Kesara Mai ngam -Ray LMT

Kesara  Mai ngam -Ray LMT I am a licensed massage therapist, educator, and business owner with a passion for therapeutic excellence and a commitment to raising industry standards.

วันนี้มีนักวิ่งสาวอายุ 28 ปี มาหาครูด้วยอาการปวดหน้าแข้งด้านใน เธอบอกว่าแค่ซ้อมเกิน 3 กิโลเมตร ความเจ็บก็มาเหมือนมีไฟลาม...
08/23/2025

วันนี้มีนักวิ่งสาวอายุ 28 ปี มาหาครูด้วยอาการปวดหน้าแข้งด้านใน เธอบอกว่าแค่ซ้อมเกิน 3 กิโลเมตร ความเจ็บก็มาเหมือนมีไฟลามลงตามกระดูกหน้าแข้งจนเกือบถึงข้อเท้า ต้องหยุดวิ่งกลางทางทุกครั้ง

พอครูตรวจจริง ๆ ก็เห็นสาเหตุชัด เธอมีภาวะ เท้าแบน (excessive pronation) เวลาเท้าลงพื้น อุ้งเท้าแทบยกไม่ขึ้นเลย ทำให้กล้ามเนื้อที่คอยพยุงอย่าง tibialis posterior, soleus และ flexor digitorum longus ต้องทำงานหนักเกินกำลัง แรงดึงซ้ำ ๆ นี้ไปกระแทกที่ periosteum ของ tibia จนเกิดการอักเสบ เราเรียกว่า shin splint หรือ medial tibial stress syndrome

ตอนกดตรวจ เธอเจ็บชัดเป็นแนวยาวตามกระดูกหน้าแข้งด้านใน นี่คือสัญญาณตรง ๆ ของ periosteum อักเสบ ไม่ใช่แค่น่องตึงธรรมดา

ครูเริ่มจากการ myofascial release คลายกล้ามเนื้อ tibialis posterior และ soleus ตามด้วย cross-fiber friction บริเวณกระดูกหน้าแข้ง ลดการระคายเคืองของ periosteum

จากนั้นใช้ dynamic cupping ที่กล้ามเนื้อน่องด้านหลังทั้ง gastrocnemius และ soleus โดยครูเลื่อนแก้วตามแนวยาวของกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้น circulation และคลาย fascia ให้ลึกขึ้น ลดแรงดึงที่ส่งต่อไปยังกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บ

สุดท้ายครูสอนให้เธอทำ stretching น่อง และฝึก strengthening ของ tibialis anterior และ intrinsic foot muscles เพื่อช่วยพยุงอุ้งเท้า พร้อมทั้งแนะนำให้ใช้รองเท้าที่มี arch support และลดระยะวิ่งลงในช่วงแรก

Nuad Thai Battle Los Angeles California 2025. I have been given the opportunity to be judged for this state by the Thai ...
08/13/2025

Nuad Thai Battle Los Angeles California 2025. I have been given the opportunity to be judged for this state by the Thai consulate and Nuad Thai and Spa Association of America, in conjunction with the California Massage Therapy Council (CAMTC), to promote Thai massage and Thai culture. Congratulations to all the winners.

เคสวันนี้: ปวดหลังล่างเรื้อรัง แต่ต้นเหตุมาจากกระดูกก้นกบ (stuck coccyx)ลูกค้ารายนี้มาด้วยอาการปวดหลังล่างเรื้อรังนานกว่...
07/18/2025

เคสวันนี้: ปวดหลังล่างเรื้อรัง แต่ต้นเหตุมาจากกระดูกก้นกบ (stuck coccyx)

ลูกค้ารายนี้มาด้วยอาการปวดหลังล่างเรื้อรังนานกว่า 1 เดือน โดยเฉพาะเวลานั่ง นอน หรือขยับตัวบนเตียง อาการเด่นคือ ลงน้ำหนักบนขาซ้ายไม่ได้ รู้สึกเจ็บจนไม่สามารถพลิกตัวได้ระหว่างการรักษา

ตอนแรกฟังดูเหมือนอาการทั่วไปของ low back pain หรือ SI joint dysfunction แต่เมื่อลองประเมินโครงสร้างทั้งหมดอย่างละเอียด
(lumbar spine, sacroiliac joint, piriformis, QL, glute med/min, hamstring, iliopsoas)
พบว่าทุกกล้ามเนื้อและข้อต่อรองรับได้ดีหลังการรักษา แต่เมื่อลูกค้าพลิกตัวเพื่อเปลี่ยนท่าบนเตียงกลับยังเจ็บแบบเดิม นี่คือจุดที่เราต้องคิดให้ลึกกว่านั้น

การประเมินต่อ: สงสัย coccyx fixation หรือกระดูกก้นกบติดและเอียง

หลังจาก ruling out ปัญหากล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณ lumbopelvic แล้ว ครูเริ่มสงสัยว่าอาการทั้งหมดอาจมีต้นเหตุจาก กระดูกก้นกบ (coccyx) ที่อยู่ในตำแหน่งผิดปกติหรือเกิดการติดขัด

เมื่อลองประเมิน manual ด้วยการ palpate รอบ sacrum และ coccyx พบว่า:
• กระดูกก้นกบเอียงไปทางซ้าย (left lateral deviation)
• อยู่ในตำแหน่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้
• กล้ามเนื้อ coccygeus และ ligament รอบ ๆ มีการยึดรั้งอย่างชัดเจน
• เมื่อกดถูกตำแหน่ง มีอาการเจ็บแปลบและร้าวลงขา

ทั้งหมดนี้ชี้ว่าอาจเกิด แรงกดทับเส้นประสาทรอบ sacrococcygeal plexus โดยเฉพาะกิ่งที่ไปเลี้ยง gluteal และ pelvic floor

ทำไม coccyx fixation ถึงทำให้เจ็บจนลงน้ำหนักไม่ได้?

เพราะ coccyx ไม่ใช่แค่กระดูกปลายสุดของกระดูกสันหลัง แต่ยังเป็นจุดยึดของกล้ามเนื้อและ fascia หลายมัดใน pelvic floor
และยังมีเส้นประสาทจาก sacral plexus หลายเส้นที่วิ่งผ่านด้านหน้า coccyx
ถ้ากระดูกนี้ติดหรือบิดเอียง:
• จะเกิดการดึงรั้งของ fascia และ ligament บริเวณ posterior pelvic floor
• ทำให้เกิด nerve entrapment หรือการกดทับเส้นประสาทจากแรงตึงสะสม
• ส่งผลให้ปวดแปลบร้าวลึก, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, และเสียการลงน้ำหนัก

เทคนิคที่ใช้: Coccyx Mobilization ด้วยแนวทางทางคลินิก

เมื่อยืนยันแล้วว่าต้นเหตุคือ coccyx ที่ติด ครูใช้เทคนิค manual coccyx release แบบ external approach
โดยผสมผสานแนวคิดจาก clinical anatomy, Thai bodywork และ orthopedic release

ขั้นตอน:
1. ให้ลูกค้านอนคว่ำ โดยมีหมอนรองใต้กระดูกเชิงกรานเพื่อปลด tension
2. ครู released fascia ด้านนอก รอบๆ sacrum ก่อน เพื่อให้ tissue รอบ coccyx soft
3. จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือ palpate จุดยึดของ coccyx ใต้ sacrum และ apply แรงเบา ๆ ในแนว
• posterior glide
• lateral distraction (งัดออกด้านข้าง)
• และ superior lift เพื่อให้ coccyx disengage ออกจากการยึดรั้ง
4. ระหว่างการ release ครูใช้การกำกับลมหายใจ (breath cueing) ให้ลูกค้าช่วยคลาย pelvic floor จากภายในด้วยตัวเอง

ผลลัพธ์ชัดเจนในไม่ถึง 5 นาที:
• ลูกค้าสามารถพลิกตัวได้ทันทีแบบไม่มีอาการเจ็บ
• ลุกขึ้นยืนและลงน้ำหนักบนขาซ้ายได้เต็มเท้า
• อาการปวดที่สะสมมานานหายไปทันทีหลัง correction

อาการปวดหลังล่างบางเคสไม่ใช่เรื่องกล้ามเนื้ออย่างเดียว แต่เป็นปัญหาทางโครงสร้างที่ต้องประเมินให้ลึกไปถึง coccyx ซึ่งเป็นจุดที่คนมักมองข้าม
การเข้าใจ fascia, nerve entrapment และกลไกของ pelvic floor ทำให้เราสามารถแก้เคสที่ซับซ้อนและเรื้อรังได้แม่นยำและปลอดภัย

เคสศึกษาลูกค้าปวดข้อศอกจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินวันละ 12 ชั่วโมงลูกค้ารายหนึ่ง อายุ 42 ปี ทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ ...
07/11/2025

เคสศึกษาลูกค้าปวดข้อศอกจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินวันละ 12 ชั่วโมง

ลูกค้ารายหนึ่ง อายุ 42 ปี ทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ใช้เมาส์มือขวาต่อเนื่องหลายปี โดยไม่เคยยืดกล้ามเนื้อแขนหรือเปลี่ยนท่าทางการทำงานอย่างเหมาะสม

อาการเริ่มต้นจากปวดจี๊ดเฉพาะจุดบริเวณข้อศอกด้านนอกเวลาคลิกเมาส์หรือพิมพ์นาน ๆ ต่อมาเริ่มมีอาการปวดลึกในข้อศอก ร้าวลงปลายนิ้ว
บางวันชานิ้วนางกับนิ้วก้อย และบางช่วงมืออ่อนแรง จับของแล้วหล่น
อาการเหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้แค่การอักเสบของกล้ามเนื้อ แต่แสดงให้เห็นถึงการเกี่ยวข้องของเส้นประสาทสำคัญรอบข้อศอกด้วย

ตำแหน่งของอาการปวด และโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง

1. ปวดข้อศอกด้านนอก (Lateral Elbow Pain)

ตำแหน่งที่ปวดอยู่บริเวณกระดูกปุ่มด้านนอก (lateral epicondyle)
มักพบในกลุ่มที่ใช้ข้อมือและนิ้วมือซ้ำ ๆ เช่น คลิกเมาส์ พิมพ์ หรือจับของหนัก

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง:
– Extensor carpi radialis brevis
– Extensor digitorum

หากมีจุดเกาะอักเสบหรือมี trigger point จะพบอาการปวดเฉพาะจุด ร้าวลงท่อนแขน หรืออ่อนแรงในการเหยียดข้อมือ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเส้นประสาท radial nerve

2. ปวดลึกในข้อศอก และร้าวลงปลายนิ้ว

บางครั้งลูกค้ารายนี้รู้สึกปวดเหมือนอยู่ลึก “ข้างในข้อศอก” โดยไม่มีรอยบวมหรือแดง ตรวจพบกล้ามเนื้อ supinator ตึงและเจ็บ กล้ามเนื้อนี้สามารถกดทับเส้นประสาท radial nerve โดยเฉพาะช่วง posterior interosseous nerve ซึ่งนำไปสู่อาการชาบริเวณหลังมือและนิ้วโป้ง

เส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับข้อศอก

Radial Nerve

วิ่งผ่านด้านหลังข้อศอก (posterolateral elbow)
ทำหน้าที่ควบคุมการเหยียดข้อมือและนิ้วมือ เมื่อถูกกดทับ อาจทำให้เกิด:
– ปวดลึกบริเวณข้อศอกด้านนอก
– ชาที่หลังมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้งและนิ้วชี้
– อ่อนแรงในการเหยียดข้อมือหรือใช้งานเมาส์

Median Nerve

ผ่านด้านหน้าของข้อศอก ใต้กล้ามเนื้อ pronator teres ในผู้ที่หมุนแขนหรือเกร็งมือซ้ำ ๆ อาจเกิด pronator syndrome

อาการที่พบ:
– ปวดแปล๊บด้านหน้าข้อศอก
– ชานิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
– กล้ามเนื้อมืออ่อนแรงเวลาใช้มือบีบหรือจับสิ่งของเล็กๆ

Ulnar Nerve

ผ่านด้านในข้อศอกที่บริเวณ cubital tunnel หากพิงศอกบนโต๊ะนาน ๆ หรืออยู่ในท่างอศอกซ้ำ จะเกิดการกดทับ

อาการที่พบ:
– ชานิ้วนางและนิ้วก้อย
– มืออ่อนแรงโดยเฉพาะตอนหยิบจับของเล็ก ๆ
– อาการแย่ลงในตอนกลางคืนหรือตอนขับรถ

กล้ามเนื้ออื่นที่มีผลต่อข้อศอก

Triceps Brachii

กล้ามเนื้อด้านหลังต้นแขน มีจุดเกาะที่กระดูก ulna (olecranon)
หากมี trigger point ใน triceps จะส่งปวดลงข้อศอกด้านหลัง และอาจร้าวขึ้นไหล่ โดยเฉพาะในคนที่ใช้แขนดันพื้น ค้างท่าเหยียดศอกนาน ๆ ขณะนั่งหน้าคอม

Anconeus

กล้ามเนื้อเล็กด้านหลังข้อศอก
มีหน้าที่ช่วยเหยียดศอก ร่วมกับ triceps
อาจมีอาการปวดจุดเล็ก ๆ เฉพาะที่หลังข้อศอก หากถูกใช้งานซ้ำ

Biceps Brachii

แม้กล้ามเนื้อนี้จะไม่เกาะตรงข้อศอก แต่ tendon ของมันเกาะที่กระดูก radius
ในท่านั่งพิมพ์หรืองอศอกทั้งวัน กล้ามเนื้อ biceps อาจตึงและทำให้ข้อศอกเหยียดไม่สุด บางรายรู้สึกเจ็บข้อศอกด้านหน้า หรือเมื่อพยายามเหยียดแขนเต็มที่

เมื่ออาการปวดไหล่เรื้อรัง พาเราย้อนกลับไปหาต้นเหตุที่ “เท้า”ลูกค้ารายหนึ่งเข้ามารับการรักษากับเราด้วยอาการปวดไหล่ขวาเรื้...
07/07/2025

เมื่ออาการปวดไหล่เรื้อรัง พาเราย้อนกลับไปหาต้นเหตุที่ “เท้า”

ลูกค้ารายหนึ่งเข้ามารับการรักษากับเราด้วยอาการปวดไหล่ขวาเรื้อรัง ยกแขนสูงแล้วเจ็บ เอื้อมหยิบของก็ไม่ถนัด เหมือนมีอะไรตึงค้างอยู่ตลอดเวลา หลังจากประเมินครั้งแรก เราพบว่ากล้ามเนื้อรอบไหล่และสะบัก เช่น trapezius, levator scapulae และ rotator cuff ตึงและมี trigger point หลายจุด

การรักษาเน้นการคลายกล้ามเนื้อและ fascia รอบไหล่ ปรับการเคลื่อนไหวและยืดกล้ามเนื้อ ผลลัพธ์ช่วงแรกดีมาก ลูกค้ากลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ ยกแขนได้ดีขึ้น เจ็บน้อยลง

แต่เพียงหนึ่งเดือนถัดมา ลูกค้ากลับมาอีกครั้งพร้อมอาการเดิม ทั้งที่ไม่ได้ทำกิจกรรมหนักหรือมีอุบัติเหตุใดๆ เราเริ่มสงสัยว่าปัญหานี้อาจมีอะไรมากกว่าแค่ความตึงตัวของกล้ามเนื้อในจุดที่เจ็บ

ครั้งนี้ เราตัดสินใจเริ่มต้นประเมินใหม่ทั้งหมด

สิ่งที่พบเปลี่ยนมุมมองของเราทั้งหมด ลูกค้ามีการลงน้ำหนักขาซ้ายมากกว่าขวา สะโพกขวาต่ำกว่า และการเดินมีการหมุนลำตัวเล็กน้อย เมื่อถามลึกขึ้น ลูกค้าจึงบอกว่าเคยข้อเท้าขวาหักเมื่อปีที่แล้ว แม้จะหายดีแล้ว แต่ยังคงรู้สึกไม่มั่นคงเวลาลงน้ำหนัก

เหตุผลที่ทำให้อาการไหล่กลับมาอีกครั้ง

เมื่อข้อเท้าขวาขาดความมั่นคง ร่างกายต้องหาทางชดเชยทั้งแนว kinetic chain การเดินผิดรูปทำให้สะโพก กระดูกสันหลัง และท้ายที่สุด ไหล่ ต้องปรับตัวตลอดเวลาเพื่อรักษาสมดุล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมกล้ามเนื้อรอบไหล่ถึงทำงานเกินกำลังจนกลับมาเจ็บอีก

จากมุมมองของ fascia เครือข่ายเนื้อเยื่อที่เชื่อมโยงทั้งร่างกายส่งแรงตึงจากเท้าขึ้นมาถึงสะโพกและไหล่ โดยเฉพาะตามแนว lateral line และ superficial back line ที่ต่อเนื่องกันเป็นเส้นเดียว การแก้เฉพาะที่ไหล่จึงเป็นเพียงปลายเหตุ

แนวทางใหม่ที่แก้ทั้งระบบ

เราปรับแผนการรักษาใหม่ทั้งหมด เริ่มต้นจากข้อเท้า ขา สะโพก และกระดูกสันหลัง ร่วมกับการคลาย fascia ทั้งเส้นจนถึงไหล่ เราทำการ mobilization ข้อเท้า ปรับ pelvic alignment และแก้ pattern การเดิน พร้อมทั้งฝึก proprioception ให้ข้อเท้ากลับมาทำงานได้มั่นคง

ผลลัพธ์ครั้งนี้ต่างออกไป ลูกค้าบอกว่ารู้สึกทั้งร่างกายเบาสบาย การยืนและเดินมั่นคงขึ้น อาการไหล่หายไปโดยไม่กลับมาอีก

บทเรียนจากเคสนี้

อาการปวดของร่างกายหลายครั้งไม่ได้เกิดจากจุดที่เจ็บ แต่เป็นผลจากความไม่สมดุลที่ซ่อนอยู่ในที่ที่เราอาจไม่ได้มอง การรักษาที่ได้ผลจริง คือการมองร่างกายทั้งระบบ ไม่ใช่แค่จุดเจ็บ

รู้ไหมคะ? ทุกครั้งที่คุณหายใจ ขยับแขน หรือก้าวเดิน…คุณกำลังช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงาน!ระบบน้ำเหลืองของร่างกายเปรียบเหมือน...
06/28/2025

รู้ไหมคะ? ทุกครั้งที่คุณหายใจ ขยับแขน หรือก้าวเดิน…คุณกำลังช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงาน!

ระบบน้ำเหลืองของร่างกายเปรียบเหมือน "ทางระบายน้ำ" ที่ช่วยพาของเสียและของเหลวส่วนเกินกลับเข้าสู่กระแสเลือด และที่น่าทึ่งคือ ร่างกายเรามีจุดและการเคลื่อนไหวธรรมชาติที่ช่วยผลักน้ำเหลืองกลับไปยังจุดเดรนหลักได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องมือพิเศษเลย!

จุดสำคัญที่ร่างกายใช้ผลักน้ำเหลือง ได้แก่:
Diaphragm (กระบังลม)
ทุกครั้งที่คุณหายใจลึก กระบังลมจะทำตัวเหมือนปั๊มน้ำ ดูดและผลักน้ำเหลืองจากช่องท้องและขาล่าง ขึ้นไปยังท่ออก (thoracic duct) และในที่สุดกลับเข้าสู่กระแสเลือด การฝึกหายใจลึกสามารถช่วยเสริมการระบายน้ำเหลืองได้ดีขึ้น

รักแร้ (Axillary region)
เวลาคุณขยับไหล่หรือเหยียดแขน กล้ามเนื้อรอบไหล่และอกช่วยบีบต่อมน้ำเหลืองรักแร้ ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการเดรนน้ำเหลืองจากแขนกลับเข้าสู่ลำตัว

ขาหนีบ (Inguinal region)
การเดิน วิ่ง หรือแม้แต่การลุกนั่ง จะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขา ช่วยผลักน้ำเหลืองจากขากลับไปยังต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ

ข้อพับ (Popliteal และ Cubital fossa)
การเหยียด งอ ข้อศอกและเข่า ทำงานเหมือนปั๊มเล็กๆ ในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองก่อนส่งต่อไปยังจุดเดรนใหญ่

การหายใจลึกๆ และการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืดเหยียด หรือแม้แต่การลุกนั่ง ล้วนช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายเราออกแบบมาเพื่อจัดการของเสียและลดอาการบวม เพียงแค่เราให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวและการหายใจอย่างถูกวิธี ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลสุขภาพแล้วค่ะ

เคสวันนี้: ลูกค้ากรามค้างบ่อย ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด อ้าปากแล้วปากเบี้ยว เวลาพูดนาน ๆ จะรู้สึกล้า พอหาวแรง ๆ กรามก็เหมือนจะห...
06/27/2025

เคสวันนี้: ลูกค้ากรามค้างบ่อย ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด อ้าปากแล้วปากเบี้ยว
เวลาพูดนาน ๆ จะรู้สึกล้า พอหาวแรง ๆ กรามก็เหมือนจะหลุด ลิ้นแข็ง เหมือนขยับได้ไม่สุด พูดแล้วเสียงไม่ชัด เวลากลืนก็ดูฝืน ๆ ลูกค้าบอกว่า รู้สึกไม่โอเคกับตัวเองมานาน แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงไหน

ครูขอเล่าให้ฟังแบบนี้นะคะ
ปัญหาแบบนี้ไม่ได้เกิดจากแค่กราม หรือกล้ามเนื้อในปาก มันมาจากกล้ามเนื้อหลายมัดที่ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่หน้าอก คอ บ่า ไหล่ ไปจนถึงขากรรไกร และลิ้น

ถ้าเราเข้าไปนวดด้านในก่อน โดยที่กล้ามเนื้อรอบนอกยังเกร็งอยู่ ร่างกายเขาจะไม่ยอม และมักจะเจ็บ หรือยิ่งทำให้ตึงมากขึ้น

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับขากรรไกร (TMJ) และหน้าที่

- Masseter – ปิดปากและเคี้ยว
- Temporalis – ยกขากรรไกรขึ้น
- Medial Pterygoid – บดเคี้ยวและดึงกรามขึ้น
- Lateral Pterygoid – เปิดปากและพา joint เคลื่อน
- Digastric (anterior belly) – เปิดปากและเคลื่อนกรามลง

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับลิ้น และหน้าที่

- Mylohyoid / Geniohyoid / Stylohyoid – ยกและทรงตัวลิ้น
- Genioglossus – ดันลิ้นออกข้างหน้า
- Styloglossus / Hyoglossus – หดลิ้นกลับ

กล้ามเนื้ออก คอ บ่า ไหล่ ที่เกี่ยวข้อง

- Pectoralis minor / major – รั้งไหล่มาข้างหน้า ดึงคอลง
- SCM – รั้งฐานกะโหลก ทำให้กรามหมุนผิดแนว
- Scalenes – รบกวนเส้นประสาทที่ควบคุมลิ้น
- Upper trapezius / Levator scapulae – ศีรษะเอียง ขากรรไกรทำงานไม่สมดุล

ถ้ากล้ามเนื้อพวกนี้ตึงจะเกิดอะไรขึ้น?

- ขากรรไกรเปิดไม่สุด หรือเปิดเบี้ยว
- ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด กลืนลำบาก
- การทำงานไม่สัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อบดเคี้ยวกับลิ้น

ลำดับการแก้

1. หน้าอก – คลาย pec minor / major
2. คอ – คลาย SCM / scalenes
3. บ่าและไหล่ – คลาย upper traps / levator scapulae
4. ขากรรไกรภายนอก – คลาย masseter, temporalis, platysma
5. ใต้คาง – คลาย digastric, mylohyoid, geniohyoid
6. ในปาก – คลาย medial/lateral pterygoid

หลังจากคลายกล้ามเนื้อรอบขากรรไกร ลิ้น คอ บ่าไหล่ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว… งานเรายังไม่จบนะคะ

เพราะถ้าแค่คลายแต่ไม่ “ตั้งระบบใหม่”
ร่างกายเขาจะค่อย ๆ กลับไปชดเชยเหมือนเดิมอีก โดยเฉพาะคนที่มี postural pattern ไม่ดี มานาน เช่น forward head

ครูจะให้ลูกค้าทำการ activate กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว โดยเฉพาะ “กล้ามเนื้อหน้าท้อง” (transverse abdominis)
เพื่อให้ระบบโครงสร้างมันทรงตัวได้เองโดยไม่ต้องดึงจากคอหรือขากรรไกร

ทำไมต้องใช้ “กล้ามเนื้อท้อง” ช่วย TMJ?

- เพราะเวลาที่ core ไม่ทำงาน ร่างกายจะเอาคอ ไหล่ และแม้แต่กรามมาใช้พยุงการทรงตัวแทน
- โดยเฉพาะเวลานั่งทำงาน ใช้คอม หรือพูดนาน ๆ คนที่ core ไม่ทำงานจะค้างอยู่ในท่าทางที่รั้ง TMJ ตลอดเวลา
- กล้ามเนื้อที่ตึงก็จะกลับมาตึงอีก
- การ activate กล้ามเนื้อท้อง จะช่วยส่งแรงพยุงจากลำตัวขึ้นไปถึงฐานกะโหลก ลดภาระบนคอ บ่า และขากรรไกร

วิธีที่ครูแนะนำให้ลูกค้าทำต่อหลังการนวด:
1. ฝึกหายใจลึกผ่านท้อง (diaphragmatic breathing)

ให้ลมลงลึกถึงท้อง แล้วค่อย ๆ รู้สึกว่าท้องยุบขณะหายใจออก — เพื่อกระตุ้น transverse abdominis แบบนุ่มนวล
ไม่ใช่เกร็งท้องแบบ sit-up แต่ให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อกลางลำตัวมัน “ตื่น”

2. ฝึก Chin Tuck เบา ๆ วันละ 10-20 ครั้ง

ให้ลูกค้านั่งพิงหลังเบา ๆ เอาคางถอยไปด้านหลังแบบไม่ก้ม ไม่เงย จินตนาการว่า “มีเส้นตรงลากจากปลายจมูกถึงกระดูกอก” แล้วค่อย ๆ ถอยคางตามแนวนี้ การฝึก chin tuck จะช่วยจัดแนวฐานกะโหลก – คอ – ขากรรไกร ให้กลับมาอยู่ในจุดสมดุล เหมาะมากกับคนที่คอยื่น จนส่งผลต่อ TMJ และลิ้นทำงานผิดจังหวะ

Case study : ปวดตึงจากคอถึงนิ้วกลาง…เพราะ C7 ถูกกดทับเมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนไข้ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่คลินิก ด้วยอาการปวดตึง...
06/26/2025

Case study : ปวดตึงจากคอถึงนิ้วกลาง…เพราะ C7 ถูกกดทับ
เมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนไข้ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่คลินิก ด้วยอาการปวดตึงตรงต้นคอ ปวดร้าวลงหัวไหล่ หลังแขน จนถึงนิ้วกลาง บอกว่าเป็นมาหลายสัปดาห์ จนแทบจับของไม่ไหว แถมมีอาการชา ๆ แปล๊บ ๆ ตลอดแนวแขนอีกด้วย ฟังอาการแบบนี้… ในหัวของเราก็คิดเลยว่า “น่าจะเป็น C7 Pinched Nerve”

C7 Pinched Nerve คืออะไร?
C7 เป็นรากประสาทบริเวณข้อกระดูกคอข้อที่ 7 มีหน้าที่ส่งสัญญาณไปควบคุมกล้ามเนื้อและรับความรู้สึกตั้งแต่ต้นแขน หลังแขน จนถึงนิ้วกลาง พอมีแรงกดทับตรงบริเวณนี้ (อาจมาจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน หินปูนเกาะข้อ หรือกล้ามเนื้อตึงสะสม) คนไข้จะรู้สึกทั้งปวด ตึง ชา แปล๊บ ๆ หรืออ่อนแรงได้

อาการเป็นแบบไหน?
- ปวดตึง ๆ ตั้งแต่คอ หัวไหล่ หลังแขน จนถึงนิ้วกลาง
- มีอาการชา แปล๊บ ๆ หรือตึงตลอดแนวแขน
- หยิบจับของหนัก ๆ ไม่ไหว
- ขยับหัวไหล่หรือคอแล้วรู้สึกตึงไปทั้งแนว

แผนการนวด
-คลายกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ เช่น Levator Scapulae, Upper Trapezius และ Scalene ด้วยเทคนิค Myofascial Release และ Neuromuscular Technique
-เปิดพื้นที่ให้เส้นประสาท ด้วย Pin & Stretch จัดท่านอนตะแคงหรือหงายเพื่อให้หัวไหล่และสะบักอยู่ในตำแหน่งคลายตัว
-Decompression & Traction ใช้ Manual Cervical Traction เพื่อดึงยืดแนวกระดูกสันหลังคอ ช่วยขยายพื้นที่และลดแรงกดทับบนรากประสาท C7
-คลายกล้ามเนื้อแขนและท่อนแขน ด้วย Stripping Technique, Compression และ Nerve Gliding Techniques เพื่อช่วยให้เส้นประสาทเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและลดอาการชา ปวด ตึง

วันก่อนมีลูกค้าเป็นหมอกายภาพมานวดแกมีคลินิกใหญ่ มีหมอกายภาพทำงานด้วยหลายคน แต่แกมาด้วยอาการปวดหลังล่างเรื้อรัง หาหมอ หาน...
06/25/2025

วันก่อนมีลูกค้าเป็นหมอกายภาพมานวด
แกมีคลินิกใหญ่ มีหมอกายภาพทำงานด้วยหลายคน แต่แกมาด้วยอาการปวดหลังล่างเรื้อรัง หาหมอ หานักกายภาพ หาหมอนวดมาหลายที่ แต่แกบอกว่า “ยังไม่มีใครแก้ตรงจุดได้เลย” จนแกได้ยินชื่อเราจากลูกค้าหลาย ๆ คนในคลินิก จึงตัดสินใจมาลอง

เรา Assessment และ Muscle Testing จนเจอว่า…แกมี Up Slip ของอุ้งเชิงกราน คืออุ้งเชิงกรานข้างหนึ่งยกขึ้นและ stuck จนทำให้ QL (Quadratus Lumborum), Erector Spinae, Iliopsoas และ Adductors หดเกร็ง ในขณะที่กล้ามเนื้อสำคัญ ๆ อย่าง Glute Medius, Transversus Abdominis, Oblique Muscles และ Multifidus ทำงานได้ไม่เต็มที่

✅ เราเลยจัดอุ้งเชิงกรานให้อยู่ในตำแหน่ง neutral (alignment)
✅ Gently traction และดึงขาข้างนั้นลง เพื่อช่วยคลายและจัดอุ้งเชิงกรานให้ตรง
✅ คลาย QL, Erector Spinae, Iliopsoas และ Adductors จนรู้สึกว่าเกร็งลดลง
✅ กระตุ้น Glute Medius, Transversus Abdominis, Oblique Muscles และ Multifidus ให้กลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพ

แกลุกขึ้น ขยับตัว บิดเอวก้ม ๆ เงย ๆ ก่อนหันมาบอกว่า…

“ต้องยอมนะ… เธอเก่งกว่าหมอ ๆ ที่คลินิกชั้นอีกนะเนี่ย! จริง ๆ เธอน่าจะไปเรียนเป็นหมอกายภาพนะ”

เราหัวเราะแล้วตอบว่า “ขอบคุณนะคะ แต่ต้องเรียนอีก 7 ปี… แล้วสุดท้ายก็ได้เงินไม่ต่างกัน ขอเป็นหมอนวดดีแล้ว 😂”

“อาการปวด” แต่ละเคส ต้องดูให้ชัดว่าเกิดจากกล้ามเนื้อ, พังผืด (fascial restriction), ข้อต่อ (joint restriction) หรือเส้นประสาท (neural tension) เพราะต้นตอเป็นตัวบอกว่าเราต้องเลือกเทคนิคไหน คลายตรงไหน และต้องกระตุ้นกล้ามเนื้อไหน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีและตรงจุดจริง ๆ

กรณีศึกษา: การประเมินผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะ Strokeบางครั้ง...การตัดสินใจ "ไม่" นวด คือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหร...
06/19/2025

กรณีศึกษา: การประเมินผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะ Stroke

บางครั้ง...การตัดสินใจ "ไม่" นวด คือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนไข้ของเรา

ลูกค้าท่านหนึ่งอายุ 88 ปี เข้ามาที่คลินิกพร้อมอาการ ปวดศีรษะร่วมกับเลือดกำเดาไหล ไม่มีโรคประจำตัว แต่แค่ “อายุ” เพียงอย่างเดียวก็ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงในระบบไหลเวียนเลือด หลอดเลือดบางลงและเปราะง่าย เมื่อมีอาการเช่นนี้ สิ่งที่เราคิดถึงทันทีคือ ความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน
และถ้าเรา “นวด” โดยไม่ประเมินให้ดี
การกระตุ้นระบบไหลเวียนด้วยเทคนิคที่เพิ่มแรงดันเลือด อาจกลายเป็น ตัวเร่งให้เกิด stroke (หลอดเลือดสมองแตก) ได้ทันที

ในกรณีของผู้สูงอายุ ความดันสามารถพุ่งสูงได้โดยไม่แสดงอาการชัดเจน
และอาการที่ดูธรรมดาอย่าง
– ปวดหัว
– เลือดกำเดาไหล
– เวียนศีรษะ
อาจเป็นสัญญาณล่วงหน้าของ stroke, hypertensive crisis หรือการอุดตันของหลอดเลือดสมอง

การนวดในช่วงเวลาที่ผิดจังหวะ คือความเสี่ยง ไม่ใช่การรักษา
วันนั้นเราจึง “ยกเลิกการนวด” และแนะนำให้ลูกค้าไปพบแพทย์ทันที

เส้นอิทากับ Kinesiology จริงหรือไม่... แค่นวดเส้นสิบก็รักษาได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องรู้จักกล้ามเนื้อหรือจุดเจ็บ?คำตอบคือ ไม...
06/15/2025

เส้นอิทากับ Kinesiology

จริงหรือไม่... แค่นวดเส้นสิบก็รักษาได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องรู้จักกล้ามเนื้อหรือจุดเจ็บ?

คำตอบคือ ไม่จริงเสมอไป แม้เส้นสิบจะเป็นหัวใจของศาสตร์การนวดไทยดั้งเดิม แต่หากขาดความเข้าใจเรื่องการเคลื่อนไหวของร่างกาย (kinesiology) กลไกของกล้ามเนื้อ และความสัมพันธ์ระหว่างระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ก็ยากที่เราจะรักษาอาการได้อย่างตรงจุดหรือยั่งยืน

เส้นสิบที่หลายคนเรียนรู้กันนั้น มักถูกจดจำจากตำราโดยไม่เข้าใจแก่นของมันจริง ๆ ทั้งที่ในศาสตร์ไทยระบุไว้ว่า ร่างกายมนุษย์มีเส้นพลังงานกว่า 72,000 เส้น แต่เราเลือกใช้เพียง 10 เส้นในการบำบัด อาจเรียกได้ว่าเป็นการศึกษาจุดเริ่มต้น แต่ยังไม่ถึงรากแท้

หนึ่งในเส้นสำคัญที่ถูกพูดถึงมาก คือ เส้นอิทา เส้นพลังงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง การทรงตัว สมดุลภายใน และอารมณ์

เส้นอิทา: จากตำรา...สู่การวิเคราะห์เชิงการเคลื่อนไหว

เส้นอิทาเริ่มต้นจากบริเวณสะดือด้านซ้าย ลากลงผ่านขาหนีบและต้นขาด้านใน ผ่านหลังเข่าด้านใน ก่อนจะเลี้ยวขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังซ้าย ไปสิ้นสุดที่ศีรษะและจมูกด้านซ้าย ถ้ามองผ่านเลนส์ของ kinesiology หรือวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว เส้นนี้เชื่อมโยงกับกลุ่มกล้ามเนื้อสำคัญที่ควบคุมการทรงตัว การเคลื่อนไหวในแนวแกนกลางลำตัว (core stability) และยังส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ

เมื่อเราทำงานกับเส้นอิทาอย่างมีความเข้าใจในกล้ามเนื้อจริง เราจะพบว่า:
- ส่วนหน้าท้องเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อแกนกลาง เช่น Re**us abdominis และ Obliques ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมลมหายใจ การยืด-งอลำตัว
- ต้นขาด้านในและหลังเข่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มกล้ามเนื้อ Adductors และ Hamstrings ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของกระดูกเชิงกรานและเข่า
- แนวกระดูกสันหลังพาดผ่านกล้ามเนื้อแกนหลัง เช่น Erector spinae และ Quadratus lumborum ซึ่งมีบทบาทในการทรงตัวของลำตัว และส่งผลโดยตรงต่อเส้นประสาทไขสันหลัง
- ส่วนศีรษะและใบหน้าที่เส้นอิทาขึ้นไปสิ้นสุด อาจสื่อถึงความสัมพันธ์กับระบบประสาทสมองส่วนหน้า ระบบไหลเวียน และสมดุลของแรงดันในกะโหลก

คำถาม: ทำไมปวดหลัง แต่เราต้องนวดแนวหน้าท้อง?

เพราะในการเคลื่อนไหวของร่างกาย กล้ามเนื้อไม่ทำงานลำพัง
เช่นเวลาคุณยืน เดิน หรือยกของ กล้ามเนื้อหน้าท้อง (เช่น Re**us abdominis, Obliques, Iliopsoas) จะทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อหลัง (เช่น Erector spinae, QL) เพื่อรักษาสมดุล

แต่เมื่อกล้ามเนื้อแนวหน้าตึงเกินไป เช่น
- Iliopsoas สั้นจากการนั่งนาน → กระดึงเชิงกรานจะหมุนหน้า → ดึงหลังล่างให้แอ่น → ทำให้ Erector spinae ต้องหดตัวค้าง = ปวดหลัง
- Re**us abdominis หรือ Obliques หดตัวจากการเกร็งท้องเรื้อรัง → กดแนวกระดูกสันหลัง → เส้นประสาทหลังถูกรบกวน = ปวดหลังเรื้อรัง, ชา, ตึง

สรุปคือ… การนวดแนวหน้า คือการปลดล็อกแรงดึงที่ “ดึงหลังให้ปวดอยู่ตลอดเวลา” โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว

แล้วเส้นอิทาเกี่ยวยังไง?

เส้นอิทาวิ่งจากสะดือด้านซ้าย → ขาหนีบ → ต้นขาด้านใน → หัวเข่าด้านหลัง → ขึ้นแนบกระดูกสันหลังซ้าย → ไปจบที่ศีรษะและจมูก

เส้นนี้ครอบคลุมกล้ามเนื้อสำคัญของระบบการทรงตัวและการหายใจ เช่น:
- Psoas major (ต้นเหตุของ low back pain)
- Adductor group (ควบคุมการยืน เดิน การทรงตัว)
- Quadratus lumborum & Erector spinae (กล้ามเนื้อหลังล่างที่มักเป็นจุดปวด)
- Sternocleidomastoid, Suboccipital, Temporalis (สัมพันธ์กับเวียนหัว ไมเกรน และอาการจากลมจันทะกาลา)

การปลดล็อกเส้นอิทาด้วยความเข้าใจในโครงสร้างจริง จึงไม่ใช่แค่ "นวดเส้น" แต่คือการเข้าไป “ปรับสมดุลการดึงของร่างกาย” ตั้งแต่ ฐานเชิงกราน จนถึง สมอง และระบบประสาทรับความรู้สึก

เส้นสิบคือรหัสลับของร่างกายก็จริง
แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่า “ใต้เส้นนั้นมีกล้ามเนื้ออะไรอยู่ และกล้ามเนื้อเหล่านั้นทำงานร่วมกับใคร” คุณจะไม่สามารถปลดล็อกการเคลื่อนไหว หรือรักษาอาการเรื้อรังได้เลย

ยิ่งคุณเข้าใจลึก ยิ่งนวดแม่น
ยิ่งนวดแม่น ลูกค้าจะยิ่งสัมผัสได้ว่า “มือคุณต่างจากคนอื่น”

เคสศึกษา: ปวดสะบักเวลาหายใจลึก ๆ รากปัญหาไม่ได้อยู่ที่สะบักวันนี้มีลูกค้าผู้ชายวัยทำงานเข้ามาด้วยอาการที่เขาบอกว่า  “พอห...
06/15/2025

เคสศึกษา: ปวดสะบักเวลาหายใจลึก ๆ รากปัญหาไม่ได้อยู่ที่สะบัก

วันนี้มีลูกค้าผู้ชายวัยทำงานเข้ามาด้วยอาการที่เขาบอกว่า
“พอหายใจลึก เหมือนมีอะไรแปล๊บเข้าไปในสะบัก เจ็บจนต้องหยุดหายใจ”

ฟังดูเหมือนปัญหาน่าจะอยู่ที่กล้ามเนื้อสะบักโดยตรง แต่พอเราประเมินโครงสร้างจริง กลับพบว่า ต้นตอของอาการอยู่ลึกกว่านั้น และเป็นกล้ามเนื้อกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการหายใจและการทรงตัวของหัวไหล่ ไม่ใช่กล้ามเนื้อหลังโดยตรงอย่างที่หลายคนเข้าใจ

กล้ามเนื้อหลักที่เกี่ยวข้องในเคสนี้:

1. Pectoralis Minor
เกาะจากกระดูกซี่โครงที่ 3–5 ไปยัง coracoid process ของสะบัก
เวลาตึง จะดึงสะบักให้ยื่นออกด้านหน้า (anterior tilt) และบีบช่องอก → ทำให้ทรวงอกขยายตัวได้น้อย หายใจไม่เต็ม และเกิดการดึงรั้งจนรู้สึกเจ็บไปถึงสะบักด้านหลัง

2. Scalenes (anterior, middle, posterior)
กล้ามเนื้อคอที่ช่วยยกซี่โครงช่วงหายใจเข้า ถ้าใช้มากเกินไป (เช่น หายใจตื้น เครียด นั่งหน้าคอมบ่อย) จะดึงคอให้ตึง บีบ brachial plexus และเกิด trigger point ที่แผ่ร้าวไปยังสะบักและแขน

3. Teres Major และ Minor
กล้ามเนื้อหลังสะบักที่ทำหน้าที่ยึดสะบักให้มั่นคง เมื่อกล้ามเนื้อด้านหน้า (pec, scalenes) ตึงมาก กลุ่มนี้จะทำงานเกิน → เกิดการล้าและสร้างจุดกดเจ็บรอบสะบักได้

4. Subscapularis
กล้ามเนื้อที่มักถูกลืม แต่สำคัญมาก
เกาะอยู่ด้านในของสะบัก → เป็น rotator cuff ที่ทำหน้าที่หมุนแขนเข้า และช่วยประคองข้อไหล่ ถ้า subscapularis ตึง → ลูกค้าจะรู้สึกปวด "ลึก" ในสะบัก เหมือนมีอะไรคาอยู่ข้างใน
บางคนอธิบายว่า "เหมือนสะบักติดอยู่กับซี่โครง" หรือ “เจ็บลึกแต่กดไม่เจอจุด”
อาการจะชัดเจนเวลาหายใจลึก ยกแขน หรือหมุนแขนเข้า

การประเมินที่พบ:
- Pec minor ตึง → สะบักเอียงไปด้านหน้า
- Scalenes ตึงทั้งสองข้าง → คอเคลื่อนไหวได้น้อยและมีจุดกดเจ็บ
- Trigger point ที่ teres minor และ subscapularis ชัดเจน → กดแล้วแผ่ร้าวไปที่สะบักทันที
- ข้อไหล่หมุนเข้าได้น้อย และการยืดอกทำให้เจ็บร้าว

การรักษาในวันนี้:
1. คลาย fascia Pec majors minor และ scalenes พร้อมให้ลูกค้าฝึกหายใจลึกๆ (diaphragmatic breathing)
2. ใช้เทคนิค trigger points released และ manual stretch บริเวณ teres และ subscapularis (โดยสอดนิ้วเข้าจากด้านหน้า ลูกค้านอนตะแครง)
3. ยืดเปิดการเคลื่อนไหวของสะบัก และฝึกการหายใจให้สัมพันธ์กับการขยับลำตัว
4. ลูกค้ารายนี้รายงานว่า "หายใจได้เต็มปอดครั้งแรกในรอบหลายวัน" หลังจากนวด และขยับเคลื่อนไหวแขนได้ดีขึ้น

อาการเจ็บสะบักเวลาหายใจลึก ไม่ควรรีบไปนวดที่สะบักทันที เพราะจุดที่เจ็บมักเป็นแค่ “ปลายทางของอาการ” ไม่ใช่ “ต้นตอของปัญหา”

การประเมินที่ครอบคลุมต้องรวมถึง:
- กล้ามเนื้อช่วยหายใจ
- กล้ามเนื้อที่ดึง scapula และ stabilizers ลึกอย่าง subscapularis
- ความสัมพันธ์ระหว่าง postural chain ด้านหน้าและด้านหลัง

อย่าไล่ตามจุดที่เจ็บ ให้ตามหาจุดที่ทำให้เจ็บ นี่คือความต่างของหมอนวดทั่วไป กับนักบำบัดที่เข้าใจร่างกายอย่างลึกซึ้ง

Address

335 Doris Drive
Lakeland, FL
33813

Opening Hours

Monday 9am - 6pm
Tuesday 9am - 6pm
Wednesday 9am - 6pm
Thursday 9am - 6pm
Friday 9am - 6pm
Saturday 9am - 6pm

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Kesara Mai ngam -Ray LMT posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Share