Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา

Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางหมออามานีย์-ฟาฎิล สวนขวัญเมืองยะลา

◉ นพ.ฟาฎิล อะหะหมัด สาและอารง
พบ. เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
วว.อายุรศาสตร์ วว.อายุรศาสตร์โรคไต
◉ พญ.อามานีย์ สาและอารง
พบ.วว.จิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น
——————————————————
☆☆ บริการตรวจรักษา ☆☆
★ สุขภาพจิตและจิตเวช (เด็ก-วัยรุ่น-ผู้ใหญ่)
สมาธิสั้น ออทิสติก แอลดี ปัญหาการเรียน
เครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค นอนไม่หลับ
ย้ำคิดย้ำทำ ประสาทหลอน ติดสารเสพติด
จิตบำบัด(รายเดี่ยว-คู่สมรส)
ปรับพฤติกรรม ประเมิน-กระตุ้นพัฒนาการเด็ก
ตรวจIQ** ทดสอบบุคลิกภาพ(สมัครงาน)
★ อายุรกรรม : ความดัน-เบาหวาน-ไขมันสูง
โรคหัวใจ กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน
โรคตับ โรคทางเดินหายใจ โรคเลือด โรคข้อ โรคติดเชื้อ
★ โรคไต : ไตอักเสบ ไตเรื้อรัง นิ่ว โรคไต
ฟอกไต(ให้คำปรึกษา-ปรับยา)
★ โรคทั่วไป(เด็ก-ผู้ใหญ่)
★ ฉีดยาคุม-วัคซีนผู้ใหญ่
——————————————————
☆☆ เวลาทำการคลินิก ☆☆ (อัพเดต 3/65)
★ จันทร์-อังคาร-พุธ-ศุกร์
เวลา 17.00-20.00 น.
��คลินิกปิดทุกวันพฤหัสบดี��
★ เสาร์-อาทิตย์
เวลา 09.00-16.00 น.
——————————————————
★ คุณหมอฟาฎิลออกตรวจ ★
วันศุกร์ 17.00 - 20.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ 09.00 - 16.00 น.
——————————————————
☆☆ ติดต่อ ☆☆
★ โทร : 098-013-3047
★ LINE official ID: (มี@ข้างหน้า)
★ Google maps : https://goo.gl/maps/fcFLfUZNTgaxz6Rx5

  🌱
26/09/2025

🌱

เมื่อเย็นดูข่าวเห็นผู้ว่าฯ ชัชชาติตอบคำถามของประชาชนเกี่ยวกับหลุมถนนหน้า ร.พ. วชิรฯ ว่า “หลุมแบบนี้ ญี่ปุ่นซ่อม 7 วันเอง ทำไมกรุงเทพซ่อมเป็นเดือน?”

สิ่งที่น่าชื่นชมคือ การตอบสนองของคุณชัชชาตินั้นสะท้อน Growth Mindset ชัดเจน — แทนที่จะรู้สึก defensive หรือโกรธเพราะถูกถามท้าทาย หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งเท่าญี่ปุ่น เขากลับสนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมทันทีว่า “จริงหรือ? เขาทำยังไงนะ เผื่อเราจะทำบ้าง” นั่นทำให้ได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้น

จริง ๆ ท่าทีแบบนี้หาได้ยาก เพราะหลายคนเวลาโดนท้าทาย สิ่งที่ตัวเองทำ หรือความเชื่อของตัวเอง มักจะรู้สึกถูกโจมตีหรือด้อยค่า แต่คุณชัชชาติตรงข้าม เขาใช้ feedback เป็นโอกาสเรียนรู้และแก้ปัญหา

Growth Mindset คือหัวใจของทัศนคติแบบนี้

• ไม่ตีความความผิดพลาดเป็นเรื่องแย่ แต่เป็นโอกาสเรียนรู้และปรับปรุง
• ทำให้เราไม่รู้สึกด้อยค่าเวลามีคนติหรือ feedback ไม่ตรงใจ
• เราพร้อมฟัง วิเคราะห์ และคิดว่าเราจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร
• กล้าเสี่ยง กล้าทดลอง เพราะรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเพียงขั้นตอนของการเติบโต

พูดง่าย ๆ จากเดิมที่คิดว่า:
“ฉันทำพลาด = ฉันไม่เก่ง” เป็น
“ฉันทำพลาด = ฉันมีโอกาสทำให้ดีกว่าเดิม”

ซึ่งช่วยให้ทั้งการเรียนรู้และความมั่นใจเติบโตไปพร้อมกัน มีน้อยคนนักที่จะมี Growth Mindset ในยุคของเรา ส่วนใหญ่มักเจอในหัวหน้า ผู้นำ ผู้บริหาร

แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกมีทัศนคติแบบนี้?

• ลูกต้องไม่กลัวความผิดพลาด จึงจะกล้าลองสิ่งใหม่ กล้าทำสิ่งยากๆที่ไม่เคยทำ
• พ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่รอบตัวต้องโฟกัสที่ความพยายามและกระบวนการ เน้นความคืบหน้าของตัวลูกเทียบกับตัวลูกเอง ไม่ใช่ผลลัพธ์หรือคะแนน หรือการเทียบกับคนอื่น
• โรงเรียนต้องเลิกระบบ “ผิดเยอะ = แย่ / คะแนนน้อย = ไม่เก่ง ” หรือยกย่องผู้ชนะ ผู้ที่ผิดน้อย

แพทอ่านเรื่อง Growth Mindset มาตั้งแต่ก่อนมีลูก น่าจะ 10 ปีได้ ลูกแพทมีทัศนคติว่า ถ้าทำได้หมดแล้ว แปลว่ามันไม่มีอะไรให้เรียนรู้แล้ว เราต้องขออะไรยากๆ มาทำถึงจะได้เรียนรู้เพิ่ม เพราะฉะนั้นเราไม่ดีใจเวลาลูกทำทุกอย่างถูกหมด ลูกเล่น ลูกลองทุกอย่าง ถ้าพยายามแล้ว ชมได้แล้ว ไม่ต้องรอสำเร็จ

ในโลกที่ลูกอยู่ จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่รู้ = ยาก อยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้าจะสอนให้กลัวผิด ลูกคงใช้ชีวิตไม่ได้ ทำงานไม่ได้ แพทเห็นมามากแล้วจากพนักงาน

เลือกสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ลูก ทดลอง เรียนรู้ และปรับปรุง โดยไม่รู้สึกด้อยค่า เพื่อสร้าง Growth Mindset ที่จะทำให้ลูกสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำในโลก

ภาพ : ผู้จัดการออนไลน์

ผู้เกิดจากเถ้าถ่านของโรคซึมเศร้า
25/09/2025

ผู้เกิดจากเถ้าถ่านของโรคซึมเศร้า

: โนอาห์ ไลล์ส : ชายที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ผู้เกิดจากเถ้าถ่านของโรคซึมเศร้า

โนอาห์ ไลล์ส คือหนึ่งในนักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ณ เวลานี้ หลังจากคว้าทั้งแชมป์โลก และเหรียญทองโอลิมปิก

อย่างไรก็ตาม นอกจากความสำเร็จ คือสตอรี่ นี่คือหนึ่งในนักกีฬาที่มีความสุดในตัวเอง หนึ่งในนั้นคือการเปิดศึกกับบาสเกตบอล NBA จนเหล่าดาราดังแห่งวงการแม่นห่วง ต้องไปนั่งดูการวิ่งชิงเหรียญทองของ ไลล์ส ในโอลิมปิก ปารีส 2024 ก่อนจะต้องลุกออกจากสนามด้วยความเซ็ง เมื่อคนที่พวกเขาแช่ง ดันชนะ

เรื่องราวทั้งสุข เศร้า เหงา และปั่น เกิดกับ โนอาห์ ไลล์ส ทั้งหมดติดตามที่ Main Stand



∎ กำเนิด โนอาห์ ไลล์ส "อัจฉริยะสร้างได้"

นักกีฬาหลายคนมักมีจุดเริ่มต้นในการเล่นกีฬาจากเรื่องง่าย ๆ ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต นั่นคือเรื่องสุขภาพในวัยเด็กที่ไม่ดีนัก เช่นปัญหาเรื่องทางเดินหายใจ คล้ายกับเป็นหอบหืด ซึ่งเรื่องนี้โชคดีมาก ๆ ที่พ่อและแม่ของเขาช่วยได้และเข้าใจปัญหาในทันที

"แน่นอนว่าโรคหอบหืดส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งที่ผมทำ ทั้งในแง่ของสุขภาพ, การออกกำลังกาย หรือบางครั้งก็ส่งผลแม้กระทั่งด้านอารมณ์ เพราะหากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าในทางอารมณ์ ระบบภูมิคุ้มกันของคุณก็จะทำงานแย่ลงด้วย" ไลล์ส อธิบายเรื่องปัญหาสุขภาพในวัยเด็กของเขา ก่อนที่พ่อแม่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้

พ่อของแม่เขาไม่ใช่หมอ แต่นายและนางไลล์ส เป็นนักวิ่งของมหาวิทยาลัย Seton Hall และมีชื่อเสียงระดับท็อปในช่วงเวลานั้น เควิน ไลล์ส ผู้เป็นพ่อ คืออดีตนักวิ่งผลัด 4×400 เมตรทีมชาติสหรัฐอเมริกา ดีกรีแชมป์โลกเมื่อปี 1995 ขณะที่คุณแม่อย่าง เคอิชา เคน บิช็อป ก็เป็นอดีตนักกรีฑาด้วยเช่นกัน

"เขาไม่สามารถกินอะไรได้โดยไม่ไอ เขาเล่นอะไรไม่ได้เลย แล้วคุณภาพชีวิตเขาก็ย่ำแย่" แม่ของเขาอธิบาย

ทั้งคู่รู้ว่าการออกกำลังกายจะช่วยรักษาโรคหอบหืดได้ดีมาก ยิ่งถ้าใช้ร่วมกับการกินอาหารที่เหมาะสม เป็นอาหารเฉพาะทางที่แพทย์ระบุว่าแก้อาการโรคหอบหืดได้ดี อาการของ ไลล์ส จะกลับมาเป็นเด็กปกติที่ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาได้อย่างรวดเร็ว

คิดได้ดังนั้น พวกเขาก็จับ โนอาห์ ไลล์ส ลงลู่วิ่งตั้งแต่ยังเด็ก และเล่นกรีฑาอีกหลากหลายประเภทเพื่อต้านภัยโรคหอบหืด ซึ่งนั่นกลายเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับเขา

เพราะแม้ในเวลาต่อมา พ่อและแม่ของเขาแยกทางกันในช่วงที่ ไลล์ส เป็นวัยรุ่น แต่เขาก็กลายเป็นเด็กที่มีพื้นฐานด้านกรีฑาที่ดี แถมมีร่างกายที่แข็งแรง และฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะทางสำหรับการเป็นนักวิ่งระยะสั้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว นั่นทำให้เขามีเข็มทิศที่ชัดเจนมากพอ แม้จะต้องเสียใจที่ต้องย้ายที่อยู่อาศัยเพราะการหย่าร้าง แต่อย่างน้อยพ่อและแม่ของเขาก็ปั้นให้ โนอาห์ ไลล์ส แข็งแกร่งจนได้รับทุนเรียนฟรีในระดับไฮสคูลที่ TC Williams High School (ปัจจุบันคือ Alexandria City High School) ซึ่งที่นั่นเอง เป็นการผลักดันการวิ่งระยะสั้นของเขาไปอีกระดับ ... จากเด็กวิ่งเร็ว สู่การเป็นนักวิ่งระดับปีศาจของประเทศ



∎ ผมจะเป็นแชมป์โลก

เด็กหนุ่มอย่าง โนอาห์ ไลล์ส ที่เคยผ่านช่วงยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก มีภูมิต้านที่ดีในเรื่องของความมั่นใจและการเผชิญหน้าในการแข่งขันที่มีความกดดันสูง ๆ เนื่องจากเคยผ่านศึกระดับ "มีผลต่อชีวิต" มาก่อน ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร

ในช่วงไฮสคูล ไลล์ส จึงเป็นตัวแทนของโรงเรียนในแทบทุกการแข่งขันไล่ตั้งแต่การวิ่งระยะสั้น วิ่งระยะกลาง ไปจนถึงขั้นการแข่งขันประเภทลานอย่างกระโดดสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยการฝึกและมัดกล้ามที่สร้างมาเพื่อเป็นนักวิ่งระยะสั้น เมื่อร่างกายเป็นหนุ่มเต็มตัว ทุกคนจึงรู้ว่า แทนที่จะส่งเขาแข่งไปหลายอย่าง ๆ สู้เอามาพัฒนาการเป็นนักวิ่งระยะสั้นอย่างเดียวจะดีต่อเขามากกว่า

เมื่อถูกปรับเข้าสู่โหมดการเป็นนักวิ่งระยะสั้น ไลล์ส สร้างสถิติใหม่ในการแข่งขัน New Balance Nationals Indoor ในปี 2016 ทั้งในระยะ 100 เมตร (ทำเวลาได้ 10.17 วินาที) และ 200 เมตร (20.48 วินาที) หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เขากลายเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งระยะสั้นได้เร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา ด้วยการเอาชนะในรายการ USA Junior Championships ด้วยการวิ่ง 100 เมตร และทำเวลาไว้ที่ 10.08 วินาที นั่นคือสถิติที่เขาทำไว้ตอนอายุ 18 ปี

เขารู้ดีว่าตัวเองจะไปได้ไกลแน่หากมีวินัยและมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองบนทางสายนี้ต่อ เพราะเขาใกล้จะทำลาย "กำแพง 10 วินาที" ที่ว่ากันว่าเป็นเส้นกั้นบาง ๆ ระหว่างนักวิ่งชั้นเยี่ยมกับนักวิ่งระดับปีศาจ ซึ่งกำแพง 10 วิที่ว่านี้ นับตั้งแต่ที่ จิม ไฮน์ส ลมกรดชาวอเมริกัน ทำได้สำเร็จเป็นคนแรกเมื่อปี 1968 มีนักวิ่งเพียง 156 คนเท่านั้นที่ทำลายกำแพงดังกล่าวได้สำเร็จ ... โนอาห์ ไลล์ส คิดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจะเป็นคนต่อไป ซึ่งเขาก็ทำได้จริง ๆ

"ตอน โนอาห์ อายุได้ 16 ปี เขาบอกกับผมและตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเป็นนักวิ่งอาชีพหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เขาบออกกับผมแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าเขาท่าจะบ้าไปแล้ว ผมพยายามห้ามเขาเพื่อหาหลักประกันที่ดีกว่าอย่างการเรียนมหาวิทยาลัย นั่นคือสิ่งที่ผมคิด" เคน บิช็อป ผู้เป็นพ่อกล่าว ก่อนจะยอมรับว่าเขาคิดผิดที่พยายามห้ามลูกชายในตอนนั้น

"จริง ๆ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมน่าจะต้องขอโทษเขา ผมรู้ดีว่าเราไม่ควรตัดสินใครจากมุมมองของตัวเอง ไม่ควรบอกเขาว่าไม่มีสิทธิ์ฝัน มันไม่แฟร์เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโนอาห์ที่พยายามทุ่มอย่างสุดตัวเพื่อที่จะทำฝันนั้นให้สำเร็จ พวกเขาเต็มใจที่จะใส่สุดชีวิตเพื่อสิ่งนี้นั้น"

ไลล์ส เข้าสังกัดทีมวิ่งอาชีพโดยเซ็นสัญญากับ adidas แล้วการฝึกแบบรากเลือดก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น ณ ช่วงเวลาดังกล่าว เขาก็ได้รู้เหมือนกันว่าโลกของความเป็นมืออาชีพนั้นกดดันขนาดไหน และคำว่า "ผมจะเป็นแชมป์โลก" ที่เคยลั่นวาจาไว้ในวัยรุ่น มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันง่าย ๆ อย่างที่พูดออกมา



∎ พ่ายแพ้ ซึมเศร้า

ความกดดันของการเป็นมืออาชีพนั้นรุนแรงมหาศาล ไม่มีใครจดจำที่ 2 และ โนอาห์ ไลล์ส ก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แม้ ไลล์ส จะคว้ารางวัลและสร้างสถิติมากมาย แต่โลกเพื่อการเป็นเบอร์ 1 ของเขามันแตกต่างจากที่เคยคิดเอาไว้ เมื่อเขาไปถึงจุดนั้น เขาคิดว่ามันไม่มีความหมายอะไรถ้าไม่สามารถรักษามันไว้ได้ การเป็นเบอร์ 1 คือการต้องชนะ ชนะ และชนะต่อไปเรื่อย ๆ การแพ้เพียง 1 ครั้งทำให้สมองของเขาคิดลบทันที และจากความเครียดนั้นก็ก่อตัวเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งทำให้เขาเกือบเลิกเป็นนักวิ่งมาแล้ว

นอกจากเรื่องกดดันตัวเองแล้ว นิสัยมั่นหน้ามั่นกระโหลกของ โนอาห์ ก็มีส่วนเหมือนกัน เพราะเขามักจะเป็นนักแข่งที่ไม่ค่อยมีกองเชียร์ ... หนักไปทางกองแช่ง เพราะพฤติกรรมปากพาจนในหลาย ๆ ครั้ง และการทำอะไรที่สุดโต่งจนกลายเป็นที่สนใจของสื่อ เรียกได้ว่าทำให้คนอื่นหมั่นไส้ จนเมื่อถึงเวลาแพ้ เขาก็จะโดนล้อเลียนหนักกว่าใครนั่นเอง

เรื่องดังกล่าวหนักข้อและเกิดขึ้นในระหว่างการระบาดของ โควิด-19 ที่ทำให้โอลิมปิก โตเกียว 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ต้องเลื่อนออกไปหนึ่งปี ในช่วงเวลานั้น โลกหยุดชะงัก มันทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าเมื่อต้องหยุดแข่ง ร่างกายจะไม่ดีเหมือนเดิม และจะไม่สามารถรักษาการเป็นเบอร์ 1 ของตัวเองได้

"ความกดดันและวิตกกังวลเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของผม แต่ก็ยังดีที่มันยังไม่ถึงขั้นที่ผมควบคุมมันไม่ได้ ผมต้องกินยาต้านซึมเศร้า มันทำให้ผมน้ำหนักหายไปอย่างฮวบฮาบ และมันส่งผลต่อการวิ่งของผมด้วย นั่นทำให้ผมยิ่งเครียดไปใหญ่" เขาเล่าย้อนความ

โชคยังดีที่ ไลล์ส เป็นคนที่แก้ปัญหาได้ถูกจุด เขาเข้าพบกับนักจิตวิทยาและแพทย์เรื่องสภาพจิตใจถึง 2 คน และตัวของเขาก็เข้าบำบัดเกี่ยวเรื่องนี้ตลอดเวลา ซึ่งการได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญ ทำให้จิตใจของเขาเลิกกลัว และเลิกกังวลได้มาก เขาใช้เวลา 1 ปีก่อนโตเกียวเกมส์ กินยาซึมเศร้า เข้าบำบัดอย่างสม่ำเสมอ และ ไลล์ส ก็กลับมาเป็นคนที่มั่นใจอีกครั้ง

ไดอาน่า แมคแน็บ นักจิตวิทยาที่รักษาไลล์ส บอกว่า มีการวางแผนและวางจิตวัตรต่าง ๆ ก่อนแข่งอย่างชัดเจน ทำให้เขากังวลน้อยลง และทำให้เขาเข้านอนแบบปกติ หลับลึกจนไม่ต้องคิดอะไร จากนั้นค่อยมาโฟกัสเรื่องที่ต้องทำในตอนเช้าของวันใหม่

แม็คแน็บจะคุยกับไลล์สในคืนก่อนแข่งเสมอ มีการฝึกหายใจและจิตนาการถึงชันชนะที่รออยู่โดยใช้คีย์เวิร์ดว่า "เสียงระฆังแห่งเซน (สำหรับผู้ชนะ) จะดังขึ้นมาเสมอ" ซึ่งนั่นทำให้จิตใจของ ไลล์ส สงบและพร้อมแข่งด้วยความมุ่งมั่นมากขึ้น

"ฉันบอกกับเขาเสมอ ลองย้อนกลับไปว่าคุณคือเด็กชายโนอาห์ในวัย 12 ปี ... เด็กคนนั้นไม่กลัวอะไรเลย หัวเราะอย่างสนุกสนาน และพุ่งไปข้างหน้าในทุกการแข่งขัน คุณจะเป็นแบบนั้น ... วิ่งไปตามลู่ของฉัน ไม่มีใครจะหยุดฉันได้ ฉันร้องแรงเกินจะต้าน และฉันคือลูกรักที่พระเจ้าประทานสิ่งที่ไม่มีใครอื่นได้รับ" แม็คแน็บ อธิบายบทสนทนาคร่าว ๆ



∎ ก่อนถึงเส้นชัย

โนอาห์ ไลล์ส กลับมาเป็นคนเดิมที่ไม่สนโลก และสนแค่ตัวเองให้สนุกกับสิ่งที่ต้องเผชิญมากที่สุด เขาไม่กลัวที่จะต้องพูดอะไรต่อหน้าสื่อ หรือทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นอิสระ ถึงแม้บางครั้ง ปากและพฤติกรรมของเขายังคงหาแสง หาเรื่อง เรียกทัวร์และกองแช่งได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โนอาห์ ไลล์ส แสดงออกถึงความหลงใหลในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งมังงะ อนิเมะ และการ์ดเกม อย่างชัดเจนเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะปล่อยท่า "พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้า" จาก Dragon Ball หรืองัดการ์ด Yu-Gi-Oh มาโชว์ แต่ก็มองได้เช่นกันว่า เป็นการเล่นกับแฟน ๆ และลดความกดดันให้ตัวเองก่อนแข่ง

ขณะเดียวกัน เจ้าตัวก็ใช้ปากหาแสงสร้างซีนได้อีก โดยหลังคว้า 3 เหรียญทอง ในกรีฑาชิงแชมป์โลก 2023 เจ้าตัวก็เอ่ยปาก สร้างศัตรูกับเหล่าสตาร์ดังแห่งบาสเกตบอล NBA เสียอย่างนั้น

"บอกเลยว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหัวเสียมากที่สุด คือเวลาดูบาสเกตบอล NBA แล้วเห็นคำว่า 'แชมป์โลก' ... แชมป์โลกอะไรวะนั่น ? อย่าเข้าใจผมผิด ผมรักประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สหรัฐอเมริกาไม่ใช่โลกนะ"

แม้จะสร้างความขัดแย้งให้หมู่ผู้คนไม่น้อย โดยเฉพาะกับเหล่าสตาร์ NBA ที่ถึงกับต้องมาดูผลงานให้เห็นกับตา กะแช่งเต็มที่ ก่อนต้องผิดหวังกลับไป เมื่อ ไลล์ส คว้าเหรียญทอง วิ่ง 100 เมตร แต่บางที นี่แหละ คือหนทางสู่เหรียญทองโอลิมปิกในแบบของเขา

"โอ๊ย ผมรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ปี 2021 ผมไม่ใช่คนเดิมแล้วล่ะ ผมก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ผมคิดว่า ถึงเวลาที่ผมต้องบอกว่า นี่คือรอบชิงชนะเลิศ และผมจะต้องทำสำเร็จแน่ ... ผมจะพูดแบบนี้เมื่อถึงเวลา"

"ผมเคยทำอะไรที่แย่กว่านี้มาแล้ว ... เหรียญทองแดงในโอลิมปิกรอบที่แล้ว (จาก วิ่ง 200 เมตร) จุดไฟให้ผมลุกขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่วันนั้น ผมกลับมาเป็นตัวเองและคว้าเหรียญทองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมกลายเป็นคนที่ทำลายสถิติของอเมริกา ... ทุกชัยชนะ คือเป้าหมายของผม และผมยืนยันได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

"ผมวางแผนเพื่อสิ่งนี้มานาน ยิ่งกว่าเหรียญทองโอลิมปิกครั้งนี้ ผมจะทำให้ทุกคนรู้จักผมมากกว่าแค่นักวิ่ง ผมจะเป็นคนดังของโลกไม่ใช่แค่เรื่องกีฬาเท่านั้น ... ผมสร้างแบรนด์ให้ตัวเอง แต่อย่างไรเสีย ตำแหน่งชายที่เร็วที่สุดในโลกมันก็เท่ไม่หยอกใช่ไหมล่ะ ?"

หลังจาก 1 เหรียญทองโอลิมปิก และ 7 เหรียญทองชิงแชมป์โลก ซึ่ง 4 เหรียญในนั้นคือแชมป์โลกวิ่ง 200 เมตร ชาย 4 สมัยติด อะไรที่รอเขาอยู่น่ะเหรอ ? โนอาห์ ไลล์ส ผู้อหังการ กำลังมองไปยังที่เป้าต่อไป ...และเป้านั้นใหญ่สุด ๆ ชนิดที่ว่าคนที่ได้ยินต้องเลิกคิ้วสงสัยว่า เขาจะเอาจริงเหรอ ? สิ่งนั้นคือการทำลายสถิติโลกของ ยูเซน โบลท์ ที่ทำไว้ 9.58 วินาที

"ถึงผมจะบอกว่าผมเป็นนักสร้างแบรนด์ชั้นยอด แต่ผมก็อยากเป็นนักกีฬากรีฑาที่เก่งที่สุด" ไลลส์กล่าว "ผมยังอยากเป็นนักกีฬากรีฑาที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาด้วย"

โรคซึมเศร้าคงทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว จากนี้ไป เราต้องมาลุ้นกันว่า ไลล์ส จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ ?

#สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน #โอลิมปิก #ปารีส2024 #วิ่ง100เมตร #โนอาห์ไลล์ส

18/09/2025

vs.

🚩 การดีลกับเด็กม้าตีนปลาย
18/09/2025

🚩 การดีลกับเด็กม้าตีนปลาย

ในวงการฟุตบอลเยาวชนไทย เรามักเจอเด็กที่พัฒนาช้ากว่าเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกาย ความแข็งแรง ความเร็ว หรือแม้กระทั่งทักษะการเล่น เด็กกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "Late Developers" ซึ่งโค้ชหลายคนอาจมองว่าเป็นปัญหา แต่ในความจริงแล้ว พวกเขาอาจกลายเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพสูงในอนาคต หากเราเข้าใจและให้โอกาสที่เหมาะสม

Case Study ของเรื่องนี้ 📌
🌟ลีโอเนล เมสซี่ ตอนเด็กตัวเล็กกว่าคนอื่นมากจนหลายสโมสรในอาร์เจนติน่าไม่กล้ารับเข้าทีม แต่บาร์เซโลน่าเลือกที่จะเชื่อและลงทุนรักษาโรคฮอร์โมนเจริญเติบโตให้ สุดท้ายเขากลายเป็นนักเตะที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอล
🌟เจมี่ วาร์ดี้ เคยโดนปล่อยตัวตอนวัยรุ่น เพราะตัวเล็กและไม่มีใครคิดว่าจะเล่นอาชีพได้ แต่เขาไม่ยอมแพ้ ไต่เต้าจากลีกสมัครเล่น จนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเลสเตอร์ ซิตี้
🌟ลูก้า โมดริช ตอนเด็กถูกมองว่าตัวเล็กเกินไปสำหรับฟุตบอลอาชีพ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและพัฒนาการในระยะยาว เขากลายเป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ในปี 2018

เพราะฉะนั้น โค้ชควร…
1️⃣อย่าตัดสินเร็วเกินไป
เด็กที่พัฒนาช้าในวันนี้ ไม่ได้แปลว่าจะด้อยกว่าเสมอไป ร่างกายของเขาอาจโตช้ากว่าเพื่อน แต่เมื่อถึงเวลาเหมาะสม เขาอาจพัฒนาเร็วมาก

2️⃣สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
เด็กกลุ่มนี้มักรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งเท่าเพื่อน โค้ชต้องทำให้เขามั่นใจ กล้าเล่นและกล้าลองผิดลองถูก

3️⃣ดึงจุดแข็งที่มีออกมา
บางครั้งเขาอาจยังไม่เร็วหรือแข็งแรงเท่าเพื่อน แต่กลับมีการอ่านเกมดี มีความเข้าใจแท็คติกหรือมีความมุ่งมั่นสูง โค้ชต้องมองเห็นและพัฒนาในจุดนี้

4️⃣คิดระยะยาวมากกว่าสั้น
ผมมักบอกทุกคนและตัวเองเสมอว่า หน้าที่ของโค้ชไม่ใช่การหาเด็กที่เก่งที่สุดวันนี้ แต่คือการพัฒนาเด็กให้ไปถึงศักยภาพสูงสุดในอนาคต

ผมเชื่อว่าการให้เวลา ความเชื่อมั่น และโอกาสกับ Late Developers คือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โค้ชจะมอบให้ได้ เพราะเส้นทางฟุตบอลไม่ได้วัดกันที่ใครเริ่มก่อน แต่วัดกันที่ใครไปถึงสุดทางได้ต่างหาก

Official Partner - Saramonic Thailand 🎙️


#บอลไทย #นักฟุตบอล #ฟุตบอลเด็ก
#โค้ชฟุตบอล #ฟุตบอลไทย #ฟุตบอลเยาวชน
#ช้างศึก #ฟุตบอลทีมชาติไทย

♥️💬 ชมที่ความพยายาม💪🏻💯 #ล้มแล้วลุก
17/09/2025

♥️💬 ชมที่ความพยายาม💪🏻💯
#ล้มแล้วลุก

เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นนักสู้ ไม่ยอมแพ้ แม้เหนื่อยล้า
สู้ยิบตาจนประสบความสำเร็จ✨✨

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เด็กที่เรียนเก่งอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
แต่เด็กที่

“ไม่ยอมแพ้”

แม้จะเหนื่อย ท้อ หรือผิดหวังต่างหาก คือ
ผู้ที่มีโอกาสไปถึงความสำเร็จได้จริง

นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “Grit”

Grit คืออะไร?🌟

Grit คือ ความมุ่งมั่นระยะยาวและความพากเพียร
ต่อเป้าหมาย (passion + perseverance)

แนวคิดนี้มาจากงานวิจัยของ
ดร. แองเจลา ดั๊กเวิร์ธ (Angela Duckworth)
นักจิตวิทยาเชิงบวกจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
ผู้พบว่า

Grit เป็นปัจจัยสำคัญที่คาดการณ์ความสำเร็จ
ในชีวิตได้ดีกว่าความฉลาด (IQ) หรือแม้แต่ความสามารถเฉพาะด้าน

เราจะสร้าง Grit ในตัวลูกได้อย่างไร?✨✨🧒🏻👦🏻

💬สร้างเป้าหมายเล็กที่มีความหมาย
เด็กต้องรู้ว่าทำไมเขาจึงต้องพยายาม
เป้าหมายไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ในตอนแรก

เริ่มจากเป้าหมายเล็ก ๆ ที่เขาเลือกเอง เช่น

“เก่งคณิตให้ได้ภายในเทอมนี้”

หรือ “กล้าเสนอความเห็นในห้องเรียนให้ได้
สัปดาห์ละครั้ง”

แล้วพ่อแม่ช่วยเป็นกระจกสะท้อนความก้าวหน้า
ให้เขาเห็น

💬ชมความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์

เมื่อเด็กพยายามแม้จะยังไม่สำเร็จ พ่อแม่ควรพูดว่า

“แม่ภูมิใจที่ลูกไม่ยอมแพ้เลยนะ”

แทนที่จะพูดว่า

“เก่งจังที่ได้คะแนนเต็ม” เพราะการชมที่พฤติกรรมจะช่วยให้เด็กเห็นค่าของความพยายามมากกว่าผลลัพธ์

💬ให้โอกาสลูกเจอกับความล้มเหลว

อย่าด่วนช่วยทุกครั้งที่ลูกเจอปัญหา การให้ลูกลองผิดลองถูก ฝึกแก้ปัญหาด้วยตนเอง และล้มแล้วลุกได้

คือการปลูก Grit อย่างแท้จริง พ่อแม่เป็นเพียงผู้สนับสนุน ไม่ใช่

“ผู้แก้ปัญหาให้ตลอดเวลา”

💬สอนเรื่อง “ความเหนื่อยไม่ใช่จุดจบ”

เด็กหลายคนเข้าใจผิดว่าการเหนื่อยหรือท้อเท่ากับ

“ไม่เหมาะกับสิ่งนั้น”

ต้องสอนให้เขาเห็นว่า ความเหนื่อยเป็นเพียง
ช่วงเวลาหนึ่งของการฝึกฝน และความพยายาม
อย่างสม่ำเสมอคือสิ่งที่หล่อหลอมความสามารถ
ที่แท้จริง

💬 เป็นแบบอย่างของความมุ่งมั่น

เด็กเรียนรู้จากพ่อแม่มากกว่าคำพูด ถ้าพ่อแม่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค ลูกก็จะซึมซับแนวคิดนี้ไปโดยธรรมชาติ

💬 ให้กำลังใจด้วยความเข้าใจ
มีช่วงที่ลูกอยากยอมแพ้เป็นธรรมดา แต่แทนที่จะบอกว่า

“อย่าขี้แพ้” ให้ลองพูดว่า

“แม่รู้ว่ามันยาก แต่แม่เชื่อว่าลูกทำได้ เพราะลูกเคยผ่านอะไรยาก ๆ มาก่อนแล้ว”

การยอมรับความรู้สึกพร้อมกระตุ้นกำลังใจเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยง Grit
ได้ดีที่สุด

Grit ไม่ใช่สิ่งที่สร้างได้ในชั่วข้ามคืน
แต่เป็นการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องผ่านวิธีคิด การสนับสนุน และความสัมพันธ์อันเข้าใจของพ่อแม่

เพราะลูกอาจไม่ต้องเป็น “อัจฉริยะ”
เพื่อไปถึงฝัน แต่ถ้าเขามี Grit

เขาจะ

”ลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง”

ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็ตาม

💡 อย่าลืมว่า พ่อแม่ที่มี Grit จะมีโอกาสเลี้ยงลูกที่มี Grit ได้เช่นกัน

สอนลูกแบบเข้าใจง่าย ๆ

อย่าลืมกด See first ติด ⭐️
เพื่อติดตามเพจแม่มิ่งนะคะ
#แม่มิ่ง
#เพจเลี้ยงลูกให้ถูกทางbyแม่มิ่ง
#เลี้ยงลูกเชิงบวก
#เลี้ยงลูกวัยรุ่น
#ปัญหาเลี้ยงลูก
#ปรึกษาปัญหาเลี้ยงลูกจ

 #ความเลวร้ายในวัยเด็ก 💔❤️‍🩹🧠
16/09/2025

#ความเลวร้ายในวัยเด็ก 💔❤️‍🩹🧠

🧠 ความเลวร้ายในวัยเด็ก เล่นงานสมองแต่ละจุด ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน

📊 ภาพนี้จากงานวิจัยของ Teicher et al. (2016) ที่ศึกษาผลของความรุนแรงในวัยเด็ก เช่น การทำร้ายร่างกาย, การทำร้ายเชิงจิตใจรุนแรง, การล่วงละเมิดทางเพศ, การถูกทอดทิ้ง ว่า

‘ช่วงอายุไหน’ ที่เมื่อเกิดแล้ว จะวางสารตั้งต้นในการก่อความผิดปกติในอนาคตจนนำไปสู่โรคทางจิตเวชได้มากขึ้น โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า โดยเขาใช้ผลตรวจหลายอย่าง (fMRI, ผล human/animal model) ในการวัดปริมาตรของสมองแต่ละจุด


ผลลัพธ์ค่อนข้างน่าสนใจค่ะ
สมองแต่ละจุด มีช่วงอายุที่เสี่ยงไม่เท่ากัน


1️⃣ สมองส่วน Hippocampus

▪️หน้าที่: สร้างความจำระยะยาว, การเรียนรู้, การนึกความจำ
▪️ช่วงอายุที่มีผลมากที่สุด: อันดับหนึ่ง 3-5 ปี, อันดับสอง 11-13 ปี
▪️ผลที่อาจเกิดขึ้น: วางสารตั้งต้นของโรคซึมเศร้า/PTSD, ส่งผลต่อความจำการเรียนรู้โดยเฉพาะวัยเรียนในอนาคต
⚠️ นี่อาจจะเป็นคำตอบเรื่องเรียนรู้ช้า/จำอะไรไม่ค่อยไหวระหว่างเรียน


2️⃣ สมองส่วน Amygdala

▪️หน้าที่: สร้างอารมณ์เชิงลบ ต่อ สิ่งคุกคาม
▪️ช่วงอายุที่มีผลมากที่สุด: ก่อนเข้าสู่วัยรุ่นเล็กน้อย
▪️ผลที่อาจเกิดขึ้น: วางสารตั้งต้นของโรคซึมเศร้า/PTSD, การตอบสนองต่อข้อมูลเชิงลบ จะรุนแรง เศร้าง่าย/โกรธง่าย


3️⃣ สมองส่วน Prefrontal cortex

▪️หน้าที่: วางแผน/ตัดสินใจ, คุมอารมณ์
▪️ช่วงอายุที่มีผลมากที่สุด: ช่วงกำลังเข้าสู่วัยรุ่น (เป็นช่วงที่สมองส่วนนี้มีการปรับวงจรมากที่สุด)

▪️ผลที่อาจเกิดขึ้น:
จุดที่น่าสนใจคือ แต่ละชนิดความรุนแรง เล็งจุดย่อยๆ ต่างกัน
✔️ ความรุนแรงทางจิตใจ/ทอดทิ้ง: โดนส่วน ACC/Precuneus หนัก ผลคือ เสี่ยงเกิดภาวะเหม่อถึงตัวเองบ่อย มักจะเป็นแง่ลบ ซึ่งเป็น feature นึงของโรคซึมเศร้า
✔️ การทำร้ายร่างกาย/การล่วงละเมิดทางเพศ: โดนส่วน OFC/dlPFC หนัก ผลคือ เสี่ยงเกิดภาวะสิ้นยินดี/การควบคุมอารมณ์ที่แย่ลง


📚 จริงๆ มีงานวิจัยอื่นๆ ที่ศึกษาแยกส่วนนะคะ ที่มีข้อมูลสนับสนุนหนานแน่นมากๆ คือ Hippocampus นี่แหละ ที่ยังมีวิจัยเยอะ ยันปี 2024-2025 เลย


💡 อ่านแล้วใจเย็นค่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องลงเอยแบบนี้ อย่างที่เราย้ำเสมอคือ ปรบมือข้างเดียวไม่เคยดัง โรคซึมเศร้าเหมือนเอามือสิบมือมาปรบพร้อมกัน มันต้องมีหลายปัจจัยค่ะ พอเหมาะพอเจาะ แล้วไป ‘คลิก’ เริ่มโรคตอนโตแล้วค่ะ (ปัจจัยมีอะไรบ้าง เราเขียนไว้ในคอมเมนท์นะคะ)

แต่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความรุนแรงในวัยเด็กทุกรูปแบบยิ่งรุนแรงมาก ยิ่งส่งผลต่อทิศทางของสมองในอนาคต เพราะสมองพยายามปรับตัวไปในทิศทางที่สู้กับสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น

นึกเรื่องร้ายๆ ยากขึ้น/ตอบสนองแบบดุดันง่ายขึ้น เพื่อปกป้องเจ้าของร่างกายไม่ให้เจ็บปวด แต่กลายเป็นถ้าเกิดมากไป มันส่งผลต่อการใช้ชีวิต การเรียน ความสัมพันธ์ ตลอดจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า


ขอให้ทุกท่านดีขึ้นในทุกๆ วันนะคะ ยังมีทางฟื้นฟูและป้องกันได้เสมอ

14/09/2025

เด็กที่โมโหร้ายกับคนที่บ้าน แต่ นิ่ง เรียบร้อย
ขี้อาย ที่โรงเรียน
สาเหตุและแนวทางการรับมือสำหรับ ผู้ปกครอง

09/09/2025

‘พริม’ เรียนอยู่ม.4 พ่อแม่พามาตรวจเพราะการเรียนตกลง ก่อนหน้านี้เรียนดีมาตลอด

“ไม่เข้าใจค่ะ ว่าลูกเป็นอะไร ตั้งแต่เด็กทุกคนบอกพ่อกับแม่ว่า ลูกสาวอย่างพริมมีแววฉลาดกว่าเพื่อนๆ ครูอนุบาลก็บอกว่าพริมเรียนเก่งมาก” คุณแม่บอก


พริมเป็นลูกคนเดียว ประวัติตั้งแต่เด็กๆ คือ พริมสอบเข้าป.1 ในโรงเรียนที่พ่อแม่มากมายอยากให้ลูกเข้าเรียน โดยสอบได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีการช่วยเหลือพิเศษจากพ่อแม่

หลังเข้าเรียน ป.1 พริมก็เรียนได้ดี สอบได้คะแนนดีมาตลอด เป็นลูกสาวที่พ่อแม่ภูมิใจ

“เป็นลูกที่ดีสมชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เขา”

พ่อแม่บอกกับหมอ (พริม/Prim ภาษาอังกฤษ มีความหมายว่า ‘มีระเบียบ เรียบร้อย เหมาะสม สงบเสงี่ยม’)


หลังเรียนจบป.6 พริมก็ได้ไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่พ่อแม่ส่วนใหญ่นิยมให้ลูกๆไปสอบ

แน่นอนพริมสอบเข้าได้ เพราะพริมเรียนเก่ง แต่ใจจริงพริมเองก็ไม่ได้อยากไปเรียนที่นี่เท่าไหร่

โรงเรียนนี้เรียนหนัก การบ้านเยอะมาก พริมคิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเก่าบางคนด้วย แต่เมื่อพ่อแม่อยากให้ไป พริมก็ยอมไป

จุดเปลี่ยนเริ่มหลังจากพริมเข้าเรียนม.1 พ่อแม่บอกว่าพริมต้องเรียนพิเศษหนักขึ้น (จากเดิมที่เรียนอยู่แล้ว)


ช่วงอยู่ม.ต้น พริมต้องเรียนพิเศษทุกวันหลังเลิกเรียนตอนเย็นถึงตอนค่ำ

ไม่ได้กินข้าวเย็นเป็นกิจจะลักษณะ แม่จะซื้อข้าวปั้นสามเหลี่ยม ไม่ก็แซนด์วิช หรือข้าวกล่องแช่เย็นจากร้านสะดวกซื้อให้กินตอนหลังเลิกเรียน ที่ก็ต้องนั่งรถติดอยู่ในรถ

กว่าจะถึงบ้านก็ราวสามทุ่ม และต้องทำการบ้านรายงานจากโรงเรียนให้เสร็จราวๆ ห้าทุ่ม บางครั้งก็เกือบเที่ยงคืน และต้องตื่นเช้าเพื่อไปโรงเรียน นับเวลานอนราวๆ 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งน้อยเกินไปกับเด็กวัยอย่างพริม

นอกจากวันธรรมดาที่ต้องเรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์ พริมก็ต้องเรียนเช่นกัน


“เด็กคนอื่นเขาก็เรียนกันนะหมอ ไม่เห็นมีปัญหา ลูกก็บ่นว่าเหนื่อย แต่เราก็กลัวว่าเขาจะตามเพื่อนไม่ทัน แล้วม.4 ลูกต้องไปสอบเข้าโรงเรียนใหม่ด้วย”

พ่อแม่พยายามอธิบายเหตุผลที่ให้ลูกเรียนพิเศษเยอะมาก


หลังจากที่สอบเข้าในโรงเรียนใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง พริมอยู่ม.4 ต้องปรับตัวใหม่ กับคุณครูใหม่ เพื่อนใหม่ วิชาใหม่ๆ

หลังเรียนเสร็จต้องทำการบ้าน ซึ่งเยอะอยู่แล้ว และเรียนพิเศษออนไลน์ต่อ


พริมก็เริ่มมีอาการเหม่อ ไม่มีสมาธิ จดงานไม่ทัน บางครั้งก็ขี้ลืมมากขึ้น และอารมณ์หงุดหงิดง่าย คะแนนสอบตกลง

พ่อแม่สงสัยว่าพริมอาจจะมีปัญหาการเรียนที่ต้องรักษาเลยพามาตรวจ

“เราอยากให้ลูกเรียนเก่งๆ จะได้มีอนาคตที่ดี มีงานการดีๆ ทำ”


พ่อแม่คาดหวังว่าพริมต้องเรียนหมอ แต่จริงๆ พริมอยากเรียนคณะอื่นมากกว่า

แต่เมื่อบอกพ่อแม่ก็กลายเป็นว่า “ถ้าเรียนเก่งๆแบบนี้ ไม่ได้เรียนหมอก็น่าเสียดาย คนเก่งๆ เขาเรียนหมอทั้งนั้น”

พริมคิดว่าที่เรียนตกลง คงเป็นเพราะเธอพยายามน้อยเกินไป และเริ่มคิดโทษตัวเอง พริมบอกว่าเธอก็พยายามทำอย่างที่พ่อแม่บอกทุกอย่าง แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเหนื่อยมาก


เด็กหลายคนที่หมอคุยด้วยก็คล้ายๆ พริม จะอย่างไรก็ตามความรู้สึกของพ่อแม่มีอิทธิพลกับเขาเสมอ ลูกทุกคนอยากเป็นลูกที่พ่อแม่ชื่นชมและภูมิใจ

“เพราะรักลูกนะหมอถึงต้องให้เขาเรียนหนัก เราไปรับไปส่งเขาที่โรงเรียน พาไปเรียนพิเศษ นั่งรอเขาทุกวัน เราก็เหนื่อยเหมือนกัน”

หมอไม่ได้สงสัยในความรักที่พ่อแม่มีให้กับพริมหรอก หมอเชื่อว่าพ่อแม่รักพริมมาก


จริงๆ แล้ว พริมกำลังอยู่ในภาวะเครียดจากการเรียนที่มากไปและปรับตัวไม่ได้ นอกจากนั้นก็นอนหลับพักผ่อนน้อยเกินไป (Sleep deprivation)

เด็กที่มี Sleep deprivation จะมีอาการไม่มีสมาธิเวลาเรียน ส่งผลให้เกิดปัญหาการเรียนได้ ทางแก้ไขคงไม่ใช่เริ่มแก้ไขจัดการที่ตัวเด็ก หากแต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือและความเข้าใจจากพ่อแม่ ให้ลูกได้พักผ่อนนอน( National sleep association แนะนำให้เด็กวัย 6-13 ปี นอนหลับประมาณ9-11 ชม.) และมีเวลาพักผ่อนเป็นส่วนตัวบ้าง คือจะเรียนพิเศษก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเรียนหนักแบบที่เป็นอยู่ มิฉะนั้น เด็กที่มีความสามารถทางการเรียนเช่นพริม อาจจะกลายเป็นเด็กที่ต่อต้านการเรียนไปเลย หมอก็เคยเห็นอยู่บ่อยๆ


สถานการณ์ของพริมตอนนี้เหมือนกับเส้นเชือกที่ถูกขึงให้ตึงจนเกือบจะขาด ทุกอย่างในชีวิตไม่ควรจะตึงหรือหย่อนเกินไป ความสมดุลมีความสำคัญยิ่ง

ในความเป็นจริงการเรียนพิเศษเยอะๆ ก็ไม่ได้กำหนดว่าจะทำให้เด็กเรียนเก่งขึ้นเสมอไป ถ้าเรียนเยอะไปเด็กก็ยิ่งเครียดอีกต่างหาก กลายเป็นเบื่อการเรียนไปเลยก็มี บางคนมีปัญหาทางจิตใจ ซึมเศร้า วิตกกังวล


สุดท้ายหมออยากบอกว่า คนเราจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งนั้นไม่ได้จะเป็นปัจจัยเดียวที่กำหนดว่าชีวิตจะมีความสุขหรือไม่ หากแต่สุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีต่างหากที่มีความสำคัญยิ่งในเรื่องของมุมมองต่อสถานการณ์ในชีวิต การมีสุขหรือทุกข์ของคนๆหนึ่ง

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ หมอในฐานะจิตแพทย์เด็ก เริ่มพบเด็กที่กำลัง ‘สำลักการเรียน’ แบบพริมมากขึ้นเรื่อยๆ และอายุน้อยลงๆ ด้วยค่ะ


หมายเหตุ: เรื่องของพริมเป็นเรื่องที่หมอดัดแปลงมา เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับบุคคลที่สาม)

#หมอมินบานเย็น

 #ซึมเศร้า  #ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล 🧠
30/06/2025

#ซึมเศร้า #ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล 🧠

❌ ต้นตอของโรคซึมเศร้า ไม่ใช่สารเคมีไม่สมดุล

✅ แต่เป็นเซลล์ประสาทเสียหาย, ลดการแตกแขนง, ลดการเชื่อมต่อ


แล้วพอเซลล์ประสาทมันเสียหายลดการทำงานลง
▶️ มันเลยสร้างสารสื่อประสาทลดลง
▶️ ความหนาแน่นของการเชื่อมต่อลดลง ทำให้ดูภาพตรวจ fMRI แล้วฝ่อลง


ซึ่งถ้าถามว่าต้นตอแต่แรกที่เซลล์ประสาทเสียหายเกิดจากอะไร คำตอบคือ มาจากปัจจัยเสี่ยงซึมเศร้าทำให้
☑️ เครียดเรื้อรัง cortisol สูงลอยจนเกิดพิษ
☑️ เครียดเรื้อรัง adrenaline กระตุ้นการอักเสบ
☑️ microglia กระตุ้นรุนแรง จนปล่อยการอักเสบ
☑️ ทั้งหมดรบกวนการสร้างสาร BDNF
☑️ มีพันธุกรรมและพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เครียดได้นาน และสารสื่อประสาทขนส่งไม่ดี


ซึ่งสาร BDNF เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ประสาทงอก เป็นพระเอกหลักที่จะทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น สามารถเพิ่มขึ้นได้โดย

✅✅ กินยาต้านเศร้าต่อเนื่อง 2–4 สัปดาห์ขึ้นไป จะเริ่มเห็นผลการงอก

✅ ออกกำลังกายให้ฮอร์โมน lactate และ irisin มากระตุ้นการสร้าง

✅ การนอนเพียงพอช่วยได้ ในช่วงแรกอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วย


ดังนั้น “ซึมเศร้า ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล”

⛳️ ชวนทำความเข้าใจเหตุผลที่ต้องใช้ #ระยะเวลา นานเพียงพอ..ในการ  #กินยาต้านเศร้า💊
12/06/2025

⛳️ ชวนทำความเข้าใจเหตุผลที่ต้องใช้
#ระยะเวลา นานเพียงพอ..ในการ #กินยาต้านเศร้า💊

🧠 ยาต้านเศร้าต้องกินต่อเนื่องหลายสัปดาห์ เพราะกลไกหลักคือเพิ่มสารสื่อประสาทให้ ‘นานพอ’ ที่จะกระตุ้นการสร้างสารงอกเซลล์ประสาท BDNF


ดังนั้นเป้าหมายหลัก:

❌ ไม่ใช่: กินยา ➝ เพิ่มสารสื่อประสาท ➝ ผลการรักษา

✅ แต่เป็น: กินยา ➝ เพิ่มสารสื่อประสาท ➝ กระตุ้นการสร้าง BDNF ➝ เซลล์ประสาทที่เสียหาย กลับมางอก (ใช้เวลา) ➝ เซลล์ประสาทกลับมาปกติ ➝ สร้างสารสื่อประสาทปกติ ➝ สารสื่อประสาทกลับมาสู่ปกติ ➝ ผลการรักษา


ถ้าให้เห็นภาพชัด ให้ดูภาพในงานวิจัยจริงๆ ที่เขาใช้กันค่ะ


ในสมองของเรา จะมีการแบ่งโซนมากมาย ที่มีหน้าที่ต่างกัน
แต่ซูมเข้าไป มันก็แค่ ‘วงจร’ ที่เซลล์ประสาทมันคุยกัน

โดยเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า
มักจะใช้สารสื่อประสาท serotonin, norepinephrine
และ dopamine ในการ ‘ติดต่อ’ กับเซลล์ประสาทอีกเซลล์


แต่การติดต่อนั้นมันมีทั้งผลระยะสั้นและระยะยาวคือ
🔺 ระยะสั้น: สั่งให้เซลล์ประสาทนั้นทำงาน (แล้วแต่บริเวณว่าหน้าที่อะไร)
🔺 ระยะยาว: สั่งให้เซลล์ประสาทนั้นสร้างสารงอก BDNF


ตัวอย่างในภาพ:

เซลล์ประสาทหมายเลข 1️⃣: หลั่งสารสื่อประสาท ไปกระตุ้นเซลล์ 2

เซลล์ประสาทหมายเลข 2️⃣: โดนกระตุ้นแล้ว เกิดคำสั่งให้สร้าง BDNF

เซลล์ประสาทหมายเลข 3️⃣: โดน BDNF กระตุ้นเรื่อยๆ จนกลับมาแตกแขนง (Synaptogenesis) และถ้าจุดนั้นเพิ่มจำนวนได้ ก็จะกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาท (Neurogenesis)เช่นที่ hippocampus


โรคซึมเศร้าทำให้ 1️⃣ เสียหาย ส่งผลต่อเนื่องไปยัง 2️⃣3️⃣ ทำให้ได้ BDNF ลดลง ทำให้เซลล์ประสาทยิ่งขาดการฟื้นฟู


ยาต้านเศร้าไปทำให้สารสื่อประสาทจาก 1️⃣ ➝ 2️⃣ สูงค้างจนกระตุ้นการงอกได้ค่ะ


พอเราเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมด
มันจะรู้โดยอัตโนมัติว่า ยาไม่ได้กินเพื่อเติมสารสื่อฯ เป็นพักๆ
แต่ต้องกินต่อเนื่องเสมอ ไม่งั้นไม่เห็นผล

หากเกิดผลข้างเคียงใดๆ ปรึกษาจิตแพทย์เสมอ
จะได้ปรับเปลี่ยนแผนการรักษาใหม่ค่ะ

 #แจ้งวันหยุดทำการคลินิก 🎉เทศกาลรายอ‘68🎉 #ปิด 🍏วันเสาร์ 7/6/68 - วันจันทร์ 9/6/68 🍋🍒 #เปิด 🍎 วันอังคาร 10/6/68 : 17.00-2...
02/06/2025

#แจ้งวันหยุดทำการคลินิก 🎉เทศกาลรายอ‘68🎉

#ปิด 🍏วันเสาร์ 7/6/68 - วันจันทร์ 9/6/68 🍋🍒
#เปิด 🍎 วันอังคาร 10/6/68 : 17.00-20.00 น. 🥳
(เปิดเฉพาะกิจหลังหยุดเทศกาล)

🤍 ขออภัยในความไม่สะดวก🙏🏻

Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา 🎊🎉
تَقَبَّلَ اللهُ مِنَّا وَمِنْكُمْ🎉🎊

⛳️  #งานวิจัยของ Blair, C., & Raver, C. C. (2015) เรื่อง“School Readiness and Self-Regulation: A Developmental Psychobio...
26/05/2025

⛳️ #งานวิจัยของ Blair, C., & Raver, C. C. (2015)
เรื่อง“School Readiness and Self-Regulation: A Developmental Psychobiological Approach”
ตีพิมพ์ใน Annual Review of Psychology, 🍒

#เน้นว่าความพร้อมในการเข้าเรียน (school readiness)
#ไม่ได้ขึ้นกับทักษะวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ
#การพัฒนาของสมอง #ระบบประสาท
#และการควบคุมตนเอง (self-regulation) ที่เกิดขึ้นในบริบทของชีวิตจริงด้วย 🎢

🔍 สรุปใจความสำคัญ

🧠 1. Self-regulation คือรากฐานของ school readiness
• ทักษะ self-regulation หมายถึงความสามารถในการ ควบคุมอารมณ์ ความสนใจ ความคิด และพฤติกรรม อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์
• เด็กที่มี self-regulation ดีจะสามารถตั้งใจเรียน อดทนรอ ปรับตัวเข้ากับห้องเรียน และมีพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสม

🧬 2. สมอง ระบบประสาท และฮอร์โมนเกี่ยวข้องโดยตรง
• พัฒนาการของสมองส่วน prefrontal cortex และระบบ hypothalamic-pituitary-adrenal (HPA) มีบทบาทในการควบคุมตนเอง
• เด็กที่มีความเครียดเรื้อรังหรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยจะมีการทำงานของระบบประสาทที่ผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้ self-regulation อ่อนแอ

🏘️ 3. ปัจจัยทางสังคม-เศรษฐกิจมีอิทธิพลสูง
• เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยหรือเผชิญความเครียดในวัยต้น มีแนวโน้มพัฒนา self-regulation ได้ช้ากว่า
• ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้ “ไม่พร้อมเรียน” ในเชิงพฤติกรรม แม้มีศักยภาพทางสติปัญญา

🎓 4. การพัฒนา self-regulation สามารถส่งเสริมได้
• การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัย การดูแลด้วยความรัก และการใช้ โปรแกรมฝึกทักษะ EF และ emotional regulation จะช่วยให้เด็กพร้อมเรียนมากขึ้น
• ตัวอย่างเช่น โปรแกรม Tools of the Mind หรือ PATHS ช่วยพัฒนา EF และ self-regulation ผ่านการเล่น การวางแผน และบทบาทสมมติ

📌 ข้อเสนอสำคัญ

“การพัฒนา self-regulation ในวัยก่อนเข้าเรียนควรเป็นเป้าหมายสำคัญของนโยบายด้านการศึกษา เพราะเป็นรากฐานที่นำไปสู่ความสำเร็จทั้งทางวิชาการและสังคมในระยะยาว”

ที่อยู่

164/10 ถ. ขวัญเมือง ต. สะเตง อ. เมือง จ. ยะลา
Yala
95000

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 20:00
พุธ 17:00 - 20:00
ศุกร์ 17:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 14:00
อาทิตย์ 09:00 - 14:00

เบอร์โทรศัพท์

+66980133047

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram