Senior World เรื่องราวการดูแลสุขภาพ อาหาร สิ่งแ?

Senior world วันนี้ดูแลคุณย่าอายุ 102 ปีด้วยต้วเองหลังจากออกจาก CCU มาได้ครบ 1 สัปดาห์ ตอนแรกคุณหมอบอกให้ครอบครัวทำใจ เพ...
10/04/2022

Senior world วันนี้ดูแลคุณย่าอายุ 102 ปีด้วยต้วเองหลังจากออกจาก CCU มาได้ครบ 1 สัปดาห์ ตอนแรกคุณหมอบอกให้ครอบครัวทำใจ เพราะวันที่แอดมิท พบภาวะลิ้นหัวใจรั่ว น้ำท่วมปอด ไตไม่ทำงานเต็มที่ มีภาวะบวมวนๆไป ค่าออกซิเจนตก ความดันขึ้นสูง

แต่วันนี้ คุณย่า ลืมตาขึ้นมายิ้มหวาน ด้วยค่าออกซิเจน 98-100 ค่าหัวใจ ความดันเป็นปกติ Feed อาหารทางสายยาง ด้วยสารอาหารที่ดีที่สุด วันละ 4 มื้อ
ดูแลอย่างดี่สุด💯ด้วยหัวใจรักค่ะ🥰

https://www.facebook.com/1482913448683294/posts/2769716873336272/
31/03/2022

https://www.facebook.com/1482913448683294/posts/2769716873336272/

น้ำตาลเทียมกับความเสี่ยงมะเร็ง

ดูเหมือน “น้ำตาล” (sugars) ไม่ว่าแท้หรือเทียมต่างสร้างปัญหาให้กับสุขภาพได้ทั้งนั้น น้ำตาลแท้ก่อโรคอ้วนอย่างที่รู้กันอยู่ ส่วนน้ำตาลเทียมเคยมีรายงานนานมาแล้วว่าอาจก่อปัญหามะเร็ง มาวันนี้รายงานที่ออกมาใหม่ยังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการใช้น้ำตาลเทียมกับการเกิดมะเร็งไม่เปลี่ยนแปลง กลายเป็นว่าคนที่หนีน้ำตาลแท้เพราะกลัวโรคอ้วน อาจเจอปัญหามะเร็งหากบริโภคน้ำตาลเทียมบางประเภท กลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ ไปซะอย่างนั้น

น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวาน ที่นิยมใช้ทดแทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร ไม่ว่าน้ำอัดลม รวมถึงสารพัดอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์มีอยู่หลายชนิด ที่นิยมกันมากอย่างเช่น แอสพาร์เทม (Aspartame) แซคคาริน (Saccharin) ซูคราโลส (Sucralose) ไซคลาเมต (Cyclamate) อะซีซัลเฟม โปตัสเซียม (Acesulfame potasssium) หรืออะซีซัลเฟม-เค (Ace K) สเตเวีย (Stevia) หรือหญ้าหวาน งานวิจัยจากวารสาร PLOS Medicine วันที่ 24 มีนาคม 2022 เป็นงานการศึกษาของ Charlotte Debras และทีมงานแห่งสถาบันวิจัยสุขภาพและการแพทย์แห่งชาติฝรั่งเศส (Inserm) และมหาวิทยาลัย Sorbonne Paris Nord ประเทศฝรั่งเศส ให้ข้อมูลว่าน้ำตาลเทียมบางชนิดสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งที่เพิ่มขึ้น ขอให้ระวังกันหน่อย กลายเป็นเรื่องล่ะทีนี้

ในงานวิจัย ทีมงานทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากชาวฝรั่งเศสวัยผู้ใหญ่จำนวน 102,865 คนที่เข้าร่วมในการศึกษา NutriNet-Santé เพื่อประเมินศักยภาพในการก่อมะเร็งของสารให้ความหวานเทียมหรือน้ำตาลเทียม โดย การศึกษา NutriNet-Santé ที่ว่านี้เป็นการศึกษาแบบต่อเนื่องทางเว็บ เริ่มใน ค.ศ.2009 ผู้เข้าร่วมลงทะเบียนรายงานประวัติทางการแพทย์ ให้ข้อมูลทางสังคมวิทยา อาหาร วิถีชีวิต และข้อมูลสุขภาพด้วยตนเอง นักวิจัยรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน้ำตาลเทียม รวบรวมข้อมูลการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ทำการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคน้ำตาลเทียมกับความเสี่ยงต่อมะเร็ง

มีการปรับตัวแปรต่างๆ เพื่อลดอคติในทางวิชาการ สุดท้าย นักวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคน้ำตาลเทียมในปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แอสพาเทม” และ “อะซีซัลเฟม-เค” มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งโดยรวมสูงกว่าผู้ที่ไม่บริโภค (ในอัตราส่วนความเสี่ยง 1.13, ช่วงความเชื่อมั่น 95% 1.03 ถึง 1.25) โดยเสี่ยงสูงขึ้นสำหรับมะเร็งเต้านมและมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นที่ว่านี้คงต้องศึกษาเชิงลึกอีกครั้ง แม้ไม่มั่นใจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ทีมวิจัยสรุปในทำนองว่าไม่แนะนำให้ใช้น้ำตาลเทียมเป็นทางเลือก น้ำตาลเทียมบางชนิดยังไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพสักเท่าไหร่ ว่ากันอย่างนั้น , #ดรวินัยดะห์ลัน, #น้ำตาลเทียมกับมะเร็ง

อาการของข้อเข่าเสื่อมเป็นอย่างไร หากปล่อยไว้จนเรื้อรัง จะส่งผลยังไรบ้างรับฟังได้ที่ https://bit.ly/3HsSNlE  #รวมเรื่องสุ...
07/02/2022

อาการของข้อเข่าเสื่อมเป็นอย่างไร
หากปล่อยไว้จนเรื้อรัง จะส่งผลยังไรบ้าง
รับฟังได้ที่ https://bit.ly/3HsSNlE


#รวมเรื่องสุขภาพน่ารู้

อาการของข้อเข่าเสื่อมเป็นอย่างไร หากปล่อยไว้จนเรื้อรัง จะส่งผลยังไรบ้างรับฟังได้ที่นี่รับฟัง Podcast จาก Bumrungra...

https://www.nonthavej.co.th/Knee-Pain-Symptoms.php
05/02/2022

https://www.nonthavej.co.th/Knee-Pain-Symptoms.php

ผู้สูงอายุ หรือคนกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการโรคปวดที่ข้อเข่า (ข้อเข่าเสื่อม) ควรดูแลตัวเองอย่างไร หากอาการไม่ด...

ที่พักพิงผู้สูงอายุจากทั่วโลกอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำคัญของประเทศไทย ใครสนใจเตรียมตัวไว้ครับไปได้แน่นอน จากสารคดี   CARE...
05/11/2021

ที่พักพิงผู้สูงอายุจากทั่วโลกอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำคัญของประเทศไทย ใครสนใจเตรียมตัวไว้ครับไปได้แน่นอน จากสารคดี

CARE HOMES..(มีเรื่องอยากเล่า) "หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีที่สุดของสังคมไทย คือความเคารพที่พวกเขามีต่อผู้สูงอายุ"
เมื่อชายชาวต่างประเทศเลือก "บ้านกำลังใจ" ซึ่งเป็นศูนย์พักพิงคนชรา 24 ชั่วโมง ให้ภรรยาอยู่ในบั้นปลายชีวิต ขณะที่คนอื่นไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเอาเธอมาทิ้งลำพัง และสำนักข่าวดังอัลจาซีร่าห์นำมาเสนอเป็นสารคดี และยังมีอีกหลายกรณีที่มีแต่เสียงชื่นชม
วันที่ 30 เมษายน 2020 สำนักข่าว Al-Jazeera ได้เผยแพร่รายการสารคดี Thailand's Last Resort | 101 East ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้สูงอายุชาวต่างชาติหลายคน ที่ตัดสินใจเลือกมาอยู่ที่ "บ้านกำลังใจ" ในบั้นปลายของชีวิต ซึ่งเป็นศูนย์พักพิงคนชรา 24 ชั่วโมงครบวงจร ที่กล่าวกันว่านอกจากราคาที่ถูกกว่าแล้ว ยังมีประสิทธิภาพและมีความดูแลเอาใจใส่ มากกว่าศูนย์พักพิงคนชราหลายๆแห่งในประเทศตะวันตก
ประเทศไทยไม่ใช่แค่ได้รับความนิยมด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่สารคดีซีรีย์ 101 East ของสำนักข่าว Al-Jazeera ชี้ว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกมาสู่ประเทศไทย นั่นก็คือระบบการดูแลคนแก่คนชรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยที่คนหนุ่มสาว และบุคลากรบ้านพักคนชรา ให้ความดูแลเอาใจใส่ และให้เกียรติผู้สูงอายุ เปรียบเสมือนกับคนในครอบครัว..
Walter Gloor และ Maya สามีภรรยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ เคยเป็นเจ้าของร้านอาหารมิชิลินสตาร์ แต่เมื่อปี 2011 Maya ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ (alzheimer) และในปี 2018 Walter และ Tanya ผู้เป็นลูกสาว ตัดสินใจพา Maya มาอยู่ที่ "บ้านกำลังใจ" ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่บ้านพักคนชรา แต่เป็นสถานพยาบาลที่ดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสมอง (ความจำเสื่อม) มีผู้ดูแลปรนนิบัติตลอด 24 ชั่วโมง
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆของ Maya ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ Walter พาภรรยาของตนเอง มาไว้ที่ "บ้านกำลังใจ" ทั้งยังต่อว่า Walter อย่างรุนแรง คล้ายกับว่า Walter พา Maya มาทิ้งไว้ในประเทศไทย แต่ Walter ให้เหตุผลว่า เพื่อนของ Maya ไม่รู้ว่าตัวของ Maya และผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์คนอื่นๆ มีอาการรุนแรงขนาดไหน ซึ่ง Walter ยังคงยืนยันคำตอบเช่นเดิมว่า "บ้านกำลังใจ" คือสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับภรรยาของเขา และทุกคนในครอบครัวของ Walter Gloor ก็เห็นด้วยเช่นกัน
Mary Ellen หญิงชราชาวอังกฤษ เธอป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม (dementia) ครอบครัวของเธอพาเธอมาอยู่ที่ "บ้านกำลังใจ" เมื่อปี 2017 ลูกชายชื่อ Michael ลูกสะใภ้ชื่อ Emily ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาเคยมองหาบ้านพักคนชราในอังกฤษ ซึ่งมีบ้านคนชราที่ดูดีมีคุณภาพมากๆ แต่เป็นบ้านคนชราที่มีลักษณะของอาคารและห้องพัก คล้ายกับโรงพยาบาลเสียมากกว่า ทำให้พวกเขากังวลว่า บรรยากาศที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและการจัดการที่คล้ายกับโรงพยาบาล อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับมารดาที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม
แต่เมื่อพวกเขาเสนอประเทศไทย พร้อมกับโชว์รูปภาพให้แม่ของพวกเขาได้เห็น แม่ของพวกเขาก็รู้สึกชอบและอยากจะมาอยู่ที่ "บ้านกำลังใจ" ในเชียงใหม่ และเมื่อได้มาอยู่จริงๆ Michael และ Emily ก็พบว่า บุคลากรของ "บ้านกำลังใจ" ดูแลเอาใจใส่แม่ของพวกเขาเป็นอย่างดี จนมีความคุ้นเคยต่อกัน เสมือนกับว่า "ลูกสาวดูแลแม่" และแม่ของเขาก็มีความรู้สึกเป็นกันเองกับบุคลากรของ "บ้านกำลังใจ" มากเสียกว่า Michael และ Emily เพราะโรคสมองเสื่อมทำให้ Mary Ellen แทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับลูกชายและลูกสะใภ้หลงเหลืออยู่
Dusko Doder อดีตสื่อมวลชนของสำนักข่าว Washington Post เมื่อ 2 ปีก่อน Dusko เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน และมีอาการเลือดคั่งในสมอง Louise ภรรยาของ Dusko ต้องคอยดูแลเขามาโดยตลอดในบ้านของพวกเขาที่กรุงวอชังตัน ดี.ซี. ซึ่ง Dusko ไม่อยากไปอาศัยอยู่ที่บ้านคนชรา เพราะนอกจากจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำแล้ว คุณภาพในการดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ ก็ไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย จนกระทั่งต้นปี 2020 Louise ตัดสินใจพาสามีของเธอ มาอยู่ที่เชียงใหม่ และนาทีที่เธอพาสามีของเธอมาถึง "บ้านกำลังใจ" เธอก็ตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้ทันที โดยที่เธอเห็นว่าศูนย์พักพิงคนชราแห่งนี้ สามารถดูแล Dusko ได้เป็นอย่างดี และตัวเธอเองก็ย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะชื่นชอบบรรยากาศและวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่แล้ว เธอต้องการที่จะอยู่ช่วยดูแลสามีของเธอในช่วงบั้นปลายของชีวิต
Peter Brown นักธุรกิจโรงแรมชาวอังกฤษ ซื้อรีสอร์ตแห่งนี้เมื่อ 11 ปีก่อน แล้วปรับปรุงให้เป็นสถานพักพิงคนชรา ที่ให้การดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านความจำเสื่อม ตลอด 24 ชั่วโมง และอยู่อาศัยกับบรรยากาศป่าไม้ธรรมชาติ ไม่อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ซึ่งก่อนที่เขาจะก่อตั้ง "บ้านกำลังใจ" นั้น มารดาของ Peter เป็นมะเร็งในลำคอขณะที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราในอังกฤษ โดยที่ Peter บอกอีกด้วยว่า ว่าบุคลากรบ้านพักชราในอังกฤษ ไม่มีใครสามารถดูแลมารดาของเขาได้ จนกระทั่งพบว่ามารดาของเขาเป็นมะเร็ง และการบริการดูแลผู้สูงอายุในอังกฤษนั้น ไม่ดีพอและไม่เพียงพอ เพราะหลัง 6 โมงเย็นเป็นต้นไป บุคลากรบ้านพักคนชราจะกลับบ้านกันหมด ทำให้ผู้สูงอายุชาวอังกฤษต้องดูแลตนเอง จึงเป็นเหตุให้ Peter ตัดสินใจพาแม่มาอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วก่อตั้ง "บ้านกำลังใจ" สำหรับแม่ของเขา รวมถึงผู้สูงอายุคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะมีโรคความจำเสื่อมหรือไม่ก็ตาม แต่ในบั้นปลายชีวิตของผู้สูงอายุ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพ ทั้งกายและใจ และย่อมดีกว่าการให้ผู้สูงอายุ อยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่ง Peter มีความพอใจที่ได้ก่อตั้ง "บ้านกำลังใจ" ซึ่งสามารถดูแลผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดีและมีคุณภาพ และจังหวัดเชียงใหม่ของประเทศไทยก็เหมาะสมที่สุด ด้วยปัจจัยค่าเงิน ค่าครองชีพ การรักษาพยาบาล สภาพแวดล้อม การดูแลปรนนิบัติ ความเอาใจใส่ และวัฒนธรรมของคนไทยที่มีความรักและความเคารพต่อผู้สูงอายุ แต่หากย้อนกลับไปที่สหราชอาณาจักร Peter จะไม่สามารถก่อตั้งศูนย์พักพิงคนชราได้เช่นนี้ เนื่องด้วยค่าเงินและค่าครองชีพที่สูงกว่าประเทศไทยมากๆ
Martin Woodtli ผู้ร่วมก่อตั้ง "บ้านกำลังใจ" ซึ่งมีมารดาที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมเช่นกัน เขาตัดสินใจพามารดาของเขา มาที่ศูนย์พักพิงผู้สูงอายุของเขา ซึ่งนอกจากจะสามารถดูแลมารดาของเขาได้แล้ว ศูนย์พักพิงฯที่เขาร่วมก่อตั้งนี้ ยังสามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมาย โดย Martin ชื่นชมบุคลากรชาวไทยที่ทำงานที่ "บ้านกำลังใจ" เพราะทุกคนดูแลเอาใจผู้สูงอายุ และทำงานด้วยความรักและความเคารพต่อผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่ Martin ชอบมากๆ คือการที่คนไทยมีความเป็นห่วงเป็นใยและมีความเคารพต่อกัน ในขณะที่ระบบการดูแลผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราทั่วยุโรป ไม่มีประสิทธิภาพ และกำลังมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ
Eileen Chubb ผู้ก่อตั้ง Compassion in Care องค์กรปกป้องสิทธิผู้สูงอายุในสหราชอาณาจักร และอดีตเจ้าหน้าที่ศูนย์พักพิงคนชรา ให้สัมภาษณ์กับผู้ดำเนินรายการว่า เธอเคารพการตัดสินใจของผู้สูงอายุชาวอังกฤษ ที่ย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราในต่างประเทศ แต่มันก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ระบบการดูแลผู้สูงอายุของสหราชอาณาจักรกำลังมีปัญหา โดย Eileen ได้นำหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอจากกล้องที่แอบถ่ายในศูนย์พักพิงคนชรา ทั้งของรัฐและของเอกชน ซึ่งภาพในคลิปวีดีโอพิสูจน์ให้เห็นว่า ศูนย์พักพิงคนชราหลายแห่งในสหราชอาณาจักร ขาดการดูแลคนชราที่ถูกสุขลักษณะอนามัย มีการด่าทอ-ดูหมิ่นผู้สูงอายุ มีการลักขโมยทรัพย์สินของผู้สูงอายุ และมีการทำร้ายร่างกายผู้สูงอายุ และเคสด้านสุขอนามัยที่น่าเศร้ามากที่สุดคือ ศูนย์พักพิงฯแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร ปล่อยให้บาดแผลของหญิงชรา มีหนอนแมลงวันชอนไชอยู่ในบาดแผล
นอกจากนี้ Eileen Chubb ยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า วัฒนธรรมการให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน คือสิ่งที่ขาดหายไปในโลกตะวัน กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา ระหว่างบุคลากรศูนย์พักพิงฯและผู้สูงอายุ แล้ว Eileen Chubb ก็ยังชี้อีกว่า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาภายในศูนย์พักพิงฯทั่วราชอาณาจักร ก็คือวิธีการสื่อสาร โดยต้องเป็นการสื่อสารระหว่างผู้สูงอายุและบุคลากรศูนย์พักพิงฯ ที่ถูกต้องและเข้าใจตรงกันได้อย่างทั่วถึง ซึ่งคุณสมบัติของบุคลากรศูนย์พักพิงฯในส่วนนี้ Walter Gloor ให้สัมภาษณ์ว่า กลุ่มบุคลากรสาวชาวไทยที่ดูแลภรรยาของเขา มีคุณสมบัติในการสื่อสารที่ดีเยี่ยม แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าของภาษา แต่เธอสามารถพูดคุยและพา Maya ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลินและราบรื่น ทั้งยังสามารถอธิบายให้ Walter Gloor เข้าใจได้อีกด้วยว่า ภรรยาของเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
หนึ่งในบุคลากรผู้ดูแล Maya ให้สัมภาษณ์ว่า การได้มาดูแลผู้สูงอายุชาวต่างชาติอย่าง Maya ทำให้เธอมีความผูกพัน เปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่การได้มาทำงานดูแลผู้สูงอายุ ก็ทำให้เธอคิดเหมือนกันว่า แม้ปัจจุบันบิดากับมารดาของเธอจะยังแข็งแรงดี ยังสามารถประกอบอาชีพและดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าพ่อกับแม่แก่ชรา เธอจะดูแลพ่อกับแม่เธอเอง ซึ่งในหมู่บ้านของเธอ ไม่มีใครที่พาพ่อแม่ไปฝากไว้ที่บ้านพักคนชรา และเธอก็ไม่คิดที่จะฝากเช่นกัน แต่เมื่อถามว่า ถ้าหากเป็นตัวของเธอเอง ที่แก่ชราในอนาคต เธอก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกๆของเธอจะเลี้ยงดูเธอเอง หรือจะพาเธอไปฝากไว้ที่บ้านพักคนชรา..
ทั้งนี้ ในส่วนของคอมเม้นต์ มีผู้ใช้บัญชียูทูบหลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น ทั้งอธิบายลักษณะของสังคมไทยและวัฒนธรรมไทย ทั้งยังชื่นชมประเทศไทยที่มีการดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือสีผิว อาทิเช่น
"One of the strongest attributes of Thai society, their respect for the elderly."
"หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีที่สุดของสังคมไทย คือความเคารพที่พวกเขามีต่อผู้สูงอายุ"
"God bless thai people. They are oone the kindest and compationate people in the world. ❤"
"ขอพระเจ้าอวยพรให้กับคนไทย พวกเขาเป็นคนที่เมตตากรุณามากที่สุดในโลก และพวกเขาเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ❤"
"Thailand retirement resorts is way better than American retirement center."
"รีสอร์ตสำหรับผู้เกษียณอายุในไทย ดีกว่าศูนย์ดูแลผู้เกษียณอายุในอเมริกามากๆ"
"This made me so sad but honestly I'd rather live there in Thailand instead of a hospital setting."
"เรื่องนี้ทำให้ฉันเศร้า แต่ขอพูดตรงๆว่า ฉันขออยู่ประเทศไทยดีกว่าไปอยู่สถานที่คล้ายโรงพยาบาล."
"At 63, I live in Thailand. This report has me thinking of starting a care home, and I speak Japanese, French , and English. Th future is going to be loving care, not old world institutions."
"ผมอายุ 63 ปี ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทย รายงานชิ้นนี้ทำให้ผมอยากลองสร้างบ้านพักคนชราดูบ้าง และผมพูดภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ อนาคตของประเทศไทยจะไม่ได้เป็นแค่สถาบันเก่าแก่ของโลก แต่จะเป็นบ้านพักที่ให้ความรัก"
"He did the right thing. I love Thailand for the gentleness of it's people."
"เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ฉันรักประเทศไทย เพราะผู้คนมีความสุภาพอ่อนโยน"
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://youtu.be/i7yeiO-UZoM
-------------------------------
(เครดิต ... Thailand Vision)

From reports of abuse and neglect to soaring costs, the reputation of aged care homes in the West has taken a battering in recent years.Now some families are...

https://readthecloud.co/smart-home-for-aging-kmutt/
26/09/2021

https://readthecloud.co/smart-home-for-aging-kmutt/

บ้านแนวทดลองเพื่อผู้สูงวัยจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ออกแบบทุกฟังก์ชันด้.....

https://www.facebook.com/280083682007454/posts/4781862568496187/
26/05/2021

https://www.facebook.com/280083682007454/posts/4781862568496187/

หากใครเป็นคนที่ชอบหาความรู้ด้านสุขภาพ น่าจะได้เห็น ได้อ่าน ได้ฟัง ได้รับความรู้มากมายจาก นพ.ตนุพล วิรุฬห.....

https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2044943
08/03/2021

https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2044943

ธุรกิจ "บ้านผู้สูงอายุ" มีแววดี! หลังวิกฤติโควิด-19 โอกาสเติบโตสูง เจาะโอกาสชิงเค้กหมุดหมายที่พักกาย "ต่างชา.....

https://www.baanlaesuan.com/58418/ideas/elder_house
27/01/2021

https://www.baanlaesuan.com/58418/ideas/elder_house

บ้านที่เหมาะกับผู้สูงอายุจึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานและสุขภาพเป็นพิเศษ “บ้านและสวน” มีข้อคิ....

https://m.facebook.com/folkdoctorthailand/photos/a.10150455862432028.419400.172425057027/10153420108012028/?type=3
15/06/2016

https://m.facebook.com/folkdoctorthailand/photos/a.10150455862432028.419400.172425057027/10153420108012028/?type=3

การเจริญสติ...มีอานิสงส์มากกว่าที่คิด
การบริหารจิต คือ การเจริญสติปัญญา (หรือนิยมเรียกสั้นๆ ว่า “การเจริญสติ”) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันออกนั้น ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันทั่วโลก และทางตะวันตกได้ทำการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ว่าการบริหารจิตส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางบวกของโครงสร้างสมองซึ่งมีผลต่อการพัฒนาจิตใจให้ดีขึ้นตามไปด้วย ประโยชน์หรืออานิสงส์ที่ได้จากการเจริญสติมีดังนี้

1. ส่งเสริมให้สุขภาพจิตดี สามารถบริหารจัดการและป้องกันความเครียด และมีความสุขสงบเย็น
2. กระตุ้นให้ความจำดี สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี
3. มีจิตใจที่อิสระ เปิดกว้าง ไม่ยึดติด เป็นกลาง และปลอดจากอคติ
4. มีสมาธิจดจ่อในการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าการทำอะไรพร้อมกันหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะได้ผลงานมาก แต่จริงๆ แล้วกลับได้ผลงานน้อยลง เพราะสมองต้องเสียพลังงานในการปรับความคิดกลับไปกลับมา มิหนำซ้ำยังอาจเกิดความไม่ปลอดภัยเพราะเสียสมาธิ
5. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น มีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และให้การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
6. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ช่วยให้สามารถป้องกันและบรรเทาโรคทางกายต่างๆ เช่น ไข้หวัด เจ็บคอ โรคเริม แผลร้อนใน โรคภูมิแพ้ ความดันเลือดสูง เบาหวาน มะเร็ง
7. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันชีวิต มีจิตใจเข้มแข็งในการเผชิญกับวิกฤตการณ์ชีวิต (เช่น การสูญเสีย การเจ็บป่วย) โดยการมีสติปัญญารู้เท่าทันตัวเอง ผู้อื่น โลก และชีวิต สามารถยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างสงบเย็น และมีสติในการจัดการกับปัญหาไปตามเหตุปัจจัยอันควร
8. เสริมสร้างพลังฟื้นตัว เมื่อเกิดปัญหาหรือความทุกข์กาย (เจ็บป่วย) ทุกข์ใจ (การสูญเสีย ความผิดหวัง อกหัก) มีคนรู้จักหลายคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง ที่ต้องให้เคมีบำบัด รังสีบำบัด หรือการผ่าตัด สามารถฟื้นตัวได้เร็วและเกิดผลแทรกซ้อนน้อยกว่าที่แพทย์คาดคิด หรือคนที่เกิดความผิดหวัง หรืออกหัก ก็สามารถทำใจให้กลับมาเป็นปกติได้เร็ว
9. ใช้ชีวิตอย่างมีสติกำกับ ไม่ประมาท รู้จักลงมือฝึกฝนปฏิบัติในสิ่งที่ดีต่อชีวิต เช่น การดูแลสุขภาพตนเอง การบริหารกาย บริหารจิต อารมณ์ และปัญญา การพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง
10. นำมาใช้บำบัดโรคทางจิต ในปี 2532 Dr.Jon Kabat–Zinn แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ ได้นำแนวทางเจริญสติแบบวิถีพุทธไปประยุกต์ในการบำบัดโรคทางจิตอย่างได้ผล ซึ่งเรียกเทคนิคนี้ว่า “Mindfulness-based stress reduction (MBSR)” และต่อมา Dr.Zindel Segal ได้นำไปดัดแปลงโดยเรียกเทคนิคใหม่นี้ว่า “Mindfulness-based cognitive therapy (MBCT)” ปัจจุบัน เทคนิคเหล่านี้ได้กลายเป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดรักษาโรคทางจิต (เช่น ภาวะซึมเศร้า อารมณ์ 2 ขั้ว โรควิตกกังวล โรคเครียด) และโรคกายที่เกิดจากจิต (เช่น อาการปวดเรื้อรัง โรคสะเก็ดเงิน)

(เครดิตภาพ : aomyoga)

https://www.agingcare.com/Products
08/06/2016

https://www.agingcare.com/Products

Senior and elder care products for home health care equipment and assistive devices for aging parents and caregivers. Improvement in daily living activities and safety for older adults.

04/06/2016

ดอกไม้ต้านมะเร็ง ความลงตัวของธรรมชาติ กับสุขภาพดีแบบเน้น ๆ

สมุนไพรต้านมะเร็ง ใครว่าจะต้องเป็นพืชที่มีแต่สีเขียว ๆ เสมอไป ดอกไม้สีสันสวยงามที่เราเห็นผ่านตากันเป็นประจำก็ช่วยป้องกันมะเร็งได้ หากเพียงเลือกมารับประทานให้ถูกชนิด

ดอกไม้ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้คือหนึ่งในสิ่งที่สามารถช่วยจรรโลงใจของเราได้ สีสันที่สดใสสวยงามนั้น เวลาที่ได้มองแล้วก็สามารถทำให้ความรู้สึกห่อเหี่ยว หรือแม้แต่อารมณ์ที่บูดบึ้งบรรเทาลง เป็นอาหารตาที่ดีเยี่ยม แต่ก็มีดอกไม้อีกหลากหลายชนิดเช่นเดียวกันที่ยังกลายมาเป็นอาหารรสชาติโอชา และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ดอกไม้ที่เราเห็นกันทั่วไปบางสายพันธุ์ซุกซ่อนคุณประโยชน์เพื่อสุขภาพไว้อย่างมหาศาล จนทำให้เราต้องประหลาดใจ อย่างเช่นที่เราเก็บมาฝากในวันนี้ ซึ่งแต่ละชนิดมีการศึกษายืนยันแล้วว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยามากมายจนต้องทึ่งเลยทีเดียว

จากการศึกษาของรองศาสตราจารย์ ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และทีมนักศึกษาปริญญาโทในหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ ค้นพบว่า การรับประทานดอกไม้อย่าง หัวปลี ดอกขจร ดอกเข็ม ดอกแค ดอกบัว ดอกเฟื่องฟ้า ดอกโสน และดอกอัญชัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยมีการสันนิษฐานว่าเกิดจากสารบางชนิดในดอกไม้ ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ป้องกันการถูกทำลายของเซลล์จากสารอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลายชนิด และป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ได้อีกด้วย อีกทั้งดอกไม้เหล่านี้ยังมีไฟเบอร์สูงสามารถช่วยในการขับถ่ายได้อีกด้วย แถมดอกไม้เหล่านี้เมื่อนำมาปรุงอาหารจนสุกแล้วสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) นี้ก็ยังไม่เสื่อมสลายไป และยังคงมีสรรพคุณครบถ้วนเช่นเดิม

เห็นสรรพคุณเด็ดดวงของดอกไม้ทั้ง 8 ชนิดนี้แล้ว กระปุกดอทคอมเลยจะขอพาไปรู้จักประโยชน์เพิ่มเติมของดอกไม้เหล่านี้ ที่ยังมอบสิ่งดี ๆ ให้กับสุขภาพของเราอีกหลายขนาน ดังนี้ค่ะ

หัวปลี

หัวปลี

หัวปลี หรือส่วนช่อดอกของต้นกล้วย เป็นอีกส่วนหนึ่งของกล้วยที่เรานิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหลากหลาย เนื่องจากเจ้าหัวปลีนั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแต่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ช่วยยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แต่ยังมีแร่ธาตุและวิตามินที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินอี อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง และแคลอรีไม่สูงจนเกินไปอีกด้วย

นอกจากนี้หัวปลียังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย เช่น รักษาอาการอักเสบต่าง ๆ ช่วยสมานบาดแผล อีกทั้งหัวปลีก็ยังช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า และช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้อีกด้วย เนื่องจากในหัวปลีมีแมกนีเซียมสูง อันเป็นแร่ธาตุตัวสำคัญที่สามารถรักษาอาการซึมเศร้าได้โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อสุขภาพ และสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การรับประทานหัวปลีในปริมาณที่พอเหมาะก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ รวมทั้งสารอาหารในหัวปลียังจะไปสร้างเสริมฮีโมโกลบินในร่างกาย อันเป็นผลดีต่อคนที่เป็นโรคโลหิตจางอีกด้วย

แต่ที่ดูเหมือนจะเป็นสรรพคุณที่โดดเด่นที่สุดของเจ้าหัวปลีรองจากต้านมะเร็งและมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากแล้วนั้น ก็คงจะเป็นสรรพคุณที่ช่วยบำรุงเพศหญิงนี่ล่ะค่ะ เพราะเจ้าหัวปลีนี้ หากคุณผู้หญิงรับประทานเข้าไปในช่วงมีประจำเดือนก็สามารถบรรเทากลุ่มอาการ PMS ได้ โดยเฉพาะคนที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ การรับประทานหัวปลีจะช่วยให้ประจำเดือนลดลงจนเป็นปกติ สร้างเสริมฮอร์โมนโปรเจสโตโรน(Progesterone) ในร่างกายคุณสาว ๆ ให้อยู่ในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ขณะที่คุณสาว ๆ ที่เพิ่งคลอดบุตรและอยู่ในช่วงให้นมบุตร การกินหัวปลีจะสามารถทำให้มีน้ำนมเพิ่มขึ้นได้ โดยที่ไม่ต้องรับประทานยาขับน้ำนมค่ะ รู้ว่าดีขนาดนี้ก็ลองไปหารับประทานกันเลยดีกว่าเนอะ

ดอกขจร

ดอกขจร

ดอกขจร หรือดอกสลิด ไม่ใช่เพียงแค่มีประโยชน์ที่กลิ่นหอมเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะดอกขจรนั้นเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส แถมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเลยเชียวล่ะ

ทั้งนี้สรรพคุณทางยาของดอกขจรก็ไม่ใช่เล่น ๆ ที๋โดดเด่นที่สุดก็คือสรรพคุณในด้านการบำรุงฮอร์โมนในเพศหญิง อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน รักษาไข้หวัดที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง บำรุงตับ บำรุงสายตา ขับเสมหะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แถมยังบำรุงเลือดได้อีกด้วย ถือเป็นดอกไม้ที่ครบเครื่องทั้งความสวยงาม กลิ่นหอม และประโยชน์เลยล่ะเนอะ

ดอกเข็ม

ดอกเข็ม

ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ที่มักปลูกเป็นไม้ประดับ รวมทั้งเป็นดอกไม้มงคลในพิธีไหว้ครูอย่างดอกเข็มนั้น อย่าเพิ่งคิดว่ามีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่สรรพคุณทางยาก็มีไม่น้อย ที่สำคัญเจ้าสรรพคุณเหล่านี้ยังกระจายอยู่แทบจะทุกส่วนของต้นเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใบ ราก หรือแม้แต่ในดอกเข็ม ก็ล้วนแต่สามารถรักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้ค่ะ อาทิ ช่วยสมานแผล รักษาอาการสะอึก คลื่นไส้ อาการเบื่ออาหาร บรรเทาอาการเจ็บคอ หลอดลมอักเสบ โรคหอบหืด ลดความดันโลหิต การติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์ในเพศหญิง แก้ประจำเดือนผิดปกติได้ด้วย

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น รากของต้นดอกเข็มก็ยังสามารถรักษาบิด และโรคอุจจาระร่วง ช่วยฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ อันเป็นสาเหตุของอาการท้องเสียได้ และที่น่าสนใจอีกไม่น้อยก็คือ มีการศึกษาในปี 2001 พบว่าในการทดลองกับหนูนั้น การให้หนูกินดอกเข็มจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการรักษาโรคด้วยเคมีบำบัดได้ โดยสารบางชนิดในดอกเข็มจะเข้าไปยับยั้งการลดลงของน้ำหนักที่เกิดจากการการให้เคมีบำบัด และเพิ่มระดับฮีโมโกลบินในเลือด อีกทั้งเมื่อวัดระดับของยูเรียไนโตรเจนในเลือดของหนูที่นำมาทำการทดลองก็ยังอยู่ในระดับที่ปกติ ทำให้เห็นได้ว่าดอกเข็มนั้นสามารถช่วยบรรเทาผลข้างเคียงของการให้เคมีบำบัดได้เป็นอย่างดีค่ะ

ดอกแค

ดอกแค

ดอกไม้ที่เป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมอย่างดอกแค เป็นดอกไม้อีกชนิดที่เรามักจะเห็นว่ากลายมาเป็นอาหารขึ้นโต๊ะกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะมีผลการศึกษาพบว่าช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ แต่จริง ๆ แล้วเจ้าดอกแคนี้มีสรรพคุณดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้โรคบิด แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน อุจจาระร่วง ได้

ทั้งนี้ในการแพทย์แผนอายุรเวทก็ยังมีการนำดอกแคมาคั้นเป็นน้ำแล้วนำไปใช้ในการรักษาริดสีดวงจมูก แก้ปวดศีรษะได้ หรือจะนำส่วนที่เป็นใบมาตำพอกรักษาแผลช้ำได้ แถมเจ้าดอกแคนี้ยังมีโปรตีนสูงอีกด้วย เอาเป็นว่าดอกแคนี่มีประโยชน์ไม่แพ้กับดอกไม้ชนิดอื่นเลยเชียวล่ะค่ะ

ดอกบัว

ดอกบัว

หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าดอกบัวเนี่ยล่ะมีสรรพคุณทางยาเพียบเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นสรรพคุณในการเป็นยาขับปัสสาวะ ป้องกันการเชื้อรา ป้องกันการเกิดโรคอ้วน หรือแม้แต่ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นดอกบัว หรือส่วนอื่น ๆ ของดอกบัวนั้นก็ล้วนแต่ถูกนำมาใช้ในยาแพทย์แผนโบราณทั้งนั้น

โดยสรรพคุณที่เด็ดดวงที่สุดของดอกบัวนอกจากต่อต้านการเกิดมะเร็งก็คือการป้องกันการตกเลือดและบำรุงครรภ์สำหรับสตรีมีครรภ์ และช่วยขับน้ำนมให้กับคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมทั้งบรรเทาอาการท้องเสีย แก้พิษไข้ รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนองใน ซิฟิลิส โรคไขข้ออักเสบ โรคเบาหวาน ลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดซึ่งดีกับหัวใจ และถ้าหากนำดอกบัวมาตากแห้งและชงดื่มเป็นชาก็จะยิ่งช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยลดน้ำหนัก และสร้างเสริมระบบสืบพันธุ์ในทั้งเพศชายและหญิงอีกด้วย

ในด้านความงาม ดอกบัวก็ให้สรรพคุณดีไม่แพ้กัน ทั้งช่วยปรับสภาพผิวให้เนียนนุ่มเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วยล่ะ สรรพคุณเริด ๆ แบบนี้สาว ๆ ไม่น่าจะมองข้ามเลย

ดอกเฟื่องฟ้า

ดอกเฟื่องฟ้า

ดอกเฟื่องฟ้ามีหลากหลายสีสันที่สวยงาม แต่ที่ถือว่ามีสรรพคุณโดดเด่นในการช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ก็น่าจะเป็นดอกเฟื่องฟ้าที่มีสีม่วง แดง และชมพู เนื่องจากทั้งสามชนิดนี้มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) สูง นอกจากนี้ก็ยังมีการศึกษาพบแล้วว่าเจ้าดอกเฟื่องฟ้านี่ล่ะที่ช่วยบำรุงสุขภาพและมีสรรพคุณรักษาโรคดีอย่างแท้จริง อาทิ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ รักษาอาการท้องเสีย ช่วยในการคุมกำเนิด รักษาอาการไอและเจ็บคอ บำรุงเลือดและขับระดูขาวในผู้หญิง อีกทั้งช่วยลดความดันโลหิต และบำรุงหัวใจ

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การรับประทานดอกเฟื่องฟ้าก็ยังทำให้ร่างกายได้รับไพนิทอล (Pinitol) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการสนับสนุนการทำงานของอินซูลิน โดยมีการศึกษาพบว่า หากสารนี้เข้าสู่ร่างกายแล้วจะช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นค่ะ

ดอกโสน

ดอกโสน

มาถึงดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารอย่างดอกโสน ซึ่งเป็นพืชที่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน และวิตามินซีสูง ที่แค่เพียงรับประทานเข้าไปก็ได้ผลดีบำรุงกระดูกให้แข็งแรง บำรุงสมอง อีกทั้งช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ และมีการศึกษาพบว่าในดอกโสนมีสารเควอเซทิน ไกลโคไซด์ ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ที่สำคัญ มีฤทธิ์ในการทำลายและยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งได้

ขณะที่สรรพคุณทางยาของดอกโสนนั้นก็มาจากฤทธิ์เย็นของดอกโสน ที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยแก้พิษร้อน ถอนพิษไข้ได้เช่นเดียวกับดอกแค จึงทำให้ดอกโสนนั้นกลายเป็นอีกหนึ่งอาหารที่คนชอบหารับประทานกันค่ะ

ดอกอัญชัน

ดอกอัญชัน

นอกจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่มีอยู่ในดอกอัญชันจะช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้ เจ้าสารชนิดนี้ก็ยังมีส่วนสำคัญในการบำรุงเส้นผมให้เงางาม อย่างที่เราเคยเห็นว่ามักจะมีการนำดอกอัญชันมาหมักผม หรือนำไปทาบริเวณคิ้วเด็กให้คิ้วดกดำขึ้นนั่นล่ะค่ะ

แต่ที่น่าอัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้นคือสารแอนโทไซยานินนี้ก็ยังสามารถช่วยบำรุงสายตา กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้ป่วยเบาหวาน ดอกอัญชันนี้ก็เปรียบเสมือนทองคำเลย เพราะดอกอัญชันสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือด และช่วยบรรเทาภาวะเสื่อมสภาพของดวงตาที่เกิดจากโรคเบาหวานได้ รู้แบบนี้แล้วก็ต้องรีบหามาลิ้มลองเลยนะ

เห็นไหมล่ะคะว่าความสวยงามของดอกไม้น่ะไม่ได้มีแค่ให้ชื่นชมเท่านั้น แต่ยังมีดีกับสุขภาพอีกเพียบ คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าจะเลือกหยิบดอกไม้ชนิดใดมาลิ้มลองกันแล้วล่ะค่ะ แต่ก็อย่าเพลิดเพลินกับอาหารจากดอกไม้เพียงอย่างเดียวนะ ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพชนิดอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย จะได้มีสุขภาพที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
,,
หน่วยสารสนเทศมะเร็ง โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

04/06/2016

7 สีสันเพื่อสุขภาพ เลือกกินให้ถูกวิธี ได้ผลดีทั้งร่างกายและจิตใจ

สุขภาพ กับสีสัน เรื่องที่สอดคล้องกันอย่างน่าอัศจรรย์ อยากมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ต้องเลือกเสริมด้วยอาหารทั้ง 7 สีต่อไปนี้นะ

การรักษาสุขภาพ เป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีในการรักษาสุขภาพที่แตกต่างกันไป ทั้งการออกกำลังกาย หรือแม้แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจซึ่ง เว็บไซต์ สสส. ได้หยิบมาแนะนำให้เราได้ทราบกันในคราวนี้ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารตามสีสันทั้ง 7 แต่ว่าทำไมต้องเป็นทั้ง 7 สีนี้ และอาหารแต่ละสีดีกับสุขภาพอย่างไร จำเป็นกับร่างกายของเราแค่ไหน ไปดูกันให้ชัดเลยค่ะ

ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา และที่ปรึกษาศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ให้ความรู้ว่า ในร่างกายมนุษย์มีออร่าอยู่ 7 สี ที่เชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ (หรือที่เรียกว่า ออร่านั่นเอง) ซึ่งเมื่อขาดสีใดสีหนึ่ง หรือมีสีนั้นน้อยเกินไปจะทำให้ระบบภายในร่างกายขาดความสมดุล ซึ่งหากอยากมีสุขภาพที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่ภายในร่างกายจึงจะส่งผลดีมาสู่ภายนอก

ดร.วัลลภ อธิบายว่า ออร่าเป็นพลังมาจากแสงอาทิตย์ ที่ทำให้เกิดทั้งแสง สี และเสียง โดยมีคลื่นไฟฟ้า คลื่นความร้อน ที่ทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ แต่สำหรับร่างกายมนุษย์จะมีออร่าอยู่ภายใน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องวัดเพื่อประมวลผล

สีของออร่าสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ของร่างกาย จิตใจ และสุขภาพได้ แต่ไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 7 สี ดังนี้คือ สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีม่วง

7 สีสันเพื่อสุขภาพ เลือกกินให้ถูกวิธี ได้ผลดีทั้งร่างกายและจิตใจ

นักจิตวิทยา ยังบอกด้วยว่า ออร่าทั้ง 7 สี สามารถพบได้ในอาหารจากธรรมชาติ และสามารถเรียงลำดับความสัมพันธ์กับระบบภายในร่างกายได้ดังนี้

1. สีแดง หมายถึง ระบบที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศ ไม่ว่าจะเป็น มดลูก รังไข่ และต่อมลูกหมาก สามารถพบได้ในผลไม้ เช่น มะเขือเทศ บีทรูท แตงโม พริก

2. สีส้ม เกี่ยวข้องกับท้องน้อย ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะ พบได้ในแครอท ส้ม มะละกอสุก

3. สีเหลือง เกี่ยวข้องกับ ตับและกระเพาะอาหาร พบในกล้วย ข้าวโพด ฟักทอง มะม่วง

4. สีเขียว เกี่ยวข้องกับหน้าอกและหัวใจ พบในผักใบเขียว และผลไม้ทั่วไป

5. สีฟ้า เกี่ยวข้องกับลำคอ สามารถทดแทนได้ด้วยอาหารทะเล

6. สีน้ำเงิน เกี่ยวข้องกับใบหน้า พบได้ในอัญชัน

7. สีม่วง เกี่ยวข้องกับระบบสมอง พบในมะเขือม่วง กะหล่ำม่วง มันสีม่วง เบอร์รีชนิดต่าง เป็นต้น

"ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้สุขภาพดีได้ด้วยการรู้จักกินอาหารที่มีประโยชน์จากธรรมชาติ โดยจะต้องกินอย่างสมดุลกันด้วย” ดร.วัลลภ แนะนำ

นอกจากนั้นหากต้องการมีสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกพื้นฐานคือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อารมณ์ดี หัดยิ้มให้กับตัวเองเป็นประจำทุกเช้า กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายสามารถช่วยกระตุ้นออร่าในร่างกายได้ดีเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

โดย แพรวพรรณ สุริวงศ์

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66992646644

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Senior Worldผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Senior World:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท