้าก่อนหน้านี้ตาค้าง ตื่นง่าย ฝันเยอะ แล้วตอนนี้กลับหลับง่าย ตื่นมาสดใส
นั่นแปลว่า หัวใจสงบ เสินมั่นคง แล้วล่ะ

2. ใจนิ่งขึ้น เครียดน้อยลง❤️

ไม่ใช่ว่าโลกใจดีขึ้น…แต่ พลังตับไม่ติดขัด จึงทำให้คุณใจเย็นลงโดยไม่ต้องพยายาม

3. ผิวใส ผมร่วงน้อย 🥰

ไตเริ่มฟื้น เลือดเริ่มเดิน…รากผมเริ่มยึด
ไม่ต้องแค่ดู “หน้าเด็ก” เพราะผมไม่บางต่างหากที่ดูเด็กจริง!

4. ขับถ่ายดี อุจจาระสวย 💩

คนที่ “ถ่ายสวย” = ม้ามทำงานดี
ไม่มีชื้นสะสมในลำไส้ = ไม่มีของเสียตกค้างก่อโรคในอนาคต

5. หายใจโล่งขึ้น 🫁

จมูกไม่ตันง่าย ไม่คัดจมูกตอนฝนตก
แสดงว่า ปอด–ไตทำงานดี และเวยชี่ (ภูมิ) กลับมา

6. มือเท้าอุ่น 👋🦶

ถ้าเคยเย็นเฉียบแล้วตอนนี้เริ่มอุ่น
ไม่ใช่แค่เลือดไหลเวียนดี แต่หมายถึง “หยางชี่เริ่มคืน”

7. ไม่หิวบ่อย แต่พลังเต็ม 💪

แปลว่า กินแล้วใช้พลังได้จริง ม้ามย่อยเก่ง ดูดซึมดี ไม่ต้องกินเยอะ

8. สมองปลอดโปร่ง ตาใส 👀🧠

ชี่พุ่งถึงสมอง ตับหล่อเลี้ยงดวงตา
อาการเบลอ สมาธิสั้น เริ่มหาย

9. ฟื้นตัวเร็วหลังออกกำลัง 🥱

เคยเมื่อยเป็นวัน ๆ ตอนนี้ล้าแล้วฟื้นไว
แปลว่าเลือดเดินดี ไม่มี “พลังตกค้าง” เหมือนเมื่อก่อน

10. ผลเลือดดีขึ้น 🩸

LDL ลด น้ำตาลดีขึ้น ภูมิสูง
สัญญาณจากภายในที่ยืนยันว่า “ร่างกายคุณตอบสนองต่อการดูแล”

☯️❤️❤️

💬 หมอแมนอยากให้ทุกคนเลิกดูแค่ “หน้ากระจก”
เพราะบางครั้งที่คุณยังไม่เห็นริ้วรอย แต่ภายในอาจจะโทรมกว่าที่คิด

แต่ถ้าร่างกายตอบกลับมาด้วย 10 สัญญาณนี้
นั่นแปลว่า…คุณกำลังย้อนวัยอย่างแท้จริงครับ

📚☯️📚

🧡 อย่าลืมนะครับ…การย้อนวัย ไม่ได้เริ่มที่การ “เพิ่ม” อะไร
แต่เริ่มที่การ “ฟื้น” พลังที่มีอยู่แล้ว ให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง 🌿

#หมอแมนแพทย์จีน
#ชะลอวัยจากภายใน
#ย้อนวัยแบบแพทย์จีน
#ฟื้นหยางชี่ฟื้นพลังชีวิต
#หมอจีนเล่าเรื่องง่ายๆ

อารมณ์ฆ่าคนได้นะครับhttps://www.facebook.com/share/1Bj2nysbTB/?mibextid=wwXIfr
08/06/2025

อารมณ์ฆ่าคนได้นะครับ

https://www.facebook.com/share/1Bj2nysbTB/?mibextid=wwXIfr

EP53**พระนางหรูอี้ผู้โศกเศร้าสู่โรคปอดเรื้อรัง
จงจำไว้ว่า“ผู้ชายห่วย ๆ ไม่ควรได้พื้นที่ใน ‘ปอด’ ของเรา”

🪷 พระนางหรูอี้: ความเศร้าที่ฝังอยู่ในปอด และลำไส้ที่ไม่มีใครรู้ว่าเจ็บ

สวัสดีครับfcที่รักทุกท่าน 🙏
หมอแมนเองครับ วันนี้หมอขอมาแบบมีอินเนอร์หน่อย เพราะเป็นตอนพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจมาจากซีรีส์จีนในตำนานที่ดูแล้วน้ำตาซึมหลายรอบ — หรูอี้จ้วน หรือชื่อไทยที่หลายคนเรียกกันว่า จอมนางเคียงบัลลังก์

หมอขอสารภาพตรงนี้เลยว่า…หมอเป็นแฟนตัวยงของพระนางหรูอี้ครับ
👸ไม่ใช่แค่เพราะนางสง่างามเฉียบขาด หรือเพราะฝ่าบาท (ที่หล่อแต่ใจร้าย) แต่เพราะเรื่องนี้ตีแผ่ “บาดแผลที่มองไม่เห็น” ได้อย่างลึกซึ้งเหลือเกิน

หลายคนอาจจะบอกว่า “เธอก็อยู่สุขสบายดีในวังนี่นา”
แต่หมอกลับมองว่า…สุขที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย ไม่กล้าหายใจเต็มปอด มันไม่ใช่สุขที่แท้จริง

และด้วยอินเนอร์ของหมอที่ดูเรื่องนี้มาเกือบ 3 รอบ (แล้วก็ยังร้องไห้🥹อยู่ดี )
หมอเลยอยากชวนทุกคนมาส่อง “ร่างกายของหรูอี้” ผ่านสายตาของหมอจีน☯️ ว่าความเงียบ ความกล้ำกลืน และความเศร้านั้น มันซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง…

🛕ในวังหลวงที่เสียงเบาดังที่สุดในโลก…
พระนางหรูอี้ไม่ได้ตายเพราะยาพิษ หรือการโดนกลั่นแกล้ง
แต่ตายจาก “ความเงียบ”
เธอเงียบเกินไป…จนแม้แต่ปอดก็ไม่กล้าหายใจเต็มที่

ในมุมของหมอ ถ้าเราส่องเข้าไปดูร่างกายของพระนาง
เราจะพบว่าความเศร้าที่เธอแบกไว้ ไม่ได้เกาะอยู่แค่ในใจ
แต่มันซ่อนอยู่ใน “ปอด” และลึกไปถึง “ลำไส้ใหญ่”

พระนางไม่ได้สิ้นพระชนม์จากโรคร้ายแรงทันที แต่ทรง “สิ้นพระชนม์อย่างเงียบ ๆ” เมื่ออายุประมาณ 47 ปี

ปีที่ 13 แห่งรัชกาลเฉียนหลง (ค.ศ. 1748) พระนางทรงถูกปลดจากฐานะฮองเฮา
และปีที่ 20 ของรัชกาล (ค.ศ. 1755) จึงสิ้นพระชนม์

📖 《清史稿》 บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายว่า
“后既废,居永寿宫,病终,年四十七岁。”
(หลังจากถูกปลด ดำรงอยู่ในตำหนักหยงโซ่ว และสิ้นพระชนม์ด้วยอาการเจ็บป่วย อายุ 47 ปี)

☯️🍀☯️

🫁 ปอดคือที่อยู่ของความเศร้า

ในศาสตร์แพทย์จีน เราเข้าใจมานานว่า
ปอดเป็นอวัยวะที่เก็บพลังแห่งความเศร้า

📖 《灵枢·本神》 บอกไว้ว่า “ปอดเก็บ魄 (พลังชีวิตด้านร่างกาย) และควบคุมอารมณ์โศกเศร้า”
📖 《素问》 ว่า “悲伤者,气消也” — ความเศร้าทำให้พลังชีวิตหดหาย
📖 《黄帝内经》 ย้ำชัดว่า “肺与大肠相表里” — ปอดและลำไส้ใหญ่สัมพันธ์กันโดยตรง

ถ้าปอดหดตัวเพราะความเศร้า… ลำไส้ใหญ่ก็เคลื่อนไหวไม่ดี
ขับถ่ายไม่ได้… ทั้งของเสียในกาย และของเสียในใจ

💩 ลำไส้คือทางออกของความรู้สึก

ในศาสตร์แพทย์จีน ลำไส้ใหญ่ไม่ใช่แค่อวัยวะขับถ่าย
แต่มันคือ “ประตูระบาย” ของทั้งร่างกายและจิตใจ

📖 《黄帝内经》 ว่า “肺与大肠相表里” — ปอดกับลำไส้ใหญ่สัมพันธ์กันโดยตรง
📖 ปอดหดเพราะเศร้า → ลำไส้ก็หยุดเคลื่อนไหว
📖 ใจไม่ปล่อยวาง → ของเสียในกายก็ปล่อยไม่ออก

ถ้าลำไส้ไม่ขับถ่าย…
มันอาจไม่ใช่แค่ปัญหาระบบย่อย
แต่มันคือ “ความรู้สึกที่ยังไม่ได้ระบาย” นั่นเอง

🍀☯️🍀

🌿 แล้ววิทยาศาสตร์ก็มายืนยัน… (ขยายความเชิงลึก)

📍 1. ปอดคือแหล่งผลิตเกล็ดเลือดหลักของร่างกาย

(Lefrançais et al., Nature, 2017)

🔬 การทดลองในหนูทดลองโดยใช้เทคนิค imaging แบบ in vivo
พบว่า มากกว่า 50% ของเกล็ดเลือดทั้งหมดในร่างกายถูกผลิตที่ “ปอด” ไม่ใช่ไขกระดูกเพียงอย่างเดียว

และปอดยังมี “hematopoietic progenitor cells” — เซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด — แทรกอยู่ในผนังหลอดเลือดฝอยบริเวณถุงลม

📌 นี่เปลี่ยนความเข้าใจเดิมของชีววิทยาทางการแพทย์โดยสิ้นเชิง
จากเดิมที่เราเคยเชื่อว่าเกล็ดเลือดเกิดเฉพาะในไขกระดูกเท่านั้น
กลายเป็นว่า “ระบบทางเดินหายใจ” ก็มีบทบาทในระบบเลือด–ภูมิคุ้มกันด้วย!

🍀☯️🍀

📍 2. ลำไส้คือแหล่งผลิตเซโรโทนินหลักของร่างกาย

(Sapienza Università di Roma, 2024)

🧠 เซโรโทนิน (Serotonin) หรือ 5-HT เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ
อารมณ์ ความสุข การนอน การย่อย และระบบภูมิคุ้มกัน

🧪 แต่งานวิจัยระบุว่า กว่า 90% ของเซโรโทนินในร่างกายไม่ได้ถูกสร้างที่สมอง
แต่ถูกผลิตโดย เซลล์ Enterochromaffin (EC cells) ในผนังลำไส้เล็ก

เซโรโทนินเหล่านี้จะถูก “จับเก็บ” โดยเกล็ดเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดฝอยบริเวณผนังลำไส้ → ส่งเข้าสู่กระแสเลือด

🍀☯️🍀

🔄 แล้วเกล็ดเลือดพาเซโรโทนินไป “กระตุ้นสมอง” ได้อย่างไร?

🧬 แม้เซโรโทนินในเลือดจะ “ไม่สามารถข้ามกำแพงเลือดสมอง (BBB)” ได้โดยตรง
แต่เกล็ดเลือดอาจมีบทบาท ในการส่ง “สัญญาณทางชีวเคมี” (neurohumoral signals)
เช่น การปล่อยสารที่ไปกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve)
หรือกระตุ้น astrocytes ในสมองให้ผลิตเซโรโทนินของตัวเองเพิ่มขึ้น

📌 กล่าวคือ: เซโรโทนินที่ผลิตในลำไส้ → ถูกเก็บโดยเกล็ดเลือด → ส่งสัญญาณไปสมองทางอ้อม
แม้ไม่ข้าม BBB ตรง ๆ แต่ “มีผลต่อสมองแน่นอน”

📚☯️📚

🧠 สรุปกลไกแบบ Step-by-Step:
1. ลำไส้ผลิตเซโรโทนิน → ผ่าน EC cells
2. เกล็ดเลือดจากปอด → ไหลเวียนในหลอดเลือดลำไส้ → จับเก็บเซโรโทนิน
3. เกล็ดเลือดเดินทางทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณสมอง
4. เกล็ดเลือดปล่อยสารกระตุ้น → ระบบประสาทรับรู้ → สมองตอบสนอง → ปรับอารมณ์
5. ถ้าปอดอ่อนแอ → เกล็ดเลือดลด → วงจรการปรับอารมณ์เสียสมดุล

🔬📚🔬

📌 การมองปอด–ลำไส้–สมอง เป็น “สามเหลี่ยมชีววิทยา–อารมณ์”
จึงสอดคล้องอย่างเหลือเชื่อกับแพทย์จีนที่บอกว่า “肺与大肠相表里” (ปอดกับลำไส้ใหญ่สัมพันธ์กันภายใน–ภายนอก)
และความเศร้าทำให้ “气消” = ปอดหด → ระบบการเคลื่อนไหวภายในหยุดลง

❤️🥹❤️

🔁 แล้วถ้าปอดอ่อนแอเพราะเศร้า?

→ สร้างเกล็ดเลือดได้น้อย
→ เซโรโทนินเดินทางไม่ถึงสมอง
→ สมองซึม อารมณ์เศร้าเรื้อรัง
→ วนลูปเป็น “วงจรเศร้า” ที่ทั้งใจ สมอง และลำไส้ ถูกขังอยู่ด้วยกัน

ในทางแพทย์จีน นี่คือภาวะที่เรียกว่า:
肺气虚合大肠失宣 — ปอดพร่อง ลำไส้หยุดเคลื่อนไหว
อาการที่ตามมา: แน่นอก อ่อนแรง ขับถ่ายไม่ดี ใจหม่นโดยไม่รู้ตัว

👸☯️👸

🪞 พระนางหรูอี้…ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์

เธออาจเป็นตัวแทนของใครหลายคนในวันนี้
ที่ “เงียบไว้” มากเกินไป
เงียบจนไม่มีแรงหายใจ
เงียบจน “เกล็ดเลือดไม่กล้าขนความสุขไปถึงสมอง”

🥸☯️🥸

🎯 หมอแมนแพทย์จีนขอฝากไว้ว่า…

ปอดกับลำไส้…ไม่ได้เชื่อมกันแค่ทางกายภาพ
แต่เป็นอวัยวะที่ทำงานร่วมกันเพื่อ “ระบายความรู้สึก”

ถ้าปอดหด — ลำไส้จะนิ่ง — ใจจะอั้น
และคุณจะเหนื่อยแบบที่ไม่มีใครเห็นจากข้างนอก

หมออยากให้คุณหายใจให้เต็มอีกครั้ง
กล้าพูดในสิ่งที่เคยกลืน
กล้าระบายผ่านทั้งลมหายใจ… และการปล่อยของเสียจากภายใน

🥹อย่าเศร้าอย่างหรูอี้
แต่ขอให้คุณ “หายใจให้ลึก–ปล่อยวางให้เป็น–เริ่มใหม่อย่างเบาสบาย”

🙏🙏ขอบคุณอาจารย์ดลเพจอนาโตมี่มีกรี๊ดด้วยครับที่แนะนำงานวิจัยดีดีให้นำมาเชื่อมโยงกับบทความนี้

#ซึมเศร้า
#หมอแมนแพทย์จีน
#โรคปอด

https://www.facebook.com/share/p/1Bk8BSsxMu/?mibextid=wwXIfr
31/05/2025

https://www.facebook.com/share/p/1Bk8BSsxMu/?mibextid=wwXIfr

EP47**แพทย์แผนจีนศาสตร์การรักษาที่ทั่วโลกยอมรับ☯️
🤔ทุกคนสงสัยไหมครับว่าทำไมแพทย์แผนจีนถึงมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานจากอดีตถึงปัจจุบันมีทั้งความน่าเชื่อถือและยังได้รับการยอมรับระดับโลกไปอีก
จริงๆแล้วมีความลับและสาเหตุนะครับ ที่ทำไมแพทย์แผนจีนสามารถเจริญขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างมั่นคงแบบในทุกวันนี้🔬

แล้ววันนี้หมอแมนจะเล่าให้ฟัง❤️

📖 จุดเริ่มต้นของศาสตร์ที่ยืนหยัดข้ามพันปี

ย้อนกลับไปกว่า 5,000 ปี
เมื่อมนุษย์ยังไม่มีเครื่องมือผ่าตัด ไม่มีแล็บ ไม่มีภาพสแกนสมอง
บรรพบุรุษชาวจีนเริ่มสังเกตโลกด้วยหัวใจของนักปราชญ์และวิญญาณของนักทดลอง

พวกเขาสังเกตว่า
🌿 สมุนไพรบางชนิดกินแล้วร้อน บางชนิดกินแล้วเย็น
🌗 ร่างกายตอบสนองต่างกันในเวลากลางวันกับกลางคืน
🌬 ความร้อน ความเย็น ลม ฝน ความชื้น…ล้วนส่งผลต่อร่างกาย

จึงเกิดการสั่งสมองค์ความรู้ที่เรียกว่า
“เต้า” ของธรรมชาติ และ “ชี่” ของชีวิต
นำไปสู่การพัฒนาแนวคิด “หยิน–หยาง” และ “ธาตุทั้งห้า”
ซึ่งกลายเป็นรากฐานของศาสตร์แพทย์แผนจีนมาจนถึงปัจจุบัน

🧭 ไทม์ไลน์สำคัญของศาสตร์แพทย์แผนจีน

📌 4,000 ปีก่อน (ยุคราชวงศ์เซี่ย – 商朝):
เริ่มมีการใช้สมุนไพรพื้นบ้าน ฝังเข็มแบบดั้งเดิม การห้ามเลือด และการดูชีพจรอย่างคร่าว ๆ

📌 3,000 ปีก่อน (ราชวงศ์โจว):
มีการแยกบทบาทแพทย์แต่ละด้าน เช่น แพทย์ฝังเข็ม แพทย์สมุนไพร แพทย์ตรวจชีพจร

📌 ประมาณ 2,300–2,500 ปีก่อน:
🟠 คัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง (黃帝內經) ถูกเรียบเรียงขึ้น
เป็นตำราแพทย์ฉบับแรกที่รวมทั้งศาสตร์การวินิจฉัย การรักษา และปรัชญาธรรมชาติ

📌 ยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907):
🟢 จัดตั้ง “ไท่หมอหย่วน (太醫院)” หรือ “โรงหมอจักรพรรดิ”
ถือเป็นสถาบันการศึกษาด้านแพทย์แผนจีนแห่งแรกของโลก

📌 ยุคราชวงศ์หมิง–ชิง:
🔵 การจัดทำตำราใหม่ ๆ เช่น 本草綱目 (เปิ่นเฉ่ากังมู่) โดยหลี่ซือเจิน ที่รวมสมุนไพรกว่า 1,800 ชนิด
กลายเป็นมรดกทางเภสัชศาสตร์ของโลก

📌 ศตวรรษที่ 20:
🔶 ประเทศจีนเริ่มจัดตั้งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนอย่างเป็นระบบ
🔶 แพทย์แผนจีนได้รับการบรรจุในระบบสาธารณสุขระดับชาติ
🔶 เกิดการรวมศาสตร์โบราณเข้ากับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

📌 ศตวรรษที่ 21:
🔴 แพทย์แผนจีนถูกบรรจุใน WHO
🔴 มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนกว่า 40 แห่ง
🔴 ศูนย์วิจัยและบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติสนับสนุนแนวคิด TCM Integration
🔴 เกิดเครือข่ายความร่วมมือ TCM ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

🍀☯️🍀

🏯 จากประวัติศาสตร์สู่การยอมรับระดับโลก

ศาสตร์แพทย์แผนจีน…ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้เพราะโชคช่วย

เคยสงสัยไหมครับว่า…
ทำไมศาสตร์แพทย์แผนจีนที่มีอายุกว่าพันปี ถึงยังยืนหยัดอยู่ในระบบสุขภาพโลกได้จนถึงทุกวันนี้?

คำตอบไม่ใช่แค่เพราะตำราดี หรือรักษาได้ผลนะครับ
แต่ เบื้องหลังคือกองทัพนักวิชาการระดับขุนพล ที่ค้ำยันทั้งระบบ

🍀☯️🍀

🎓 ราชบัณฑิตแพทย์แผนจีน院士: ไม่ใช่แค่นักวิจัย แต่คือผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมแพทย์จีน

ในประเทศจีน “ราชบัณฑิตด้านแพทย์แผนจีน” คือผู้ที่ได้รับการยอมรับระดับสูงสุดของวงการ
พวกเขาคือผู้ที่แบกทั้งมรดกของชาติ และอนาคตของวิชาชีพแพทย์จีนไว้บนบ่า

หลายคนอาจไม่รู้ว่า งานของราชบัณฑิตเหล่านี้ไม่ใช่แค่การสอนหรือทำวิจัยเท่านั้น
แต่ยังมีหน้าที่
👉วางระบบการศึกษาของแพทย์แผนจีนให้ได้มาตรฐานสากล
👉ตรวจสอบคุณภาพงานวิจัยเชิงลึก
👉ผลักดันงานตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ
👉คิดค้นองค์ความรู้ใหม่โดยไม่ทิ้งรากเหง้าเดิมของตำรา

🍀☯️🍀

🧠 ศาสตราจารย์แพทย์แผนจีน教授: วิศวกรผู้เป็นเบื้องหลังของระบบแพทย์แผนจีนสมัยใหม่

ทุกวันนี้ เวลาเราเห็นงานวิจัยแพทย์จีนที่พูดถึงผลของสมุนไพรกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือบทความที่เทียบกลไกการฝังเข็มกับสมองระดับ Functional MRI
เบื้องหลังล้วนมี “ศาสตราจารย์แพทย์แผนจีน” ที่ทำงานอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้โลกเข้าใจว่าแพทย์จีนก็มีตรรกะและหลักฐานรองรับ

พวกเขาทำงานเคียงข้างกับนักวิทยาศาสตร์ตะวันตก
เพื่อเชื่อมโยง “หยิน–หยาง” กับ “homeostasis”
เพื่อยืนยันว่า “ชี–ลมปราณ” ก็ส่งผลต่อสมองผ่าน ระบบประสาทอัตโนมัติ และอีกหลายทฤษฎีในศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่ตะวันตกยังหาคำตอบไม่ได้อีกด้วย

🍀☯️🍀

🌍 เพราะศาสตร์ที่อยู่รอดได้…ต้องไม่ใช่แค่ “เชื่อ” แต่ต้อง “พิสูจน์ได้”

ดังนั้นทุกวันนี้ แพทย์แผนจีนไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เริ่มกลายเป็น “องค์ความรู้คู่ขนาน” ที่เสริมการรักษาแบบบูรณาการในหลายประเทศ โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในจีนมีการทำวิจัยแบบ RCT แพทย์แผนจีนร่วมวางแนวทางรักษาผู้ป่วยโควิด ไขกระดูกเสื่อม อัมพฤกษ์ ไปจนถึงภาวะซึมเศร้า

และทั้งหมดนี้…ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย
แต่มาจากการที่ระบบการศึกษาแพทย์แผนจีนมี “เสาหลัก” ที่ทรงคุณค่า

🍀☯️🍀

✨ วันนี้เราจึงไม่ใช่แค่ “แพทย์นักรักษา”
แต่คือนักวิจัยและผู้สืบต่อองค์ความรู้ที่มี ทั้งหัวใจของการแพทย์ที่มีประวัติศาสตร์กว่า 5000 ปี

ที่ทำให้ศาสตร์แพทย์จีนนี้…จึงยืนหยัดได้ทั้งในตำราและในวารสารระดับโลกแบบในปัจจุบัน 🌏

https://www.facebook.com/share/p/16C6299GgN/?mibextid=wwXIfr
21/05/2025

https://www.facebook.com/share/p/16C6299GgN/?mibextid=wwXIfr

EP44**เมนูหน้าใสสู้ฝน🥰☔️
“เมนูเพื่อผิวหน้าสวยสดใสในหน้าฝน”
สดชื่น เป็นตัวเองได้…แม้ในวันที่ชื้น เหนอะ หนัก!

สวัสดีหน้าฝน…☔️☔️
หมอแมนต้อนรับลูกเพจเข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการครับ
ช่วงนี้หลายคนบ่นว่าฝนตกทั้งวันรู้สึกชื้น🌧️

“หน้ามัน สิวขึ้น ผิวหมอง ตัวบวม”

🥰หมอขอแอบกระซิบว่า…มันไม่ใช่เพราะฝนตกอย่างเดียวหรอกนะครับ แต่เพราะ “ความชื้นสะสมในร่างกาย” ต่างหาก

ในหน้าฝนความชื้นเยอะ⚡️🌧️
👉ในมุมแพทย์จีน เราเรียกมันว่า 湿气 (ซือชี่)
ซึ่งทำให้…
🥲สิวเห่อ ผิวมันเยิ้ม
😒หน้าไม่สดใส ล้าแบบจับต้องได้
😞ตัวบวม หนัก ไม่อยากขยับ

วันนี้หมอเลยนำเมนูลับดีดีมาเล่าให้ฟัง…
แค่ “กินให้ถูกวิธีสอดคล้องกับฤดูฝน”
ก็ช่วยขับชื้น บำรุงผิวให้สวยใสได้ง่าย ๆ ในหน้าฝนนี้เลยครับ

1️⃣ข้าวต้มฟักเขียว – ลูกเดือย – พุทราแดง

ฟื้นม้าม ขับชื้น ลดบวม
🍲❄️🍃

วัตถุดิบ
• ฟักเขียวหั่นเต๋า 1 ถ้วย
• ลูกเดือย 2 ช้อนโต๊ะ (แช่น้ำไว้ล่วงหน้า)
• พุทราแดง 4–5 ผล
• ข้าวกล้อง/ข้าวหอมมะลิ ½ ถ้วย
• น้ำเปล่า 1.5 ลิตร

วิธีทำ
1. แช่ลูกเดือย 2–3 ชม.
2. ต้มน้ำ ใส่ลูกเดือยกับข้าว
3. พอข้าวเริ่มบาน ใส่ฟักกับพุทราแดง
4. เคี่ยวไฟอ่อน 30–40 นาที
5. เติมเกลือหิมาลัยนิดเดียวก็พอ

😍หมอแมนกระซิบ: กินอุ่น ๆ ตอนเช้า ช่วยให้ม้ามสดใส ตัวเบา ผิวก็สดใสตาม

2️⃣น้ำใบบัวบกอุ่น ๆ เติมพุทราแดง

ล้างตับ บำรุงหลอดเลือด ผิวใสจริงไม่จกตา
🥬✨🫖

วัตถุดิบ
• ใบบัวบกสด 1 กำมือ
• พุทราแดงแห้ง 4–5 ผล
• น้ำเปล่า 1 ลิตร

วิธีทำ
1. ล้างใบบัวบกให้สะอาด ปั่นหยาบ ๆ หรือหั่น
2. ต้มน้ำเดือด ใส่พุทราแดงต้ม 5 นาที
3. ใส่ใบบัวบก ต้มต่ออีก 5–10 นาที
4. กรองเอาแต่น้ำ ดื่มอุ่น ๆ

🥰หมอแมนกระซิบ: ดื่มช่วงบ่าย ช่วยลดผื่นคัน ลดความร้อนใต้ผิว และเพิ่มความฉ่ำจากภายใน

3️⃣ซุปขิงต้นหอม ใส่เห็ดเข็มทอง

ไล่ลม ไล่ชื้น เสริมภูมิผิว
🍄♨️🌿

วัตถุดิบ
• ขิงแก่หั่นแว่น 5–7 แว่น
• ต้นหอมหั่นท่อน 2 ต้น
• เห็ดเข็มทอง 1 ถ้วย
• น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ลิตร
• เกลือ / ซีอิ๊วขาว เล็กน้อย

วิธีทำ
1. ต้มน้ำซุปให้เดือด ใส่ขิงก่อน 5 นาที
2. ตามด้วยต้นหอม เห็ดเข็มทอง
3. เคี่ยวต่ออีก 5–10 นาที ปรุงรสเบา ๆ

🫚หมอแมนกระซิบ: เหมาะมากตอนเพิ่งโดนฝน ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวไว ไม่หนาวสะท้าน และผิวไม่แห้งเหี่ยวตามอากาศ

😗หมอแมนฝากไว้…อยากผิวดีในหน้าฝน ไม่ใช่แค่ล้างหน้าจากภายนอกแต่ต้อง “ล้างชื้นจากภายใน” ด้วยนะครับ

เพราะผิวสวย เริ่มจาก…
ย่อยดี ม้ามแข็งแรง เลือดไหลเวียนดี
แล้วฝนก็ทำอะไรผิวเราไม่ได้เลย!

#เมนูหมอแมนแพทย์จีน
#อาหารแพทย์จีน
#อาหารขับชื้น
#ผิวสวยในหน้าฝน

#กินง่ายผิวใสจริง

ทำไมหมอต้องดูลิ้นก่อนสั่งยาหรือฝังเข็มครับ❓https://www.facebook.com/share/p/15yzAoodUB/?mibextid=wwXIfr
18/05/2025

ทำไมหมอต้องดูลิ้นก่อนสั่งยาหรือฝังเข็มครับ❓

https://www.facebook.com/share/p/15yzAoodUB/?mibextid=wwXIfr

EP41**ลิ้นบอกโรคได้อย่างไร🍀
👅 ลิ้นของคุณ…หมอแมนขอดูหน่อยครับ
เวลาใครมาหาหมอจีน แล้วโดนขอดูลิ้น หลายคนก็จะทำหน้างง ๆ ว่า
“ดูแค่ลิ้น จะไปรู้อะไรได้?” 😅

👀แต่บอกเลยครับว่า…
ลิ้นเนี่ยแหละคือกระจกสะท้อนสุขภาพจากข้างใน!
หมอไม่ต้องเจาะเลือด ไม่ต้องเอ็กซเรย์
🔎แค่มองลิ้น ก็พอจะเดาได้ว่าอะไรในร่างกายเรากำลังเริ่มรวน… ดังนั้นอย่าให้ศัตรูเห็นลิ้นคุณง่าย ๆ นะครับ😉

🧭 ลิ้นคือแผนที่อวัยวะในมุมแพทย์จีน
ลิ้นไม่ใช่อวัยวะมั่ว ๆ นะครับ มันแบ่งโซนชัดเจนเลย:
• ปลายลิ้น = หัวใจ ❤️ และปอด 🌬️
• ข้างลิ้น = ตับ 🍃 กับถุงน้ำดี
• กลางลิ้น = ม้ามกับกระเพาะอาหาร 🍚
• โคนลิ้น = ไต 💧 ลำไส้ 💩 และกระเพาะปัสสาวะ

🌵แต่ละจุดบนลิ้นจะเปลี่ยนไปตาม “อวัยวะที่เสียสมดุล”
ฝ้าหนาหรือไม่มีฝ้า สีซีดหรือแดงเข้ม รูปร่างลิ้นบวม หรือสั่น—บอกเราได้หมดเลยครับ

🔬 แล้ววิทยาศาสตร์ว่าไง?
ไม่ต้องห่วงครับ…หมอไม่ได้เชื่อเองคนเดียว 🤓
เพราะวิทยาศาสตร์ก็เริ่ม “เข้าใจ” แล้วว่า การดูฝ้าลิ้นมันมีที่มาแถมอธิบายได้ใน 4 ระบบใหญ่ ๆ ด้วยนะ!

✅ ระบบที่ 1: ระบบไหลเวียนระดับจุลภาค (ระบบหลอดเลือดฝอย)
🔍 กลไก:
ลิ้นเป็นอวัยวะที่มีความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอยสูงมาก และมีลักษณะโครงสร้างเฉพาะคือ:
• ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง
• ไม่มีขนหรือการหนาตัวของผิวหนัง
• สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกตลอดเวลา

จึงไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดันเลือดและการไหลเวียนระดับจุลภาค

🔬 หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
การไหลเวียนเลือดผิดปกติ เช่น หัวใจสูบฉีดเลือดได้น้อย, ความผิดปกติของหลอดเลือดฝอย หรือการอักเสบทั่วร่างกาย จะส่งผลต่อสีลิ้นโดยตรง

📚การศึกษาใช้กล้องตรวจหลอดเลือดฝอย พบว่า
ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ลิ้นจะซีดหรือม่วงคล้ำกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ

🔄 เชื่อมโยงกับแพทย์จีน:
• ลิ้นซีด (舌淡) = ภาวะเลือดพร่อง, หยางพร่อง
• ลิ้นม่วง (舌紫) = ภาวะเลือดคั่ง, พลังลมติดขัด
• ลิ้นแดงเข้ม = ความร้อนภายใน, เลือดร้อน

✅ ระบบที่ 2: ระบบประสาท–อวัยวะภายใน
🔍 กลไก:
ลิ้นได้รับการควบคุมจากเส้นประสาทสมอง ได้แก่:
• เส้นประสาทคู่ที่ 7: รับรสบริเวณ 2 ใน 3 ส่วนหน้า
• เส้นประสาทคู่ที่ 9: รับรสและความรู้สึกบริเวณโคนลิ้น
• เส้นประสาทคู่ที่ 10: ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน (โดยเฉพาะลำไส้และหัวใจ)
• หลอดลม, ปอด
• หัวใจ (ชะลออัตราการเต้น)
• หลอดอาหาร
• กระเพาะอาหาร
• ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น
• ตับ, ตับอ่อน, ไต (บางส่วน)
• รับรู้ความรู้สึกจากช่องอกและช่องท้อง
โดยเฉพาะเส้นประสาทเวกัส เป็นเส้นหลักของ “ระบบลำไส้–สมอง” ที่รับข้อมูลจากลำไส้และส่งคำสั่งจากสมองไปยังอวัยวะ

🔬 หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
ความเครียดเรื้อรังจะทำให้ระบบประสาทสมดุลเสีย → ใจเต้นแรง, นอนไม่หลับ, ลิ้นแดง

📚การศึกษาพบว่า
ลักษณะลิ้นและการเคลื่อนไหวของลิ้นในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เช่น ลิ้นแข็ง–เคลื่อนไหวช้า, สีซีด, ไม่มีฝ้า

🔄 เชื่อมโยงกับแพทย์จีน:
• ลิ้นแดงสั่น (舌红颤动) = ไฟหัวใจ–ไฟตับ
• ลิ้นจืด ไม่มีรส (舌淡无味) = หยินพร่อง–หยางพร่อง–จิตใจพร่อง

✅ ระบบที่ 3: ระบบภูมิคุ้มกันในเยื่อบุ (ระบบต่อมน้ำเหลืองในช่องปาก)
🔍 กลไก:
บริเวณโคนลิ้นและพื้นลิ้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในเยื่อบุ ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวังเชื้อโรคและสารแปลกปลอม

โดยเฉพาะ:
• ต่อมทอนซิลที่ลิ้น
• จุลชีพประจำถิ่นในช่องปาก

จะตอบสนองต่อการอักเสบ การติดเชื้อ และความผิดปกติของภูมิคุ้มกันแบบทั่วร่างกาย

🔬 หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
• การติดเชื้อรา → ฝ้าขาวหนา
• กระเพาะหรือลำไส้อักเสบ → ฝ้าเหลือง หนา ลื่น

📚ยังมีการศึกษาว่า
กลุ่มจุลชีพที่อยู่บนลิ้นเกี่ยวข้องกับภาวะลำไส้แปรปรวนและกลุ่มอาการเมตาบอลิก

🔄 เชื่อมโยงกับแพทย์จีน:
• ฝ้าขาวลื่น (白苔滑) = ความเย็นชื้น, พลังพร่อง, ม้ามพร่อง
• ฝ้าเหลืองเหนียว (黄苔腻) = ความร้อนชื้น, ไฟกระเพาะ, ลำไส้อักเสบ
• ฝ้าหลุดง่าย (剥苔) = หยินพร่อง, ไฟพร่องพุ่งขึ้น

✅ ระบบที่ 4: ระบบประสาทอัตโนมัติ – พลังชีวิต
🔍 กลไก:
ระบบประสาทอัตโนมัติ มี 2 แขนหลักคือ:
• แขนกระตุ้นsympatheticทำงานมาก→ ลิ้นแห้ง แดง เข้ม
• แขนพักผ่อนparasympatheticทำงานมาก→ ลิ้นเปียก ฝ้าบาง หรือไม่มีฝ้า

โดยการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นของลิ้น การหลั่งน้ำลาย และการบีบตัวของหลอดเลือดที่ปลายลิ้น อยู่ภายใต้ระบบนี้ทั้งหมด

🔬 หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
ผู้ป่วยที่มีภาวะไทรอยด์, เครียดสูง, ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ → ระบบประสาทอัตโนมัติแปรปรวน ส่งผลต่อลิ้นอย่างชัดเจน

❤️การเปลี่ยนแปลงของความแปรปรวนของอัตราการเต้นหัวใจ (HRV)
สัมพันธ์กับลักษณะฝ้าลิ้นในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

🔄 เชื่อมโยงกับแพทย์จีน:
• ลิ้นแดง แห้ง ฝ้าบาง (舌红少苔) = หยินพร่อง, ความร้อนภายใน
• ลิ้นซีด ฝ้าไม่ขึ้น (舌淡无苔) = หยางพร่อง, พลังพร่อง
• ลิ้นเปียก ฝ้าหนา (舌湿苔厚) = ความชื้นเกิน, ระบบเผาผลาญเสียสมดุล



🧠 สรุปทางวิจัย:
ลิ้นคือ “หน้าต่างชีวภาพของระบบภายใน” ที่สะท้อน 4 ระบบ ได้แก่
🩸 ระบบไหลเวียนโลหิต
🧠 ระบบประสาทและอวัยวะ
🛡 ระบบภูมิคุ้มกัน
⚡️ ระบบพลังชีวิตและความสมดุลอัตโนมัติ

👉การตรวจลิ้นในแพทย์จีนจึงเป็นเครื่องมือ
“แม่น–ไม่รุกล้ำ–เข้าใจสุขภาพทั้งระบบ”
และประหยัดค่าใช้จ่ายแบบเอามาก ๆ
ซึ่งกำลังได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการศึกษาทางชีววิทยาและการแพทย์แบบบูรณาการครับ

ดังนั้นการดูลิ้นแบบแพทย์จีน☯️จึงไม่ใช่เรื่องงมงาย
แต่เป็นวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ เลยครับ✅



📌
#หมอแมนแพทย์จีน
#ลิ้นบอกโรค
#ฝ้าลิ้นคือสัญญาณสุขภาพ
#ศาสตร์จีนก็มีงานวิจัยรองรับ
#แพทย์จีนร่วมสมัย
#ตรวจลิ้นเช็คสุขภาพ

ที่อยู่

อาคารข้างโรงเรียนวัดช่องลม ท่าพระตะวันออก
U Thong
72160

เวลาทำการ

เสาร์ 08:30 - 17:00
อาทิตย์ 08:30 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66985328291

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอแมนฝังเข็มยาจีนอู่ทอง-สุพรรณผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท