คลินิกแพทย์อนุสรณ์ ยโสธร

คลินิกแพทย์อนุสรณ์ ยโสธร คลินิก ฝากครรภ์ โรคทางนรีเวช

20/10/2025

แจ้งหยุดคลินิกวันพฤหัสที่ 23 -26 ตุลาคม 68

คลินิกเปิดทำการอีกทีวันจันทร์ที่ 27 ตค 68 นะคะ

14/10/2025

ตอนเริ่มหลังตรวจภายในถ้าปากมดลูกเปิดน้อยๆ ได้ยากระตุ้นมดลูกก็พอยาเข้าเส้นไป #ยานี้ออกฤทธิ์เร็วครับ แต่อาการจะยังไม่มาก ไม่รุนแรง ชิว ชิว …. มดลูกเริ่มตึงๆ สิบนาทีมาครั้ง ห้านาทีมาครั้งไปซักชั่วโมงนึง สรุปชั่วโมงแรก โลกงดงาม สดสวย การคลอดนี้คงสดใส 🎉

พอเข้าชั่วโมงที่ 2-4 คราวนี้มดลูกจะมาแข็งบ่อยขึ้น ถ้ามาสม่ำเสมอพยาบาลก็จะคงย้ำเกลือไว้แบบเดิม แต่ถ้ามาไม่สม่ำเสมอ อาจต้องเพิ่มยากระตุ้น … มดลูกจะบีบแรง ปวดลงท้องน้อย มีมูกเลือดออก ปวดหลังขึ้นเวลามดลูกบีบ แต่ก็ยังหายใจหายคอได้สบายระดับนึงครับ โลกยังสดใส หรือหม่นลงก็นิดเดียว 🎊

ชั่วโมงที่ 5-7 คราวนี้จะเป็นจุดชี้เป็นชี้ไม่เป็นละครับ มดลูกทั่วไปจะเจ็บถี่เลยทีนี้ แข็งทุกๆ3 นาที แข็งทีนึงนานเกือบนาที หายใจหายคอไม่สะดวกสบายละ ปวดท้อง ปวดหลัง มูกเลือดเยอะ รู้สึกเหนื่อยขึ้นนิดนึง บางทีช่วงนี้หมออาจมาตรวจแล้วเจาะถุงน้ำครับ แต่ถ้าตรวจแล้วปากมดลูกไม่เปิดเลย บางที่ประเมินแล้วอาจไม่ไปต่อหรือบางที่ก็อาจสามารถรออีกสองสามชั่วโมง เป็นรายๆไป

ชั่วโมงที่ 7-9 ผมคิดว่านี่คือ Peak ของการกระตุ้นคลอดครับ เจ็บถี่มาก เจ็บแรงมาก นอนบิดไปมา หรือต้องฝึกการหายใจเลยทีเดียว เพราะตอนท้องแข็งจะรู้สึกหายใจไม่เหมือนตอนท้องนุ่มๆครับ ปากมดลูกจะเปิดเร็วขึ้นมาก ช่วงนี้หลายๆคนท้องจะได้ยาช่วยระงับปวดโดยหมอจะประเมินว่าเข้าสู่ช่วงปากมดลูกเปิดเร็วแล้ว แต่ก็จะยังไม่คลอดใน 2-4 ชั่วโมงยี้ก็จะรีบให้ยาครับ

ชั่วโมงที่ 10-12 ตรงนี่ก็ท้องแข็งแบบเดิม เจ็บจนชิน หลายๆคนจะนิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าเพราะเจ็บจนชินครับ เข้าใจละว่าตอนท้องแข็งต้องทำยังไง แล้วยาแก้ปวดก็จะค่อยๆหมดไป ความเจ็บกลับมารุนแรงอีกครั้ง

แล้ววววววว…..

ก็จะเข้าสู่ระยะปากมดลูกเปิดเต็มที่ แล้วเบ่งต่ออีก 1-2 ชั่วโมง ก่อนเจอหน้าลูกของคุณครับ 🎏❤️🎈💕🏆

•••••••••

หมอสูติเล่าก็จะน่าประมาณนี้ครับ หากหมอหรือพยาบาลรวมถึงคุณแม่จะช่วยเล่าช่วยเสริมร่วมกันก็เริ่มต่อกันได้เลยครับ

#กระตุ้นคลอดด้วยยา ^^

13/10/2025

🌸 ผื่นคันในครรภ์ (PUPPP: Pruritic Urticarial Papules and Plaques of Pregnancy) 🌸
มักเกิดบ่อยช่วงไตรมาสที่ 3 หรือก็คือสามเดือนท้ายของการท้อง โดยเฉพาะจะพบบ่อยในครรภ์แรกหรือครรภ์แฝดนะครับ

จุดเด่นเลยคือ คันมากกกกกกกกก มากกกกกกก โดยจะเริ่มจากผื่นแดงคันบริเวณท้อง (โดยเฉพาะตามรอยแตกของผิว) แล้วลามไปที่ต้นขา แขน หรือหน้าอก
ขอดีของความคันนี้คือจะไม่อันตรายต่อแม่และลูก แต่อาจคันรบกวนมาก

💊 แนวทางการรักษา PUPPP

✅ 1. ยาทาภายนอก (Topical corticosteroids) ช่วยลดการอักเสบและอาการคัน
• Hydrocortisone cream 1% ทาบาง ๆ วันละ 2–3 ครั้ง
• Triamcinolone 0.1% cream ใช้ในรายที่คันมาก (หลีกเลี่ยงทาบริเวณกว้างหรือเป็นเวลานาน อาการทุเลาลงควรหยุดใช้ยา ไม่ใช้ยาเพื่อการป้องกัน)

✅ 2. ยาแก้แพ้ (Antihistamines) ช่วยลดอาการคัน
• Chlorpheniramine (CPM) 4 mg รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง (ปลอดภัยในไตรมาสหลัง แต่ระวังง่วงนิดนึงนะครับ)
• Loratadine 10 mg วันละ 1 ครั้ง (ตอนเช้า) →ตัวนี้ไม่ค่อยง่วง และถือว่าปลอดภัยในครรภ์ (Pregnancy Category B)

✅ 3. ยาทา/ผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการคัน (Soothing agents)
• คาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion)
• เจลว่านหางจระเข้ (Aloe vera gel)

✅ 4. ยากินสเตียรอยด์ (Systemic corticosteroid) แนะนำให้เก็บไว้ใช้เฉพาะรายที่อาการคันมากและไม่ตอบสนองต่อยาทา
• Prednisolone 20–40 mg/day นาน 5–7 วัน แล้วค่อย ๆ ลดขนาดยาลง สำหรับตัวเลือกนี้ควรอยู่ภายใต้การดูและสั่งยาโดยแพทย์ครับ เพราะโดยทั่วไป prednisolone จะไม่ขายได้ตามร้านทั่วไปใช่ไหมครับ

19/09/2025

หลายคนอาจเคยแอบสงสัยว่าทำไมหมอเริ่มนับอายุครรภ์จาก “วันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด” ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ได้ท้องเลยด้วยซ้ำจริงไหม ??

อยากให้เราลองนึกภาพย้อนกลับไปสมัยก่อน (สักหลายร้อยกว่าปีก่อน)

• ตอนนั้นยังไม่มีอัลตราซาวด์ ไม่มีวิธีตรวจฮอร์โมน ไม่มีแอปมือถือให้บันทึก สิ่งเดียวที่ผู้หญิงอาจพอจะจำได้ ก็คือ… “ประจำเดือนมาวันไหน” ✨

• หมอตำแยยุคนั้นเลยเลือกใช้ “วันแรกที่เลือดออก” เป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุครรภ์ ถึงแม้จริงๆ แล้วการตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ (ช่วงไข่ตก) ก็ตามครับ

•••••••

จุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์

• คริสต์ศตวรรษที่ 18–19: หมอในยุโรปเริ่มสังเกตว่า วันคลอดมักจะเชื่อมโยงกับรอบเดือนครับ

• Franz Naegele (หมอชาวเยอรมัน) ค.ศ. 1830s คิดสูตรขึ้นมา (ที่เรายังใช้กันอยู่ทุกวันนี้) → “เอาวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย บวก 7 วัน ลบ 3 เดือน” = วันครบกำหนดคลอด 🍼
• จากนั้นก็ใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลก เพราะมัน ง่าย และ จำได้จริงในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันถึงแม้มีอัลตราซาวด์
• หมอก็ยังถามวันแรกของประจำเดือนอยู่ เพราะเป็น ข้อมูลตั้งต้นที่สำคัญมาก
• แล้วใช้ผลอัลตราซาวด์ไตรมาสแรก (CRL) มาช่วยยืนยันอีกที

มุมมองที่อยากชวนผู้หญิงทำ
• ถ้าเราจด วันที่ประจำเดือนมา จะช่วยให้คุณหมอคำนวณอายุครรภ์ได้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
• ถ้าจดเพิ่มว่า มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิดวันไหน ก็ยิ่งช่วยให้ประเมิน “วันไข่ตก/วันปฏิสนธิ” ได้แม่นขึ้นอีก 🌸
• เดี๋ยวนี้ยิ่งง่าย เพราะมีแอปฯ หรือปฏิทินเล็กๆ ก็จดได้แล้ว

01/09/2025

ไหมที่ใช้เย็บแผลฝีเย็บหลังคลอด ส่วนใหญ่จะเป็นไหมละลาย (absorbable suture) เช่น Vicryl®, Vicryl Rapide®, Chromic catgut

⏱️ ระยะเวลาละลายโดยทั่วไป
• Vicryl Rapide: เริ่มอ่อนตัว/ละลายประมาณ 7–10 วัน และหายไปภายใน 42 วัน
• Vicryl (ธรรมดา): อยู่ได้ประมาณ 2–3 สัปดาห์ และละลายหมดภายใน 56–70 วัน
• Chromic catgut: จะคงความแข็งแรงประมาณ 10–14 วัน และละลายหมดใน 90 วัน

✅ ดังนั้น ส่วนมากไหมจะเริ่มนิ่ม/ละลายภายใน 1–2 สัปดาห์ และค่อย ๆ สลายหมดประมาณ 1–2 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดไหมและการสมานแผลของแต่ละคน

💡 หากคุณยังรู้สึกเจ็บตึง หรือเห็นไหมหลงเหลืออยู่นานเกิน 6–8 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์/พยาบาลให้ตรวจดู เพราะบางครั้งไหมบางเส้นอาจโผล่หรือไม่ละลายหมด ต้องช่วยตัดออกให้

••••••••

ไหมละลาย (absorbable suture) เช่น Vicryl, Vicryl Rapide, Catgut จะละลายได้ดี เมื่ออยู่ในเนื้อเยื่อที่มีความชุ่มชื้นและเอนไซม์ แต่ถ้าไหมบางส่วน โผล่ออกมานอกแผลหรือพ้นออกมาที่ผิวหนัง มักจะไม่ละลายต่อ หรือใช้เวลานานมาก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นไหมโผล่หรือปลายแข็ง ๆ อยู่ด้านนอก

09/08/2025

✅ ผลไม้ที่แนะนำ (กินได้และมีประโยชน์)
• 🍌 กล้วย – เป็นแหล่งโพแทสเซียมช่วยรักษาความดันโลหิตและลดความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ แถมยังย่อยง่าย ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้
• 🍊 ส้มและส้มโอ – อุดมด้วยวิตามิน C และโฟเลต ช่วยป้องกันความผิดปกติของท่อประสาท และมีน้ำมากช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกาย
• 🥭 มะม่วงสุก – มีวิตามิน A, C, โฟเลต, บี 6, ใยอาหารและทองแดง งานวิจัยพบว่าคนที่กินมะม่วงจะได้รับสารอาหารและใยอาหารมากขึ้นพร้อมลดการบริโภคน้ำตาลเพิ่ม
• 🍐 สาลี่ (แพร์) – แม้จะเป็นผลไม้ที่นำเข้า แต่หาได้ง่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตไทย ให้ไฟเบอร์ โพแทสเซียมและโฟเลต ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกซึ่งพบได้บ่อยในคนท้อง
• 🥑 อะโวคาโด – ผลไม้จากภาคเหนือของไทย มีวิตามิน C, E, K, ไขมันไม่อิ่มตัว, ใยอาหาร และโพแทสเซียม ไขมันดีช่วยสร้างเซลล์สมองและผิวหนังของทารก ส่วนโพแทสเซียมช่วยลดตะคริวขา
• 🍇 องุ่น – ให้วิตามิน C และ K, โฟเลต, สารต้านอนุมูลอิสระและใยอาหาร สารฟลาโวนอลและแอนโทไซยานินในองุ่นช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ
• 🍏 แอปเปิล – ผลไม้ต่างประเทศที่มีขายทั่วไป ให้วิตามิน A, C, ใยอาหารและโพแทสเซียม เพิ่มพลังและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดี
• 🍉 แตงโม – มีน้ำสูงมาก ช่วยป้องกันการขาดน้ำ และให้วิตามิน A, C และแมกนีเซียม เหมาะสำหรับแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการคลื่นไส้ในไตรมาสแรก แต่แตงโมก็ต้องระวังเพราะมีค่า GI สูงมากชนิดนึงครับ ค่าน้ำตาลจะขึ้นสูงเร็วนั่นเองครับ

••••••••

ผลไม้ที่ค่า GI ต่ำ ซึ่งดีคือระดับน้ำตาลไม่พุ่งและอิ่มนานก็คือ “อะโวคาโด” และ “ฝรั่ง” ครับ

09/08/2025

น้ำคร่ำน้อย หรือ Oligohydramnios หมายถึง ปริมาณน้ำคร่ำรอบตัวลูกน้อยกว่าปกติ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น รกทำงานลดลง ภาวะครรภ์เกินกำหนด หรือปัญหาสุขภาพของแม่และลูก

💡 ทำไมต้องนัดคลอด?
เพราะน้ำคร่ำมีบทบาทสำคัญต่อการปกป้องลูกจากแรงกด การช่วยพัฒนาปอด และลดโอกาสสายสะดือถูกกดทับ หากน้ำคร่ำลดลงมาก เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น สายสะดือกด หัวใจทารกเต้นช้าลง หรือแม้แต่เสียชีวิตในครรภ์

📅 แนวทางเวลาคลอด (ตามคำแนะนำ ACOG/SMFM)
• พบครั้งแรกตอนอายุครรภ์ ≥ 38 สัปดาห์ ➡️ ควรคลอดเลย
• พบและยืนยันว่ามีน้ำคร่ำน้อยตลอด หลัง 36 สัปดาห์ ➡️ ควรคลอดในช่วง 36–37 สัปดาห์
• ถ้ามีภาวะอื่นร่วมด้วย (เช่น ลูกตัวเล็กกว่าปกติ, ความดันสูง, เบาหวาน, ลูกดิ้นน้อย) ➡️ อาจต้องคลอดเร็วกว่านี้
• ถ้าหัวใจลูกเต้นผิดปกติ หรือมีภาวะฉุกเฉิน ➡️ คลอดทันที

👩‍⚕️ วิธีคลอด ขึ้นกับความพร้อมของปากมดลูกและความปลอดภัยของลูก — อาจคลอดธรรมชาติหรือผ่าตัดคลอด

21/07/2025

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ “ปากแหว่งเพดานโหว่” แล้วรู้สึกว่าฟังดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้ว ภาวะนี้พบได้ ประมาณ 1 ใน 700 และเป็นหนึ่งในความผิดปกติแต่กำเนิดที่พบบ่อยครับ

🔍 เกิดขึ้นเมื่อไหร่?
ปากแหว่งเพดานโหว่ไม่ได้เกิดขึ้นตอนใกล้คลอด แต่เกิดมาตั้งแต่ ช่วงต้นของการตั้งครรภ์ ในไตรมาสแรก โดยเฉพาะในช่วง สัปดาห์ที่ 6–9 ของอายุครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่อวัยวะบนใบหน้าของทารกกำลังเชื่อมต่อและก่อรูปร่าง หากขั้นตอนนี้ไม่สมบูรณ์ ก็จะเกิดช่องว่างขึ้นที่ริมฝีปาก เพดานปาก หรือทั้งสองตำแหน่ง

🧬 อะไรเป็นสาเหตุ?
ในหลายกรณี เรา ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ ซึ่งหมายความว่าแม้คุณแม่จะดูแลตัวเองดีแค่ไหน ภาวะนี้ก็ยังอาจเกิดขึ้นได้

จากการศึกษาพบว่า มีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยง ได้แก่:
• พันธุกรรม (หากมีคนในครอบครัวเป็น)
• การได้รับสารบางอย่างช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกครับ ดังนั้นช่วงนี้คือช่วงสำคัญมากๆการจะกินอะไรช่วงนี้เราต้องระมัดระวังครับ

💊 ยาที่อาจเกี่ยวข้อง…แต่ไม่ใช่ทุกตัว
ข้อมูลทางวิชาการพบว่า ยาบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยง เช่น:
• Phenytoin (ยากันชัก)
• Valproic acid (ยากันชัก)
• Isotretinoin (ยารักษาสิวชนิดแรง)
• Methotrexate (ยากดภูมิ/ยารักษามะเร็งบางชนิด)

‼️ แต่อย่าเพิ่งตกใจ ‼️
ไม่ได้หมายความว่ายาทุกชนิดมีความเสี่ยง บางตัวยัง ไม่มีหลักฐานแน่ชัด หรือ พบว่าไม่เกี่ยวข้องเลย ดังนั้น….ถ้าแพทย์ทราบแล้วว่าตั้งครรภ์ แล้วตรวจพบโรคที่ต้องรักษาด้วยยา พอเราได้รับยามาแล้วเมื่อยืนยันกันแล้วว่ามีความจำเป็นต้องรักษาขณะท้องด้วยแล้วนั้น…

❗ อย่าหยุดยาเองเด็ดขาด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าหยุดยาเองหรือปฏิเสธการรักษา เพราะบางโรคอันตรายหากไม่รักษา เช่น โรคลมชัก หรือโรคทางภูมิคุ้มกัน การหยุดยากะทันหันอาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยมากกว่าอย่างมากเลยครับ

บางโรคต้องได้รับยากดภูมิเพื่อควบคุมโรค ถ้าคนท้องไม่กินยา อาการโรคจะรุนแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น เกร็ดเลือดต่ำ ไตทำงานผิดปกติ ความดันขึ้นสูง … แล้วจะสามารถไปส่งผลเสียต่อลูกในท้องได้อีก พอคุมโรคไม่อยู่อาจเกิดเจ็บท้องก่อนกำหนด เกิดครรภ์เป็นพิษ เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเหล่านี้อันตรายมากๆๆๆครับ

21/07/2025

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เว้นระยะอย่างน้อย 3 เดือน หลังการแท้งหรือยุติการตั้งครรภ์ก่อนที่จะตั้งครรภ์ใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย และภาวะซีดในมารดา

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยใหม่ๆพบว่า การตั้งครรภ์ใหม่ภายใน 3 เดือน หลังการแท้งหรือยุติการตั้งครรภ์ ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใดในผู้หญิงสุขภาพดีครับ

••••••••

🔹 แนวทางปฏิบัติ

โดยทั่วไป หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนทางร่างกายหรือจิตใจ ผู้หญิงสามารถเริ่มพยายามตั้งครรภ์ใหม่ได้ หลังผ่านไปประมาณ 3 เดือน

แต่หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ ความผิดปกติของมดลูก หรือมีความเครียดทางจิตใจ ควรปรึกษาแพทย์ และอาจพิจารณาเว้นระยะนานขึ้น ถึง 6 เดือน และปรึกษาแพทย์ก่อนอีกครั้งเพื่อประเมินความพร้อมครับ

12/07/2025

🩸 “ทุกการคลอดมีความเสี่ยงตายที่ต้องจ่าย” — ความจริงที่ไม่มีใครอยากได้ยิน

“แค่คลอดลูก จะตายได้ยังไง?”
หลายคนอาจเคยคิดแบบนี้ เพราะการคลอดดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน
แต่ความจริงคือ ทุกครั้งที่ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นเตียงคลอด คือการเอาชีวิตไปวางไว้บนความเสี่ยง
หนึ่งในภัยเงียบที่รุนแรงและฉับพลันที่สุดก็คือ ภาวะน้ำคร่ำอุดตันในปอด หรือ Amniotic Fluid Embolism (AFE)

😰 AFE คืออะไร?

AFE คือภาวะที่ “เศษน้ำคร่ำ” — ซึ่งอาจมีชิ้นส่วนเซลล์ของทารก เยื่อบุ ขนอ่อน หรือไขมันจากน้ำคร่ำ — หลุดเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ แล้วไปกระตุ้นปฏิกิริยารุนแรงในร่างกาย บางครั้งก็ไปอุดหลอดเลือดในปอดโดยตรง
ภายในไม่กี่นาที คุณแม่อาจหายใจไม่ออก ความดันตก หัวใจหยุดเต้น เลือดออกไม่หยุด และเสียชีวิตทันทีบนเตียงคลอด

📉 เกิดบ่อยไหม?

แม้จะหายากมาก — ประมาณ 1 ใน 40,000 ถึง 60,000 การคลอด — แต่ความรุนแรงของมันคือสิ่งที่ทำให้ AFE เป็น “ฝันร้ายขั้นสุดของการคลอด”
อัตราการเสียชีวิตของแม่สูงถึง 30–60% และคนที่รอดชีวิตก็มีโอกาสสูงที่จะมีภาวะแทรกซ้อนทางสมองหรือระบบไหลเวียนโลหิต

AFE คือเหตุการณ์ที่เกิดเร็ว ไม่เตือนล่วงหน้า และไม่มีใครคาดเดาได้
คุณแม่บางคนเพิ่งยิ้มถ่ายรูปรอเจอลูก แต่กลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณในเวลาไม่ถึงสิบนาที

⚠️ อะไรทำให้เสี่ยง?

ถึงแม้ยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ชัดเจนได้ 100% แต่มีปัจจัยที่พบร่วมบ่อย เช่น:
• คุณแม่อายุมากกว่า 35 ปี
• การเร่งคลอดหรือกระตุ้นมดลูก
• ภาวะแทรกซ้อนของรก เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด
• การคลอดแฝด หรือทารกตัวใหญ่
• การผ่าคลอดหรือคลอดที่มีแผลฉีกขาดมาก

แต่ที่น่ากลัวคือ… AFE ก็สามารถเกิดได้ แม้ในคุณแม่ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เลย

🛡️ ป้องกันได้ไหม?

คำตอบคือ… ยังไม่มีวิธีป้องกันโดยตรง
เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าใครจะเป็น และจะเกิดเมื่อไร
สิ่งเดียวที่ช่วยได้คือ ระบบแพทย์ที่พร้อมรับมือทันที — มีทีมช่วยชีวิต มี ICU มีธนาคารเลือด มีทีมวิสัญญี และมีการสื่อสารที่รวดเร็วแม่นยำ

🚨 ถ้าเป็นขึ้นมาแล้วจะเป็นยังไง?

มันคือสถานการณ์ “นาทีเป็นนาทีตาย”
คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ความดันตก หน้าซีด ตัวเย็น แล้วหมดสติ
บางรายหัวใจหยุดเต้นทันที ต้องทำ CPR
หากหัวใจกลับมาแล้ว ยังต้องเจอกับปัญหาเลือดออกไม่หยุดจากภาวะ DIC
และแม้จะรอด… ก็อาจมีภาวะสมองขาดออกซิเจนที่ส่งผลถาวร

🤰🏻 เราในฐานะคนรอบตัวควรทำอะไร?
• เคารพและเข้าใจว่า “การคลอดลูกคือภารกิจเสี่ยงชีวิต ไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
• เลือกสถานพยาบาลที่มีความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
• สนับสนุนระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
• อย่ามองข้ามความเหนื่อย ความเสี่ยง และภาระที่ผู้หญิงต้องเผชิญเมื่อตั้งครรภ์และคลอดลูก

🧠 เรื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อให้คุณกลัว แต่เพื่อให้คุณ “รู้” ว่าชีวิตผู้หญิงทุกคนที่กำลังคลอดลูก…มีค่า และต้องการระบบที่พร้อมดูแลทุกลมหายใจ

“เพราะบางครั้ง การได้ยินเสียงร้องแรกของลูก อาจต้องแลกกับเสียงหายใจสุดท้ายของคนที่เพิ่งเป็นแม่…” ครับ

08/07/2025

สิ่งที่คุณแม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจตรวจ NIPT

ในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ล้ำหน้า การตรวจคัดกรองพันธุกรรมของทารกในครรภ์โดยไม่ต้องเจาะถุงน้ำคร่ำ หรือที่เรียกว่า NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณแม่หลายคนสนใจ เพราะตรวจจาก เลือดของแม่เพียงเล็กน้อย แต่สามารถให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพทางพันธุกรรมของลูกน้อยได้

แต่ก่อนตัดสินใจตรวจ NIPT คุณแม่ควรทำความเข้าใจหลายเรื่องให้ชัดเจน ทั้งเรื่องของ “ตรวจอะไรได้บ้าง” “ตรวจแม่นยำแค่ไหน” “ตรวจได้เมื่อไหร่” และ “ตรวจแล้วต้องทำอะไรต่อ” เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างเหมาะสม

••••••••

NIPT ตรวจหาอะไรได้บ้าง?

NIPT ออกแบบมาเพื่อตรวจหา ความผิดปกติของจำนวนโครโมโซมหลัก ๆ ที่พบได้บ่อยในทารก ได้แก่
• กลุ่มอาการดาวน์ (Trisomy 21)
• Trisomy 18 (Edwards syndrome)
• Trisomy 13 (Patau syndrome)

นอกจากนี้ แพ็กเกจบางรายการยังสามารถตรวจโครโมโซมเพศ (X, Y) และความผิดปกติที่เกิดจากการขาดหายของชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของโครโมโซม (microdeletions) ได้อีกด้วย เช่น DiGeorge syndrome หรือ Cri-du-chat syndrome (แต่ในส่วนที่บริการฟรีนี้เชื่อว่ายังไม่มีการตรวจเพิ่มเติมฟรีในกลุ่ม microdeletions นะครับ)

อย่างไรก็ตาม NIPT ไม่สามารถตรวจหาทุกโรคหรือความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ทั้งหมด และมีข้อจำกัดที่ควรทราบ เช่น
• ไม่สามารถตรวจหากลุ่มอาการ ออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) ได้
• ไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติของ พัฒนาการทางสมองหรือสติปัญญา ในทุกๆอย่างได้
• ไม่สามารถตรวจหาโรคเลือด เช่น ธาลัสซีเมีย ได้ในการบริการปัจจุบันเพราะต้องแยกตรวจต่างหากโดยการตรวจเลือดพ่อแม่

••••••••

ความแม่นยำของการตรวจ NIPT

การตรวจ NIPT มีความแม่นยำสูงมาก โดยเฉพาะในโรคที่เกี่ยวกับจำนวนโครโมโซมผิดปกติ เช่น
• ความแม่นยำในการตรวจ Trisomy 21 (ดาวน์ซินโดรม) สูงกว่า 99%
• Trisomy 18 และ 13 มีความแม่นยำประมาณ 90–97%

แต่ถึงแม้จะมีความแม่นยำสูง NIPT ก็ยังไม่ใช่การวินิจฉัย (diagnostic test) หากผลตรวจออกมาว่าผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาแนะนำให้คุณแม่ ยืนยันผลด้วยการเจาะน้ำคร่ำหรือเก็บเนื้อเยื่อจากรก เพื่อให้ได้ผลที่แน่นอนก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ครับ

••••••••

ตรวจ NIPT ได้เมื่อไหร่?

NIPT สามารถเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะช่วงนี้ cfDNA จากทารกจะเริ่มมีปริมาณมากพอในเลือดคนท้องให้วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ

การตรวจเร็วเกินไป (ก่อน 10 สัปดาห์) อาจทำให้ได้ผลที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ชัดเจน (เรียกว่า “no-call”) ซึ่งต้องตรวจซ้ำ ดังนั้นอย่ารีบร้อนนะครับ รอให้อายุครรภ์เหมาะสมก่อนครับ

••••••••

ใครบ้างที่อาจได้ผลตรวจที่ไม่แม่นยำ?

แม้การตรวจจะปลอดภัยและให้ผลแม่นยำสูง แต่ก็มีบางปัจจัยที่อาจทำให้ผลตรวจ NIPT ไม่ชัดเจนหรือคลาดเคลื่อนได้ เช่น
• คุณแม่ที่มี น้ำหนักตัวมาก (BMI สูง) อาจมี cfDNA จากทารกในกระแสเลือดต่ำกว่าปกติ
• ตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะแฝดต่างเพศ อาจทำให้การวิเคราะห์สับสน การตั้งครรภ์แฝดที่ตัวอ่อนหยุดเติบโตก็อาจทำให้ผลไม่แม่นได้
• คนท้องเคยได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะหรือปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
• เคยเป็นหรือกำลังเป็นหรือกำลังรักษา โรคมะเร็งบางชนิด
• เพิ่งได้รับ การให้เลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดจากผู้อื่น

ในกรณีเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตรวจ เพราะอาจจำเป็นต้องเลือกวิธีอื่นที่แม่นยำกว่า เช่น การเจาะน้ำคร่ำครับ

••••••••

ต้องตรวจ NIPT ทุกคนหรือไม่?

NIPT เป็น “การตรวจคัดกรองระดับสูง” (advanced screening) แนะนำให้ทำกับคนท้องที่มีโอกาสและหลังการคุยอย่างเข้าใจถึงข้อดีข้อจำกัดในทุกคนก่อนตัดสินใจเสมอ

สรุป: NIPT เหมาะกับใคร และควรตรวจหรือไม่?

NIPT เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณแม่ที่ต้องการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมในครรภ์โดยไม่เสี่ยงกับการเจาะน้ำคร่ำ แต่ต้องเข้าใจว่า:

• ไม่ได้ตรวจได้ทุกโรค
• ไม่ได้ตรวจโครโมโซมทุกคู่ และไม่ได้ตรวจลึกลงไปในทุกตำแหน่งของ gene การตรวจนี้เป็นการตรวจร่องรอยของ cell free DNA ของรกที่เข้ามาวนเวียบในเลือดคนท้อง บางกรณีรกที่ผิดปกติเด็กในท้องอาจไม่ได้ผิดปกติด้วยก็ได้นะ
• ไม่ได้แทนการตรวจธาลัสซีเมีย อัลตราซาวด์ หรือการตรวจวินิจฉัย
• หากผลผิดปกติ ต้องตรวจยืนยันต่อก่อนตัดสินใจทำอะไรต่อกับการตั้งท้อง

••••••••

ฝากช่วยกันส่งข่าวดีเรื่อง “บริการฟรี” ที่กำลังจะมา และช่วยกันประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีและข้อจำกัดเหล่านี้ล่วงหน้ากันนะครับ

เป็นเรื่องดีกว่าไม่ได้ตรวจอะไรเลย แต่การตรวจนี้ไม่ได้แทนทุกอย่างและยังบอกอะไรไม่ได้อีกหลายๆอย่างครับ

05/07/2025

ประสบการณ์ที่แม่หลายคนเล่าหลังการผ่าคลอดด้วยการบล็อกหลัง คือความรู้สึกที่ทั้งน่ากลัวและยากจะอธิบาย เช่น รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หน้ามืด คลื่นไส้ และบางคนถึงกับคิดว่า “กำลังจะตาย” ทั้งที่ร่างกายไม่ได้แสดงความผิดปกติชัดเจน

ความจริงแล้วอาการเหล่านี้มีคำอธิบายทางการแพทย์ที่ชัดเจน และสามารถป้องกันหรือดูแลได้ทันทีหากมีทีมแพทย์ที่เข้าใจและเตรียมพร้อม

💡 สาเหตุหลักของอาการที่พบบ่อยหลังบล็อกหลัง มีดังนี้:

🩸 1. ความดันโลหิตตก (Hypotension)
ยาชาที่ฉีดเข้าหลังทำให้เส้นเลือดขยายตัวทั่วร่างกาย ส่งผลให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจน้อยลง หัวใจก็สูบฉีดเลือดได้น้อยลงเช่นกัน ทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว
ผลที่ตามมาคือ เวียนหัว หน้ามืด คลื่นไส้ และรู้สึกเหมือนจะหมดสติ

😮‍💨 2. บล็อกหลังจะทำให้แน่นหน้าอกคล้ายถูกกดทับจากของหนักๆ
หากยาชาไหลขึ้นไปสูงถึงระดับอกหรือสูงกว่า อาจทำให้รู้สึกแน่นหน้าอก กลั้นหายใจ หรือหายใจไม่ออก ทั้งที่จริงๆ แล้วกล้ามเนื้อหลักในการหายใจ (diaphragm) ยังทำงานได้ตามปกติ
บางคนจึงรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทัน หรือ “เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น” ทั้งที่ร่างกายยังปกติดี

🤢 3. คลื่นไส้อาเจียนขณะผ่าตัด
เกิดจากสองปัจจัยหลัก:
• ความดันที่ตกลงอย่างรวดเร็ว
• การที่แพทย์จับหรือดึงมดลูกขณะผ่าคลอด ซึ่งกระตุ้นเส้นประสาท vagus ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนเฉียบพลัน บางคนอาจหน้าซีดเย็น เหงื่อออก และรู้สึกไม่สบายทันที

🧠 4. ความเครียดและความกลัว (Anxiety / Panic)
การอยู่ในห้องผ่าตัด ได้ยินเสียงอุปกรณ์ เห็นแสงไฟจ้า รู้สึกตัวตลอดเวลาแต่ขยับไม่ได้ อาจทำให้รู้สึกเหมือนโดนคุกคามหรือควบคุมไม่ได้
โดยเฉพาะถ้าเป็นการผ่าตัดครั้งแรก หรือมีประสบการณ์ไม่ดีมาก่อน สมองอาจตอบสนองด้วยอาการ “panic attack” เช่น ใจเต้นเร็ว มือเย็น หายใจหอบ และรู้สึกเหมือนจะตาย

🛡️ แล้วจะป้องกันหรือลดอาการเหล่านี้ได้อย่างไร?
1. ทีมแพทย์จะเตรียมสารน้ำและยารักษาความดันไว้ก่อนบล็อกหลัง เพื่อควบคุมความดันไม่ให้ตกเร็วเกินไป
2. หากความดันเริ่มลด จะมีการให้ยาเพิ่มความดัน เช่น ephedrine หรือ phenylephrine ทันที
3. วางท่านอนให้เอียงซ้ายเล็กน้อย ลดการกด vena cava จากมดลูก
4. ดูแลการให้ยาชาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงเกินไป
5. ให้ข้อมูลกับผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด เพื่อเตรียมใจและลดความกลัว
6. หากเริ่มมีอาการ panic หรือเครียดมาก อาจพิจารณาให้ยาแก้กังวลขนาดต่ำ
7. มีการให้ออกซิเจน และติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด

📌 สรุป:

อาการ “รู้สึกเหมือนจะตาย หายใจไม่ออก คลื่นไส้” หลังบล็อกหลังผ่าคลอด เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและเข้าใจได้ทางสรีรวิทยาและจิตใจ ไม่ได้หมายความว่ากำลังเกิดอันตรายร้ายแรงเสมอไป

ที่อยู่

4/1-2 ถ. ร่วมใจ อ. เมืองฯ
Yasotorn
35000(ตลาดไนท์บาซ่าเดิม)

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 13:00
17:30 - 20:00
อังคาร 08:00 - 13:00
17:30 - 20:00
พุธ 08:00 - 13:00
17:30 - 20:00
พฤหัสบดี 08:00 - 13:00
17:30 - 20:00
ศุกร์ 08:00 - 13:00
17:30 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

0852416229

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกแพทย์อนุสรณ์ ยโสธรผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิกแพทย์อนุสรณ์ ยโสธร:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram