Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา

Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางหมออามานีย์-ฟาฎิล สวนขวัญเมืองยะลา

◉ นพ.ฟาฎิล อะหะหมัด สาและอารง
พบ. เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
วว.อายุรศาสตร์ วว.อายุรศาสตร์โรคไต
◉ พญ.อามานีย์ สาและอารง
พบ.วว.จิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น
——————————————————
☆☆ บริการตรวจรักษา ☆☆
★ สุขภาพจิตและจิตเวช (เด็ก-วัยรุ่น-ผู้ใหญ่)
สมาธิสั้น ออทิสติก แอลดี ปัญหาการเรียน
เครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค นอนไม่หลับ
ย้ำคิดย้ำทำ ประสาทหลอน ติดสารเสพติด
จิตบำบั

ด(รายเดี่ยว-คู่สมรส)
ปรับพฤติกรรม ประเมิน-กระตุ้นพัฒนาการเด็ก
ตรวจIQ** ทดสอบบุคลิกภาพ(สมัครงาน)
★ อายุรกรรม : ความดัน-เบาหวาน-ไขมันสูง
โรคหัวใจ กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน
โรคตับ โรคทางเดินหายใจ โรคเลือด โรคข้อ โรคติดเชื้อ
★ โรคไต : ไตอักเสบ ไตเรื้อรัง นิ่ว โรคไต
ฟอกไต(ให้คำปรึกษา-ปรับยา)
★ โรคทั่วไป(เด็ก-ผู้ใหญ่)
★ ฉีดยาคุม-วัคซีนผู้ใหญ่
——————————————————
☆☆ เวลาทำการคลินิก ☆☆ (อัพเดต 3/65)
★ จันทร์-อังคาร-พุธ-ศุกร์
เวลา 17.00-20.00 น.
��คลินิกปิดทุกวันพฤหัสบดี��
★ เสาร์-อาทิตย์
เวลา 09.00-16.00 น.
——————————————————
★ คุณหมอฟาฎิลออกตรวจ ★
วันศุกร์ 17.00 - 20.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ 09.00 - 16.00 น.
——————————————————
☆☆ ติดต่อ ☆☆
★ โทร : 098-013-3047
★ LINE official ID: (มี@ข้างหน้า)
★ Google maps : https://goo.gl/maps/fcFLfUZNTgaxz6Rx5

 #ซึมเศร้า  #ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล 🧠
30/06/2025

#ซึมเศร้า #ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล 🧠

❌ ต้นตอของโรคซึมเศร้า ไม่ใช่สารเคมีไม่สมดุล

✅ แต่เป็นเซลล์ประสาทเสียหาย, ลดการแตกแขนง, ลดการเชื่อมต่อ


แล้วพอเซลล์ประสาทมันเสียหายลดการทำงานลง
▶️ มันเลยสร้างสารสื่อประสาทลดลง
▶️ ความหนาแน่นของการเชื่อมต่อลดลง ทำให้ดูภาพตรวจ fMRI แล้วฝ่อลง


ซึ่งถ้าถามว่าต้นตอแต่แรกที่เซลล์ประสาทเสียหายเกิดจากอะไร คำตอบคือ มาจากปัจจัยเสี่ยงซึมเศร้าทำให้
☑️ เครียดเรื้อรัง cortisol สูงลอยจนเกิดพิษ
☑️ เครียดเรื้อรัง adrenaline กระตุ้นการอักเสบ
☑️ microglia กระตุ้นรุนแรง จนปล่อยการอักเสบ
☑️ ทั้งหมดรบกวนการสร้างสาร BDNF
☑️ มีพันธุกรรมและพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เครียดได้นาน และสารสื่อประสาทขนส่งไม่ดี


ซึ่งสาร BDNF เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ประสาทงอก เป็นพระเอกหลักที่จะทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น สามารถเพิ่มขึ้นได้โดย

✅✅ กินยาต้านเศร้าต่อเนื่อง 2–4 สัปดาห์ขึ้นไป จะเริ่มเห็นผลการงอก

✅ ออกกำลังกายให้ฮอร์โมน lactate และ irisin มากระตุ้นการสร้าง

✅ การนอนเพียงพอช่วยได้ ในช่วงแรกอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วย


ดังนั้น “ซึมเศร้า ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล”

⛳️ ชวนทำความเข้าใจเหตุผลที่ต้องใช้ #ระยะเวลา นานเพียงพอ..ในการ  #กินยาต้านเศร้า💊
12/06/2025

⛳️ ชวนทำความเข้าใจเหตุผลที่ต้องใช้
#ระยะเวลา นานเพียงพอ..ในการ #กินยาต้านเศร้า💊

🧠 ยาต้านเศร้าต้องกินต่อเนื่องหลายสัปดาห์ เพราะกลไกหลักคือเพิ่มสารสื่อประสาทให้ ‘นานพอ’ ที่จะกระตุ้นการสร้างสารงอกเซลล์ประสาท BDNF


ดังนั้นเป้าหมายหลัก:

❌ ไม่ใช่: กินยา ➝ เพิ่มสารสื่อประสาท ➝ ผลการรักษา

✅ แต่เป็น: กินยา ➝ เพิ่มสารสื่อประสาท ➝ กระตุ้นการสร้าง BDNF ➝ เซลล์ประสาทที่เสียหาย กลับมางอก (ใช้เวลา) ➝ เซลล์ประสาทกลับมาปกติ ➝ สร้างสารสื่อประสาทปกติ ➝ สารสื่อประสาทกลับมาสู่ปกติ ➝ ผลการรักษา


ถ้าให้เห็นภาพชัด ให้ดูภาพในงานวิจัยจริงๆ ที่เขาใช้กันค่ะ


ในสมองของเรา จะมีการแบ่งโซนมากมาย ที่มีหน้าที่ต่างกัน
แต่ซูมเข้าไป มันก็แค่ ‘วงจร’ ที่เซลล์ประสาทมันคุยกัน

โดยเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า
มักจะใช้สารสื่อประสาท serotonin, norepinephrine
และ dopamine ในการ ‘ติดต่อ’ กับเซลล์ประสาทอีกเซลล์


แต่การติดต่อนั้นมันมีทั้งผลระยะสั้นและระยะยาวคือ
🔺 ระยะสั้น: สั่งให้เซลล์ประสาทนั้นทำงาน (แล้วแต่บริเวณว่าหน้าที่อะไร)
🔺 ระยะยาว: สั่งให้เซลล์ประสาทนั้นสร้างสารงอก BDNF


ตัวอย่างในภาพ:

เซลล์ประสาทหมายเลข 1️⃣: หลั่งสารสื่อประสาท ไปกระตุ้นเซลล์ 2

เซลล์ประสาทหมายเลข 2️⃣: โดนกระตุ้นแล้ว เกิดคำสั่งให้สร้าง BDNF

เซลล์ประสาทหมายเลข 3️⃣: โดน BDNF กระตุ้นเรื่อยๆ จนกลับมาแตกแขนง (Synaptogenesis) และถ้าจุดนั้นเพิ่มจำนวนได้ ก็จะกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาท (Neurogenesis)เช่นที่ hippocampus


โรคซึมเศร้าทำให้ 1️⃣ เสียหาย ส่งผลต่อเนื่องไปยัง 2️⃣3️⃣ ทำให้ได้ BDNF ลดลง ทำให้เซลล์ประสาทยิ่งขาดการฟื้นฟู


ยาต้านเศร้าไปทำให้สารสื่อประสาทจาก 1️⃣ ➝ 2️⃣ สูงค้างจนกระตุ้นการงอกได้ค่ะ


พอเราเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมด
มันจะรู้โดยอัตโนมัติว่า ยาไม่ได้กินเพื่อเติมสารสื่อฯ เป็นพักๆ
แต่ต้องกินต่อเนื่องเสมอ ไม่งั้นไม่เห็นผล

หากเกิดผลข้างเคียงใดๆ ปรึกษาจิตแพทย์เสมอ
จะได้ปรับเปลี่ยนแผนการรักษาใหม่ค่ะ

 #แจ้งวันหยุดทำการคลินิก 🎉เทศกาลรายอ‘68🎉 #ปิด 🍏วันเสาร์ 7/6/68 - วันจันทร์ 9/6/68 🍋🍒 #เปิด 🍎 วันอังคาร 10/6/68 : 17.00-2...
02/06/2025

#แจ้งวันหยุดทำการคลินิก 🎉เทศกาลรายอ‘68🎉

#ปิด 🍏วันเสาร์ 7/6/68 - วันจันทร์ 9/6/68 🍋🍒
#เปิด 🍎 วันอังคาร 10/6/68 : 17.00-20.00 น. 🥳
(เปิดเฉพาะกิจหลังหยุดเทศกาล)

🤍 ขออภัยในความไม่สะดวก🙏🏻

Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา 🎊🎉
تَقَبَّلَ اللهُ مِنَّا وَمِنْكُمْ🎉🎊

⛳️  #งานวิจัยของ Blair, C., & Raver, C. C. (2015) เรื่อง“School Readiness and Self-Regulation: A Developmental Psychobio...
26/05/2025

⛳️ #งานวิจัยของ Blair, C., & Raver, C. C. (2015)
เรื่อง“School Readiness and Self-Regulation: A Developmental Psychobiological Approach”
ตีพิมพ์ใน Annual Review of Psychology, 🍒

#เน้นว่าความพร้อมในการเข้าเรียน (school readiness)
#ไม่ได้ขึ้นกับทักษะวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ
#การพัฒนาของสมอง #ระบบประสาท
#และการควบคุมตนเอง (self-regulation) ที่เกิดขึ้นในบริบทของชีวิตจริงด้วย 🎢

🔍 สรุปใจความสำคัญ

🧠 1. Self-regulation คือรากฐานของ school readiness
• ทักษะ self-regulation หมายถึงความสามารถในการ ควบคุมอารมณ์ ความสนใจ ความคิด และพฤติกรรม อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์
• เด็กที่มี self-regulation ดีจะสามารถตั้งใจเรียน อดทนรอ ปรับตัวเข้ากับห้องเรียน และมีพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสม

🧬 2. สมอง ระบบประสาท และฮอร์โมนเกี่ยวข้องโดยตรง
• พัฒนาการของสมองส่วน prefrontal cortex และระบบ hypothalamic-pituitary-adrenal (HPA) มีบทบาทในการควบคุมตนเอง
• เด็กที่มีความเครียดเรื้อรังหรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยจะมีการทำงานของระบบประสาทที่ผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้ self-regulation อ่อนแอ

🏘️ 3. ปัจจัยทางสังคม-เศรษฐกิจมีอิทธิพลสูง
• เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยหรือเผชิญความเครียดในวัยต้น มีแนวโน้มพัฒนา self-regulation ได้ช้ากว่า
• ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้ “ไม่พร้อมเรียน” ในเชิงพฤติกรรม แม้มีศักยภาพทางสติปัญญา

🎓 4. การพัฒนา self-regulation สามารถส่งเสริมได้
• การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัย การดูแลด้วยความรัก และการใช้ โปรแกรมฝึกทักษะ EF และ emotional regulation จะช่วยให้เด็กพร้อมเรียนมากขึ้น
• ตัวอย่างเช่น โปรแกรม Tools of the Mind หรือ PATHS ช่วยพัฒนา EF และ self-regulation ผ่านการเล่น การวางแผน และบทบาทสมมติ

📌 ข้อเสนอสำคัญ

“การพัฒนา self-regulation ในวัยก่อนเข้าเรียนควรเป็นเป้าหมายสำคัญของนโยบายด้านการศึกษา เพราะเป็นรากฐานที่นำไปสู่ความสำเร็จทั้งทางวิชาการและสังคมในระยะยาว”

💔  #วิธีการรับมือกับความผิดหวัง 🫆🫥😢
22/05/2025

💔 #วิธีการรับมือกับความผิดหวัง 🫆🫥😢

“หมอคะ เรามักจะได้อ่านบทความที่ว่า ‘ทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ’ แต่ไม่ค่อยมีคนบอกว่า ‘ถ้าไม่สำเร็จ พบความผิดหวัง จะทำยังไง’ อยากให้คุณหมอเขียนเรื่องนี้ โดยเฉพาะถ้าจะนำไปใช้กับลูกเวลาที่เขาผิดหวัง ขอบคุณค่ะ”


หมอคิดถึงคำถามนี้ในวันนี้ หลังจากที่เด็กผีอย่างหมอก็รู้สึกผิดหวังที่แมนยูฯ แพ้สเปอร์สในนัดชิงชนะเลิศยูโรป้าลีกไปด้วยสกอร์ 1-0

นักเตะทุกคนก็ตั้งใจเล่น ทุ่มเทกันมากๆ สามารถครองบอลมากกว่า แต่สุดท้ายก็มีจังหวะผิดพลาดทำให้เสียประตู และคงไม่ใช่วันของแมนยูฯ เพราะจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำประตูคืนมาได้

ทำให้แพ้ไปในที่สุด


ความผิดหวัง หรือ ไม่ประสบความสำเร็จ ในบางเรื่อง เป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเป็นเด็ก/ผู้ใหญ่ ต้องพบสักวัน เพียงเร็วหรือช้า มากหรือน้อย

ไม่มีใครหรอกที่จะสมหวังไปตลอด ความผิดหวัง ผิดพลาดถือเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ

แน่นอนว่าสำหรับเด็กๆ ที่ไม่ค่อยเคยชินนักกับความผิดหวัง เป็นธรรมดาที่เวลาทำผิดพลาด ไม่ประสบผลสำเร็จ จะรู้สึกเสียใจ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่หลายๆ คนก็เหมือนกัน


เราหลีกเลี่ยงความผิดหวัง ไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เผชิญหน้ากับความผิดหวังได้คือ พื้นฐานจิตใจที่เข้มแข็ง เหมือนต้นไม้ที่มีรากแข็งแรง พายุพัดมาก็ไหวเอนบ้าง แต่ก็ไม่ล้มครืนลงไป

1. เริ่มจากมีครอบครัว คนใกล้ชิดที่สนับสนุน ความสัมพันธ์ที่ดี รู้สึกอบอุ่นมั่นคงปลอดภัย

2. ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง ทำอะไรเองตามวัยที่เหมาะสม ให้เขามีประสบการณ์ชีวิต เวลาเขาทำอะไรเอง จะมีเรื่องที่ทำได้หรือไม่ได้บ้าง แต่ตรงนั้นจะทำให้ได้เรียนรู้ โดยที่ผู้ใหญ่เองให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

3. ประสบการณ์ที่เขาได้ทำอะไรเอง จะทำให้เขารู้สึกมีความกล้าขึ้นเวลาที่ต้องทำอะไรเองในอนาคต /ทำอะไรใหม่ๆ ผู้ใหญ่อย่าลืมชมเชยที่กระบวนการ ความตั้งใจ โดยไม่ต้องไปเน้นที่ผลลัพธ์มาก เช่น ถ้าตั้งใจทำแล้ว แต่ทำได้ไม่ดีไม่สวย ก็อย่าลืมชื่นชมที่ความพยายามตั้งใจนั้น

4. ถ้าไปช่วยทุกเรื่อง เพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้เขาผิดพลาดผิดหวัง เด็กจะเคยชินว่าต้องมีคนช่วยเสมอ และวันหนึ่งที่ผู้ใหญ่ที่คอยช่วยมาตลอดไม่ได้อยู่ด้วย เด็กต้องทำเอง เด็กก็อาจจะกลัว ไม่มั่นใจ และเมื่อผิดหวังก็จะเสียใจมากเป็นพิเศษ ด้วยเคยชินกับการที่มีคนช่วยและทุกอย่างราบรื่นมาตลอด

5. เวลาที่เด็กเจอความผิดหวัง อาจเสียใจ ร้องไห้ เป็นธรรมดา อย่าไปบอกว่า “อย่าร้องไห้” หรือ “ไม่เห็นมีอะไรเลย ร้องทำไม” อนุญาตให้เขาร้องไห้เสียใจได้ เดี๋ยวสักพักเขาก็จะหยุดร้องเอง (การที่เขาร้องไห้ก็เหมือนการระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาทางหนึ่ง เด็กที่เศร้าแล้วเก็บเอาไว้ ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตา บางทีก็อาจจะน่าเป็นห่วง หากอารมณ์ลบๆ ตรงนั้นไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม)

6. สิ่งสำคัญที่สุดในวันที่ลูกเศร้า เพราะผิดหวัง ทำอะไรรู้สึกไม่ดีอย่างที่ตั้งใจ คือแสดงว่า มีคนเข้าใจ รับรู้ความรู้สึก มองเห็นความเศร้าของลูก

7. อาจใช้ภาษากายในการแสดงว่าเราเข้าใจ เช่น ลูกไปสอบแข่งขันแต่ทำพลาด สอบไม่ได้ตามที่คาดหวัง ลูกร้องไห้มาหาแม่ แม่ก็อาจโอบไหล่ กอดเขาไว้ ตรงนั้นเป็นภาษากายที่บอกว่า 'แม่เข้าใจลูกนะว่ามันแย่อยู่ สิ่งที่ลูกเจอมา'

8. สำหรับคำพูดว่าจะปลอบหรือบอกเด็กยังไงดีในตอนเสียใจผิดหวัง จริงๆแล้ว สิ่งที่จำเป็นกว่าคำแนะนำหรือบอกอะไรใดๆ คือ 'การรับฟัง’

9. ไม่ต้องไปกังวลว่า 'เอ เราจะปลอบลูกยังไง จะพูดคำพูดไหนให้เขาหายเศร้า' จริงๆ ไม่ได้มีคำพูดตายตัว แต่ขอให้เห็นใจ รับรู้อารมณ์ความรู้สึก คำพูดที่เราส่งออกไปจะสะท้อนไปว่า เราเข้าใจลูก

10. เอาใจเขามาใส่ใจเรา เช่น ถ้าพ่อแม่เห็นใจความเศร้า ผิดหวังของลูก พ่อแม่จะไม่พูดว่า “อะไรแค่นี้ต้องเศร้าด้วย” “เรื่องเล็กแค่นี้ร้องไห้ด้วยเหรอ” หรือ “แค่นี้ยังเศร้าถ้าเจอเรื่องหนักกว่านี้จะไหวเหรอ” จริงไหมคะ สำคัญคือไม่มองความเศร้าของเขาว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ หรือเป็นเรื่องเล็กน้อย


ในที่สุดเรื่องเศร้า ประสบการณ์ที่ทำผิดพลาด ไม่ประสบความสำเร็จ ความผิดหวังนั้นๆ ก็จะกลายเป็นอีกประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้ลูกแข็งแกร่งมากขึ้น และพร้อมที่จะพบกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตต่อไปได้

การทำผิดหวัง ไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าวันหน้า จะต้องล้มเหลวหรือผิดหวังตลอดไป

ชีวิตก็แบบนี้ มีสุขทุกข์ สมหวังผิดหวัง เหมือนฤดูกาลที่ผันแปรไป

สำคัญคือ จิตใจที่เข้มแข็ง เข้าใจ ยอมรับ มีสติที่จะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จะทำให้ผ่านไปได้อย่างไม่สะบักสะบอมเกินไป

แต่อาจมีบางกรณี คนที่เสียใจมากกับความผิดหวัง จนกลับมาเป็นปกติไม่ได้ ตรงนั้นอาจจะต้องดูปัจจัยอื่นๆ เช่น พื้นอารมณ์เดิม สุขภาพจิตของเด็กแต่เดิม ครอบครัว สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ เหตุการณ์ที่พบเจอ ฯลฯ ถ้าเป็นหนักมาก อาจต้องให้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ช่วยดูแลรักษา ฟื้นฟูเยียวยาต่อไป


เชียร์กันต่อไปฤดูกาลหน้า ถึงจะแพ้ ข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ไปเล่นบอลยุโรปก็คือ ไม่ต้องเตะบอลถี่นัก นักเตะก็ไม่เหนื่อยด้วย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ

#หมอมินบานเย็น

♥️  #วิธีคุยกับลูก🙍🏻‍♀️🙍🏻‍♂️💬👦🏻🧒🏻
22/05/2025

♥️ #วิธีคุยกับลูก🙍🏻‍♀️🙍🏻‍♂️💬👦🏻🧒🏻

🧑🏻‍🎤 8 วิธีพูดคุยกับเด็กและวัยรุ่นด้วยความเข้าใจ

— เพราะคำพูดของผู้ใหญ่ อาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพียงไม่กี่แห่งในจิตใจลูก —

เด็กและวัยรุ่นในยุคนี้ต้องการให้เรามองเห็นและอยู่เคียงข้างเขามากกว่าที่เคย คุณคงเคยเห็นข่าวว่า 57% ของเด็กผู้หญิงรู้สึก “เศร้าหรือสิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง” และนักเรียนมัธยมปลาย 3 ใน 4 ต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ในชีวิต

แต่สิ่งที่เราอาจไม่รู้ก็คือ หนึ่งในอุปสรรคที่พวกเขาเจอบ่อยที่สุดคือการถูกล้อเลียนหรือดูแคลนจากคนในบ้าน และบ่อยครั้ง เด็กวัยรุ่นรู้สึกว่าไม่สามารถพูดเรื่องสำคัญกับพ่อแม่ได้ เพราะพ่อแม่เองก็กำลังแบกรับความเครียดของตัวเองอยู่เช่นกัน

จากการศึกษาพบว่า 41% ของผู้ใหญ่รู้สึกเครียดมากจนแทบจะใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ และในขณะเดียวกัน งานวิจัยก็ชี้ว่า เด็กที่รู้ว่าตัวเองสามารถหันไปหาผู้ใหญ่ได้เมื่อมีปัญหา ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน มีโอกาสจะเติบโตอย่างเข้มแข็งมากกว่าถึง 12 เท่า

ปัญหาคือ พ่อแม่ยังไม่เข้าใจลูกในแบบที่เขาเป็น เมื่อลูกเผชิญความยากลำบากหรือบาดแผลทางใจ โลกของเด็กจะค่อย ๆ แคบลง … แต่ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและเข้าใจจากพ่อแม่ จะค่อย ๆ เปิดโลกของเด็กให้กว้างขึ้นอีกครั้ง

ตลอดสามทศวรรษในการทำงานด้านข่าววิทยาศาสตร์ Donna Jackson Nakazawa ผู้เขียนบทความนี้ ได้ค้นพบว่า มีวิธีตามหลักประสาทวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเชื่อมโยงเราเข้าหาเด็ก ๆ ได้จริง และทำให้เราเป็น “กระจก” ที่สะท้อนความงดงามที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาได้อย่างแท้จริง

ต่อไปนี้คือ 8 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่ช่วยให้สมองและหัวใจของเด็กได้เชื่อมโยงกับผู้ใหญ่ ให้เด็กรู้ว่า…เขามีคุณค่า มีที่พึ่ง และไม่ต้องเผชิญโลกนี้เพียงลำพัง

🧠 8 วิธีดูแลใจเด็กและวัยรุ่นผ่านการพูดคุยอย่างเข้าอกเข้าใจ และช่วยให้สมองของลูกเติบโตในทางที่ดี

1. ยอมรับว่าเรื่องบางเรื่องพูดได้ยาก
“เรื่องนี้พูดยากนะ แม้แต่สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราก็ยังพูดไม่ง่ายเลย”

2. อย่าเพิ่งรีบพูดหรือซักถามทันที
“พ่อ/แม่สัญญาว่าจะตั้งใจฟังอย่างเดียว ไม่ถามอะไรเลย“ (มีงานวิจัยพบว่า เด็กมักเล่าให้ฟังมากขึ้น เมื่อเราไม่ยิงคำถามทันที)

3. หายใจลึก ๆ แล้วเป็นแบบอย่างของความสงบ
พยายามเป็นคนที่ “ใจนิ่งที่สุดในห้อง” เพราะเด็กจะซึมซับความสงบของเรา เมื่อพ่อ/แม่ผ่อนคลาย ลูกก็จะค่อย ๆ สงบลงตามไปด้วย

4. เปิดใจเรียนรู้สิ่งที่เราอาจไม่เคยรู้
อย่าคิดไปเองว่า เรารู้ว่าลูกรู้สึกอย่างไร เพราะจริง ๆ แล้ว เราอาจไม่รู้เลย

5. ถ้าลูกถามความคิดเห็นของเรา ให้ย้อนถามลูกก่อน
“เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังนะว่าแม่คิดยังไง แต่ก่อนอื่น แม่อยากรู้ว่าลูกคิดยังไงก่อน เพราะความคิดของลูกตอนนี้สำคัญมากเลย”

6. ให้การยอมรับจากใจจริง
“พ่อ/แม่เข้าใจนะว่าลูกจะรู้สึกแบบนี้”
หรือ “ใครเจอแบบนี้ก็ต้องรู้สึกไม่ต่างกัน”
หรือ “ฟังแล้วรู้เลยว่ามันหนักมากสำหรับลูกจริง ๆ”

7. อย่าคิดว่าความเงียบคือจุดจบของบทสนทนา
“พ่อ/แม่ยังอยู่ตรงนี้นะ ถ้าลูกยังอยากพูดอะไรอีก พ่อ/แม่จะฟังเสมอ มีอะไรที่อยากให้พ่อ/แม่รู้เพิ่มเติมไหมลูก?”

8. มองเห็นสิ่งดีในตัวเขา แล้วบอกให้เขารู้
“ว้าว ลูกจัดการเรื่องที่ซับซ้อนขนาดนี้ได้ดีมากเลยนะ พ่อ/แม่ภูมิใจมากจริง ๆ”

🎯 เป้าหมายของทั้งหมดนี้คืออะไร?
ทุกครั้งที่ลูกหันมาหาพ่อแม่เพื่อพูดเรื่องยาก ๆ
พ่อแม่มีโอกาสทำให้ลูกรู้สึกว่า
“การเปิดใจไม่ใช่เรื่องน่ากลัว”
และถ้าครั้งนี้ลูกรู้สึกปลอดภัย
ครั้งหน้า…ลูกจะกล้ากลับมาหาพ่อแม่อีกเสมอนะคะ
♥️
สรุปและเรียบเรียง โดย แม่ดวงค่ะ

ที่มา : Donna Jackson Nakazawa The Last Best Cure PARENTING 8 Neuroprotective Steps for Talking to Kids and Teens - https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-last-best-cure/202505/8-neuroprotective-steps-for-talking-to-kids-and-teens

ร่วมสนับสนุนเพจ “อ่านหนังสือกับลูก”
ด้วยการสั่งซื้อสินค้าใดๆ บน Shopee
ผ่านลิงค์นี้นะคะ https://s.shopee.co.th/8UwTbxYf0a

🪴 หากชอบบทความ กรุณากด Like/Share “ไม่อนุญาตให้คัดลอก” นะคะ

17/05/2025

🧠✨ "ไม่มีเด็กคนไหนเกิดมาพร้อมกาลเทศะ...แต่ทุกคนเรียนรู้ได้ หากมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจและสอนอย่างสม่ำเสมอ"
เพราะ “กาลเทศะ” ไม่ใช่แค่เรื่องของมารยาท แต่คือรากฐานของ “วินัยทางสังคม” ที่จะทำให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเคารพ เข้าใจ และรู้จักควบคุมตนเอง
📌 พ่อแม่จะปลูกฝังสิ่งนี้ให้ลูกได้อย่างไร ? อ่านบทความนี้ แล้วคุณจะพบคำตอบผ่าน 5 พื้นฐานสำคัญ + กฎเหล็ก 3 ข้อ ที่ควรมีไว้ในทุกบ้าน (ลิงก์อ่านบทความฉบับเต็มในคอมเมนต์)
โดย “ครูเม” เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยา เจ้าของเพจ ตามใจนักจิตวิทยา

#ข่าวสารและบทความ #คู่มือพ่อแม่ #ตามใจนักจิตวิทยา #ครูเม #เมริษายอดมณฑป

📬 แจ้งการบริการคลินิก✨ #คลินิกปิด⛅️ เสาร์ - อาทิตย์ : 10-11 พ.ค.68📌 #คลินิกเปิด🌤️ จันทร์ : 12 พ.ค.68 🌿                  ...
09/05/2025

📬 แจ้งการบริการคลินิก✨
#คลินิกปิด⛅️ เสาร์ - อาทิตย์ : 10-11 พ.ค.68📌
#คลินิกเปิด🌤️ จันทร์ : 12 พ.ค.68 🌿
17.00-20.00 น.💘

💌 LINE OA :
📞 098-013-3047
😊 #รับสายเฉพาะในเวลาทำการเท่านั้น💥💥💥
🥹 #ขออภัยหากสายไม่ว่าง/ โทรไม่ติด
😌 พนักงานกำลังให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ หรือ
คุยสายให้บริการผู้ป่วยท่านอื่น🙏🏻กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง

🩵ท่านที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดควรโทรสอบถาม/จองคิวก่อนออกเดินทาง (สงวนการจองทางโทรศัพท์เฉพาะที่มาจากต่างจังหวัด & เขตอำเภอธารโต-เบตง จ.ยะลา🤍

Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา ขอขอบคุณและขออภัยในความไม่สะดวก 🙏🏻💓

26/04/2025

🧠 โรคซึมเศร้าทำให้การจำและดึงความจำมาใช้แย่ลง ทำให้ใช้ชีวิตลำบากมาก ยิ่งวัยเรียน ยิ่งลำบาก

วันนี้จะมาไขรายละเอียดลงไปค่ะว่า ที่ว่าจำได้ นึกออก และเจ๊งไปในซึมเศร้า มันมีการทำงานและการเปลี่ยนแปลงยังไง โดยจะเน้นเฉพาะความจำเชิงข้อมูลนะคะ (Semantic) ซึ่งจะใช้สมองส่วน Hippocampus และสมองส่วนเปลือก Prefrontal cortex ย่อว่า PFC (ทั้ง mPFC และ dlPFC)


🟦 เวลารับข้อมูลใหม่ สมองจะจัดการยังไง?

→ ภาพที่มองเห็น แปลผลโดยสมองกลีบท้ายทอย (BA17-19)
→ ส่งต่อไปยัง Hippocampus เพื่อเริ่มสร้างความจำ


▪️ Hippocampus
→ สร้างความจำระยะสั้น
→ ถ้าซ้ำบ่อย จะส่งเข้าวงจร Papez circuit → เปลี่ยนเป็นความจำระยะยาว
→ จำ “ความสัมพันธ์” ระหว่างสิ่งต่างๆ เช่น “รถจอดอยู่ข้างซ้ายต้นไม้”


▪️ medial Prefrontal cortex (mPFC)
→ จัด หมวดหมู่ ข้อมูล เช่น “รูปนี้อยู่กลุ่มรูปเหลี่ยม”
→ ช่วยให้เราจำได้นานขึ้น โดย จัดระเบียบความคิด เป็นภาพรวม
→ เหมือนตอนเราสรุปบทเรียน → จำง่ายกว่าอ่านดะๆ


🟩 เวลานึก/ตัดสินใจ สมองเรียกข้อมูลกลับมายังไง?

▪️Hippocampus
→ ดึงข้อมูลเก่ากลับมา (ทั้งระยะสั้น–ยาว)

▪️dorsolateral Prefrontal cortex (dlPFC)
→ ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการ
• ตัดสินใจ
• วางแผน
• สั่งการการกระทำ


😰 แล้วถ้าเป็น “โรคซึมเศร้า” ล่ะ?

ในโรคนี้จะมีกลไกที่ทำให้สมองมีความเสียหลักคือ cortisol ที่สูงลอย กับการอักเสบอ่อนๆในสมอง…

▪️ Hippocampus ฝ่อลง
→ จำเรื่องใหม่ยากขึ้น
→ แต่ เรื่องแย่ๆ กลับนึกออกดี (เพราะ Amygdala ยังทำงานดี)

▪️ mPFC ทำงานมากไป
→ วิเคราะห์–จัดหมวดหมู่เก่งขึ้น… แต่เป็น ในทางลบ
→ เกิด “วนคิดซ้ำ” (rumination) ไม่รู้จบ

▪️ dlPFC ฝ่อลง
→ ตัดสินใจลำบาก
→ คิดแผนอะไรไม่ออก
→ แม้จะนึกอะไรได้…ก็เอามาใช้ไม่ค่อยไหว


สรุปง่ายๆ

→ จำอะไรใหม่ ยากขึ้น
→ นึกอะไร ช้าลง
→ แต่เรื่องลบๆ นึกได้นึกดี…

ดังนั้นโรคซึมเศร้า ไม่ใช่แค่เศร้า
แต่โคตรส่งผลต่อการใช้ชีวิต
ยิ่งวัยเรียนยิ่งส่งผลมาก


ส่งพลังบวกให้ทุกท่านนะคะ
คนที่กำลังเผชิญโรคนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวเลยค่ะ
เราที่ประจำอยู่เพจ จะอยู่ข้างๆ คุณเสมอค่ะ 🫶

"การเล่น" คือการที่เด็กได้เรียนรู้ทักษะการแก้ไขปัญหา ได้วางแผนจัดการอย่างเป็นระบบ หากเขาพบเจออุปสรรค์ เขาก็จะเรียนรู้ที่...
17/04/2025

"การเล่น" คือการที่เด็กได้เรียนรู้ทักษะการแก้ไขปัญหา ได้วางแผนจัดการอย่างเป็นระบบ หากเขาพบเจออุปสรรค์ เขาก็จะเรียนรู้ที่จะปรับตัวและฝึกการเข้าสังคม การจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ นอกจากนั้นในเชิงวิทยาศาสตร์ เส้นใยสมองที่เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ในอนาคต ก็ยังถูกพัฒนาขึ้นจากการที่เด็กได้เล่นกับพ่อแม่หรือเพื่อคนอื่น ๆ อีกด้วย
ดังนั้นครั้งต่อไปเวลาคุณดูลูก ๆ เล่น จงจำไว้ว่า "สิ่งที่เห็นได้เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีหลายสิ่งอีกมากมายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องล่างของภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้!

ภูเขาน้ำแข็งแห่งการเล่น (Iceberg of Play)
เวลาลูกเล่น พ่อแม่เห็นอะไร?
เราอาจจะเห็นลูกเล่นอิสระ เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นสมมติ เล่นทราย เล่นบล็อกไม้ วาดภาพ ระบายสี ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่ทำให้พ่อแม่อย่างเรา ๆ อยากเล่นกับลูกหรือสนับสนุนให้ลูกเล่น คือ "รอยยิ้ม" "ความสุขจากใบหน้า" หรือ "คำพูด" ของเขา
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังสิ่งที่เราเห็น มีบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นกำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างในตัวลูกที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อพัฒนาการ การเติบโตของเขาในอนาคตต่อไป
"การเล่น" คือการที่เด็กได้เรียนรู้ทักษะการแก้ไขปัญหา ได้วางแผนจัดการอย่างเป็นระบบ หากเขาพบเจออุปสรรค์ เขาก็จะเรียนรู้ที่จะปรับตัวและฝึกการเข้าสังคม การจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ นอกจากนั้นในเชิงวิทยาศาสตร์ เส้นใยสมองที่เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ในอนาคต ก็ยังถูกพัฒนาขึ้นจากการที่เด็กได้เล่นกับพ่อแม่หรือเพื่อคนอื่น ๆ อีกด้วย
ดังนั้นครั้งต่อไปเวลาคุณดูลูก ๆ เล่น จงจำไว้ว่า "สิ่งที่เห็นได้เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีหลายสิ่งอีกมากมายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องล่างของภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้!

15/04/2025

🤖 จึงไม่เหมือน Gen ไหนๆ?
#มาทำความเข้าใจการมองโลกของGenAlphaกัน
Gen Alpha (เด็กที่เกิดในปี 2010-2025) มักเป็นลูกของพ่อแม่ Gen Y หรือปลาย Gen X พวกเขาเกิดมาในโลกที่
📱 1. เทคโนโลยีคือสิ่งปกติ (Digital First)
เด็ก Gen นี้ไม่ต้องปรับตัวกับเทคโนโลยี
เพราะพวกเขาเกิดมาพร้อมกับมันเลย
แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน AI หรือ Metaverse ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพวกเขา
🌐 2. โลกเชื่อมถึงกันหมด (Global Mindset)
พวกเขาโตมากับคอนเทนต์จากหลายประเทศ
ทำให้เข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายกว่ายุคพ่อแม่
ส่งผลให้ Gen Alpha มีการมองโลกที่เปิดกว้างกับความแตกต่างมากกว่า Gen ก่อนๆ
💬 3. การแสดงออกทางอารมณ์ สำคัญกว่าผลสัมฤทธิ์
เด็กเจนนี้ถูกเลี้ยงดูในยุคที่พูดเรื่อง “ความรู้สึก” มากขึ้น
พวกเขาต้องการการยอมรับใน "ตัวตน" ไม่ใช่แค่คำว่า “เก่ง” หรือ “สอบได้ที่ 1”
⚡ 4. มีตัวเลือกเยอะ แต่จัดการอารมณ์ได้ยาก
โลกทุกวันนี้มีสินค้ามากมาย Gen Alpha จึงมี Choice เยอะไปหมด
พวกเขาสามารถเลือกได้ทุกอย่าง...แต่บางครั้งกลับรู้สึก “ไม่เคยพอ”
นอกจากนี้ พวกเขาอาจพบปัญหาว่าจัดการกับอารมณ์ไม่ได้ เพราะเจอกับข้อมูลใหม่ๆ ข่าวสารแบบ real time แทบตลอดเวลา บางครั้งมันก็ท่วมท้นเกินไป
อีกทั้ง Social Media ก็ทำให้เด็ก Gen นี้ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอ บางครั้งถ้าพวกเขามี Self ที่ไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้วิตกกังวลและเครียดได้
🧠 5. เรียนรู้เร็ว แต่ต้องการแนวทางที่ชัดเจน
แม้ว่า Gen Alpha อาจทำอะไรได้เร็วกว่าเด็กรุ่นก่อน (ด้วยวัยที่เท่ากัน)
แต่เขาก็ยังต้องการ “ผู้ใหญ่ที่เข้าใจเขา” และบอกเขาว่าอะไรควรทำ/ไม่ควรทำ แต่ไม่ใช่แค่สั่งหรือเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
🎯 #แล้วพ่อแม่ต้องปรับตัวยังไง?
เป็น “โค้ช” มากกว่าผู้สั่งการ
ใช้ “บทสนทนา” หรือ "คำถาม" มากกว่าคำสั่ง
เน้นพัฒนา “ทักษะชีวิต” ควบคู่กับ “ความรู้”
และที่สำคัญที่สุด...
👉 สอนให้เขารู้จักตัวเอง รักตัวเอง และอยู่กับโลกได้อย่างมั่นคง
💬 สรุปสั้นๆ:
Gen Alpha ไม่ใช่แค่เจนใหม่ แต่เป็นมนุษย์รุ่นแรก
ที่ต้องเติบโตในโลกที่ ซับซ้อน รวดเร็ว และเปรียบเทียบขั้นสูงสุด
ถ้าพ่อแม่สอนพวกเขาให้มี “หัวใจที่เข้มแข็ง” และ “ความคิดที่ยืดหยุ่น”
พวกเขาจะกลายเป็น Gen ที่เปลี่ยนโลกได้จริงๆ 🌍
ด้วยรัก ❤ ❤
#แม่ติ๊ด
#เพจเลี้ยงลูกให้ยอดเยี่ยม
#หนังสือMindsetพ่อแม่ศตวรรษที่21
ิดแบบนี้ลูกได้ดีตลอดชีวิต
#ครอบครัว #แม่และเด็ก #พ่อแม่ #เลี้ยงลูก #ลูก #เลี้ยงลูกยุคใหม่ #มนุษย์แม่ #ความยืดหยุ่น #เลี้ยงลูกให้เข้มแข็ง #วัยรุ่น

ที่อยู่

Yala

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 20:00
พุธ 17:00 - 20:00
ศุกร์ 17:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 14:00
อาทิตย์ 09:00 - 14:00

เบอร์โทรศัพท์

+66980133047

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Baitul Syefaa Clinic • คลินิกสุขภาพจิตและอายุรกรรม สวนขวัญเมืองยะลา:

แชร์