Kesara Mai ngam -Ray LMT

Kesara  Mai ngam -Ray LMT I am a licensed massage therapist, educator, and business owner with a passion for therapeutic excellence and a commitment to raising industry standards.

วันนี้เป็นเคสลูกค้าหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement: TKR) ผ่านมาประมาณ 8 สัปดาห์ แต่ยังมีอาการ บวม ...
10/11/2025

วันนี้เป็นเคสลูกค้าหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement: TKR) ผ่านมาประมาณ 8 สัปดาห์ แต่ยังมีอาการ บวม เจ็บ และรู้สึกตึงอย่างต่อเนื่องบริเวณแนวแผลผ่าตัด ซึ่งถือว่าเกินระยะเวลาการอักเสบตามปกติของเนื้อเยื่อ (inflammatory phase normally resolves within 2–3 weeks, proliferative phase up to 6 weeks).

เมื่อทำการประเมิน พบว่ามี edema รอบเข่าและแนวรอยแผล รวมถึงการเคลื่อนไหวของข้อ (ROM: Range of Motion) ยังจำกัด โดยเฉพาะ flexion ต่ำกว่า 90 องศา ซึ่งบ่งชี้ว่าเกิดการยึดรั้งของเนื้อเยื่อใต้แผล (subcutaneous and fascial adhesion).

เมื่อ palpation รอบแนวแผล พบ fibrotic tissue และ restricted fascial glide โดยเฉพาะบริเวณ medial และ inferior to patella ซึ่งเป็นบริเวณที่มักเกิดการยึดรั้งหลังผ่าตัดจากการสร้างพังผืด (scar tissue) เพื่อปิดบาดแผลลึกของการผ่าตัดเปิดข้อ

พังผืด (scar adhesion) ในลักษณะนี้มักรบกวนการไหลเวียนของ lymphatic fluid และ venous return, ทำให้เกิดการคั่งของของเหลว (lymphatic congestion) และส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บหรือหน่วงในข้อเข่าอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีการอักเสบเชิงระบบแล้วก็ตาม

ในเคสนี้ การบำบัดเริ่มจาก manual assessment เพื่อระบุทิศทางของพังผืดและแรงดึงรั้ง เป้าหมายหลักคือ restoring fascial mobility รอบแนวแผลก่อนเริ่มงานระบายน้ำเหลือง

Step 1: Scar Tissue Release
ใช้เทคนิค fascial release แบบช้าและลึกในทิศทาง cross-fiber เพื่อแยก adhesion ระหว่าง superficial fascia และ deep fascia โดยหลีกเลี่ยงการกดตรงแนวรอยแผลโดยตรง
การคลายพังผืดช่วยลด tension ต่อ patellar retinaculum และเปิดการเคลื่อนไหวของเนื้อเยื่อโดยรอบ

Step 2: Lymphatic Drainage (Manual Lymphatic Drainage – MLD)
หลังจาก fascial mobility ดีขึ้น จึงเริ่มทำ MLD แบบเบาและช้า โดยเปิดบริเวณ proximal lymph nodes ก่อน (inguinal → popliteal) แล้วจึงค่อยทำ distal flow เพื่อส่งของเหลวส่วนเกินเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองหลัก จุดสำคัญคือต้องใช้แรงต่ำมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้น mechanoreceptor ที่อาจทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดและบวมเพิ่ม

Step 3: Gentle Mobilization & Patient Education
หลังจากลดบวมและคลาย adhesion แล้ว จึงให้คำแนะนำเรื่องการเคลื่อนไหวในมุมปลอดภัย (safe ROM) และการยืดกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เช่น quadriceps, hamstrings, และ gastrocnemius เพื่อคงความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและป้องกันการสร้างพังผืดเพิ่ม

หลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ระบบน้ำเหลืองและเส้นเลือดฝอยรอบเข่าจะถูกตัดขาดบางส่วน ทำให้การระบายน้ำเหลืองช้าลงกว่าปกติ การบำบัดในระยะหลังผ่าตัดจึงควรเน้น การคืนการเคลื่อนไหวของ fascia, การเปิดระบบน้ำเหลือง, และ การลดแรงกดจากภาวะบวมเรื้อรัง

การเข้าใจ anatomy และ phase ของการสมานแผลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักบำบัดทุกคน เพราะไม่ใช่ทุกอาการเจ็บหลังผ่าตัดจะเกิดจาก “ข้อเทียม” แต่หลายครั้งเกิดจาก “เนื้อเยื่อรอบข้างที่ยังไม่ถูกปลดล็อก”

วันนี้มีลูกค้าเป็นช่างทำผม เข้ามาที่คลินิกด้วยอาการปวดไหล่ร้าวลงแขน ขยับแทบไม่ได้ และนอนไม่หลับมาเกือบอาทิตย์ อาชีพนี้ต้...
09/06/2025

วันนี้มีลูกค้าเป็นช่างทำผม เข้ามาที่คลินิกด้วยอาการปวดไหล่ร้าวลงแขน ขยับแทบไม่ได้ และนอนไม่หลับมาเกือบอาทิตย์ อาชีพนี้ต้องใช้แขนยกอยู่ระดับไหล่ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะจับไดร์ หวี หรือกรรไกร ทำท่าเดิมซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกล้ามเนื้อด้านหน้าถูกใช้งานหนักเกินไป ส่วนกล้ามเนื้อด้านหลังกลับอ่อนแรง

สิ่งที่ครูตรวจพบคือ กล้ามเนื้อที่ตึงมาก ได้แก่ upper trap, levator scapulae, scalenes และ pec minor ที่ดึงไหล่ขึ้นและกดทับเส้นประสาท ร่วมกับ anterior deltoid และ subscapularis ที่ดึงหัวไหล่ไปข้างหน้าและหมุนเข้า ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ควบคุมการหมุนออกอย่าง infraspinatus และ teres minor รวมถึง rhomboid, lower trap, serratus anterior และ deep neck flexors กลับอ่อนแรง ไม่สามารถพยุงสะบักและหัวไหล่ให้อยู่ในตำแหน่งที่สมดุลได้

เมื่อกล้ามเนื้อด้านหน้าและคอตึงมาก ช่องทางของ brachial plexus ซึ่งเป็นเส้นประสาทหลักที่ออกจากคอ (C5–T1) ผ่าน scalenes ใต้กระดูกไหปลาร้า และใต้กล้ามเนื้อ pec minor จึงถูกกดทับ ทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงแขน

ในเคสนี้ ความเจ็บรุนแรงจนไม่สามารถเริ่มด้วยแรงกดหรือลงน้ำหนักได้ทันที ครูจึงใช้ หินเย็น เพื่อลดสัญญาณความเจ็บที่สมองรับรู้ และเมื่อระบบประสาทคลายตัวลง ครูได้เสริมด้วย static cupping วางบริเวณหน้าอก บนหัวไหล่ และกล้ามเนื้อ deltoid เพื่อช่วย decompress nerves ลดแรงกดทับในพื้นที่สำคัญ เมื่อพื้นที่รอบ ๆ เส้นประสาทถูกยกขึ้นด้วยแรงดูดจากถ้วย cupping การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้น ทำให้ระบบประสาททำงานอย่างเป็นอิสระมากขึ้น

หลังจากนั้น ครูจึงค่อย ๆ รีลีสกล้ามเนื้อด้านหน้า แล้วเปิดการทำงานของกล้ามเนื้อด้านหลัง เพื่อคืนสมดุลให้ไหล่และสะบักกลับมาทำงานได้้ตามปกติ

ผลลัพธ์คือ หลังการนวดครั้งแรก ลูกค้ารายนี้รายงานว่า อาการปวดร้าวลงแขนหายไปทันที สามารถขยับแขนได้มากขึ้นและรู้สึกเบาตัวขึ้น ครูจึงขอให้ลูกค้าส่งข้อความมาอัปเดตอาการอีกสามวัน เพื่อดูว่าดีขึ้นต่อเนื่องหรือมีการกลับมาเจ็บซ้ำ จะได้วางแผนการนวดครั้งต่อไปกับลูกน้องที่ร้าน เนื่องจากครูจะไม่อยู่ประมาณหนึ่งเดือน

ทำไมเราจำเป็นต้องรู้ว่าเราทำ Cupping แบบไหน!!!ครูอยากย้ำตรงนี้ให้ทุกคนเข้าใจว่า Cupping ไม่ใช่การเอาถ้วยไปดูดผิวหนังแล้ว...
09/04/2025

ทำไมเราจำเป็นต้องรู้ว่าเราทำ Cupping แบบไหน!!!

ครูอยากย้ำตรงนี้ให้ทุกคนเข้าใจว่า Cupping ไม่ใช่การเอาถ้วยไปดูดผิวหนังแล้วจบ แต่เป็นศาสตร์ที่มีผลโดยตรงต่อ ระบบไหลเวียนเลือด น้ำเหลือง และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ถ้าเราไม่รู้ว่าเรากำลังทำแบบไหน ใช้แรงเท่าไหร่ และค้างไว้นานแค่ไหน การครอบแก้วอาจกลายเป็นการทำลายมากกว่าการบำบัด

เวลาเหมาะสม: 2–5 นาทีคือที่สุดแล้ว
• จากข้อมูลทางวิชาการ การครอบถ้วยแบบ stationary cupping ในแต่ละจุด ไม่ควรเกิน 2–5 นาที
• เกินเวลานี้ไป เส้นเลือดฝอย (capillaries) และ microcirculation จะถูกกดและดึงจนเกิด microtrauma ทำให้เกิดรอยช้ำ (ecchymosis/hematoma) รุนแรง
• การครอบนานเกินไปไม่ได้เพิ่มการไหลเวียนมากขึ้น แต่กลับทำให้ร่างกายต้องเสียเวลาซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย

ผลทางสรีรวิทยาเมื่อทำแรงเกินไป

1. เส้นเลือดฝอยแตก (Capillary rupture)
• การดูดแรงเกินไปจะทำให้เกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง (subcutaneous bleeding)
• ร่างกายต้องใช้ระบบ macrophage และน้ำเหลืองในการสลายเม็ดเลือดแดงที่ตาย เป็นภาระต่อระบบภูมิคุ้มกัน

2. การอักเสบของเนื้อเยื่อ (Inflammatory response)
• เมื่อเกิด hematoma จะมีการกระตุ้น inflammatory mediators เช่น prostaglandins และ cytokines
• ผู้ป่วยจึงอาจรู้สึกปวด แสบ หรืออ่อนเพลียหลังครอบ

3. การสร้างพังผืด (Fibrosis)
• ถ้ามีการบาดเจ็บซ้ำ ๆ ที่ตำแหน่งเดิม ร่างกายจะซ่อมแซมด้วย collagen ทำให้เนื้อเยื่อแข็งตัว สูญเสียความยืดหยุ่น
• ส่งผลเสียต่อ mobility ของกล้ามเนื้อและ fascia

เป้าหมายของ cupping คือการ กระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง, ช่วยให้ fascia และกล้ามเนื้อคลายตัว ไม่ใช่การทำลายเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ การรู้จักแยกแยะระหว่าง stationary, moving, flash cupping และ Dynamic รวมถึงเข้าใจเวลาและแรงที่เหมาะสม คือสิ่งที่ทำให้นักบำบัดต่างจากคนที่เพียง “ครอบได้”

วันนี้ลูกน้องเดินมาตามให้เราเข้าไปดูลูกค้าคนสุดท้ายของเธอ ซึ่งมีอาการปวดหลังล่างร่วมกับ spasm แม้จะทำหลายเทคนิคแล้วก็ยัง...
08/26/2025

วันนี้ลูกน้องเดินมาตามให้เราเข้าไปดูลูกค้าคนสุดท้ายของเธอ ซึ่งมีอาการปวดหลังล่างร่วมกับ spasm แม้จะทำหลายเทคนิคแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น พอเราเข้าไปถึง เห็นลูกค้านอนตะแคงอยู่ในท่าที่เจ็บ เราถามตำแหน่งที่ปวด ลูกค้าชี้ไปที่แนว erector spinae

จากประสบการณ์ เราเดาได้ว่าปัญหาน่าจะมาจาก hip flexors โดยเฉพาะ psoas ที่ยังไม่ได้ถูกคลายอย่างดีพอ เพราะเมื่อ psoas และ re**us femoris ตึง จะดึงเชิงกรานไปข้างหน้า (anterior tilt) ส่งผลให้ erector spinae ต้องทำงานหนักเพื่อพยุงกระดูกสันหลัง และเกิด spasm ขึ้นมา

เราเริ่มจากการคลาย erector spinae เพื่อให้หลังล่างผ่อนคลาย จากนั้นลงไปที่ TFL และ gluteus medius ซึ่งมักเกร็งร่วมเมื่อเชิงกรานเสียสมดุล เพราะทั้งสองกล้ามเนื้อช่วยควบคุมการทรงตัวด้านข้างของเชิงกราน

เสร็จแล้วให้ลูกค้านอนหงาย เราคลาย iliopsoas และ re**us femoris ที่เป็นต้นเหตุของ anterior tilt และยังเคลียร์ต่อไปถึง adductors ซึ่งช่วยในการรักษาสมดุลของข้อตะโพกใน frontal plane เมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้ถูกปลดล็อก ความสัมพันธ์ระหว่าง hip flexors – pelvic stabilizers – spinal extensors ก็กลับคืนสมดุล

เมื่อให้ลูกค้าลองขยับอีกครั้ง อาการปวดหลังล่างหายไป ใช้เวลารวมเพียง 7 นาที

สรุปกลไกทาง kinesiology

• Psoas & Re**us femoris ถ้าตึงจะดึงเชิงกราน anterior tilt
• Erector spinae ต้อง overwork เพื่อพยุง จึงเกิด spasm
• TFL & Gluteus medius เข้ามาช่วยด้านข้างเพื่อคงการทรงตัวของ pelvis
• Adductors ช่วย stabilize เชิงกรานและต้นขาใน frontal plane

การแก้ไม่ใช่การคลายแค่จุดที่ปวด แต่คือการคืนสมดุลของทั้ง chain ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างปกติ

วันนี้มีนักวิ่งสาวอายุ 28 ปี มาหาครูด้วยอาการปวดหน้าแข้งด้านใน เธอบอกว่าแค่ซ้อมเกิน 3 กิโลเมตร ความเจ็บก็มาเหมือนมีไฟลาม...
08/23/2025

วันนี้มีนักวิ่งสาวอายุ 28 ปี มาหาครูด้วยอาการปวดหน้าแข้งด้านใน เธอบอกว่าแค่ซ้อมเกิน 3 กิโลเมตร ความเจ็บก็มาเหมือนมีไฟลามลงตามกระดูกหน้าแข้งจนเกือบถึงข้อเท้า ต้องหยุดวิ่งกลางทางทุกครั้ง

พอครูตรวจจริง ๆ ก็เห็นสาเหตุชัด เธอมีภาวะ เท้าแบน (excessive pronation) เวลาเท้าลงพื้น อุ้งเท้าแทบยกไม่ขึ้นเลย ทำให้กล้ามเนื้อที่คอยพยุงอย่าง tibialis posterior, soleus และ flexor digitorum longus ต้องทำงานหนักเกินกำลัง แรงดึงซ้ำ ๆ นี้ไปกระแทกที่ periosteum ของ tibia จนเกิดการอักเสบ เราเรียกว่า shin splint หรือ medial tibial stress syndrome

ตอนกดตรวจ เธอเจ็บชัดเป็นแนวยาวตามกระดูกหน้าแข้งด้านใน นี่คือสัญญาณตรง ๆ ของ periosteum อักเสบ ไม่ใช่แค่น่องตึงธรรมดา

ครูเริ่มจากการ myofascial release คลายกล้ามเนื้อ tibialis posterior และ soleus ตามด้วย cross-fiber friction บริเวณกระดูกหน้าแข้ง ลดการระคายเคืองของ periosteum

จากนั้นใช้ dynamic cupping ที่กล้ามเนื้อน่องด้านหลังทั้ง gastrocnemius และ soleus โดยครูเลื่อนแก้วตามแนวยาวของกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้น circulation และคลาย fascia ให้ลึกขึ้น ลดแรงดึงที่ส่งต่อไปยังกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บ

สุดท้ายครูสอนให้เธอทำ stretching น่อง และฝึก strengthening ของ tibialis anterior และ intrinsic foot muscles เพื่อช่วยพยุงอุ้งเท้า พร้อมทั้งแนะนำให้ใช้รองเท้าที่มี arch support และลดระยะวิ่งลงในช่วงแรก

Nuad Thai Battle Los Angeles California 2025. I have been given the opportunity to be judged for this state by the Thai ...
08/13/2025

Nuad Thai Battle Los Angeles California 2025. I have been given the opportunity to be judged for this state by the Thai consulate and Nuad Thai and Spa Association of America, in conjunction with the California Massage Therapy Council (CAMTC), to promote Thai massage and Thai culture. Congratulations to all the winners.

เคสวันนี้: ปวดหลังล่างเรื้อรัง แต่ต้นเหตุมาจากกระดูกก้นกบ (stuck coccyx)ลูกค้ารายนี้มาด้วยอาการปวดหลังล่างเรื้อรังนานกว่...
07/18/2025

เคสวันนี้: ปวดหลังล่างเรื้อรัง แต่ต้นเหตุมาจากกระดูกก้นกบ (stuck coccyx)

ลูกค้ารายนี้มาด้วยอาการปวดหลังล่างเรื้อรังนานกว่า 1 เดือน โดยเฉพาะเวลานั่ง นอน หรือขยับตัวบนเตียง อาการเด่นคือ ลงน้ำหนักบนขาซ้ายไม่ได้ รู้สึกเจ็บจนไม่สามารถพลิกตัวได้ระหว่างการรักษา

ตอนแรกฟังดูเหมือนอาการทั่วไปของ low back pain หรือ SI joint dysfunction แต่เมื่อลองประเมินโครงสร้างทั้งหมดอย่างละเอียด
(lumbar spine, sacroiliac joint, piriformis, QL, glute med/min, hamstring, iliopsoas)
พบว่าทุกกล้ามเนื้อและข้อต่อรองรับได้ดีหลังการรักษา แต่เมื่อลูกค้าพลิกตัวเพื่อเปลี่ยนท่าบนเตียงกลับยังเจ็บแบบเดิม นี่คือจุดที่เราต้องคิดให้ลึกกว่านั้น

การประเมินต่อ: สงสัย coccyx fixation หรือกระดูกก้นกบติดและเอียง

หลังจาก ruling out ปัญหากล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณ lumbopelvic แล้ว ครูเริ่มสงสัยว่าอาการทั้งหมดอาจมีต้นเหตุจาก กระดูกก้นกบ (coccyx) ที่อยู่ในตำแหน่งผิดปกติหรือเกิดการติดขัด

เมื่อลองประเมิน manual ด้วยการ palpate รอบ sacrum และ coccyx พบว่า:
• กระดูกก้นกบเอียงไปทางซ้าย (left lateral deviation)
• อยู่ในตำแหน่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้
• กล้ามเนื้อ coccygeus และ ligament รอบ ๆ มีการยึดรั้งอย่างชัดเจน
• เมื่อกดถูกตำแหน่ง มีอาการเจ็บแปลบและร้าวลงขา

ทั้งหมดนี้ชี้ว่าอาจเกิด แรงกดทับเส้นประสาทรอบ sacrococcygeal plexus โดยเฉพาะกิ่งที่ไปเลี้ยง gluteal และ pelvic floor

ทำไม coccyx fixation ถึงทำให้เจ็บจนลงน้ำหนักไม่ได้?

เพราะ coccyx ไม่ใช่แค่กระดูกปลายสุดของกระดูกสันหลัง แต่ยังเป็นจุดยึดของกล้ามเนื้อและ fascia หลายมัดใน pelvic floor
และยังมีเส้นประสาทจาก sacral plexus หลายเส้นที่วิ่งผ่านด้านหน้า coccyx
ถ้ากระดูกนี้ติดหรือบิดเอียง:
• จะเกิดการดึงรั้งของ fascia และ ligament บริเวณ posterior pelvic floor
• ทำให้เกิด nerve entrapment หรือการกดทับเส้นประสาทจากแรงตึงสะสม
• ส่งผลให้ปวดแปลบร้าวลึก, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, และเสียการลงน้ำหนัก

เทคนิคที่ใช้: Coccyx Mobilization ด้วยแนวทางทางคลินิก

เมื่อยืนยันแล้วว่าต้นเหตุคือ coccyx ที่ติด ครูใช้เทคนิค manual coccyx release แบบ external approach
โดยผสมผสานแนวคิดจาก clinical anatomy, Thai bodywork และ orthopedic release

ขั้นตอน:
1. ให้ลูกค้านอนคว่ำ โดยมีหมอนรองใต้กระดูกเชิงกรานเพื่อปลด tension
2. ครู released fascia ด้านนอก รอบๆ sacrum ก่อน เพื่อให้ tissue รอบ coccyx soft
3. จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือ palpate จุดยึดของ coccyx ใต้ sacrum และ apply แรงเบา ๆ ในแนว
• posterior glide
• lateral distraction (งัดออกด้านข้าง)
• และ superior lift เพื่อให้ coccyx disengage ออกจากการยึดรั้ง
4. ระหว่างการ release ครูใช้การกำกับลมหายใจ (breath cueing) ให้ลูกค้าช่วยคลาย pelvic floor จากภายในด้วยตัวเอง

ผลลัพธ์ชัดเจนในไม่ถึง 5 นาที:
• ลูกค้าสามารถพลิกตัวได้ทันทีแบบไม่มีอาการเจ็บ
• ลุกขึ้นยืนและลงน้ำหนักบนขาซ้ายได้เต็มเท้า
• อาการปวดที่สะสมมานานหายไปทันทีหลัง correction

อาการปวดหลังล่างบางเคสไม่ใช่เรื่องกล้ามเนื้ออย่างเดียว แต่เป็นปัญหาทางโครงสร้างที่ต้องประเมินให้ลึกไปถึง coccyx ซึ่งเป็นจุดที่คนมักมองข้าม
การเข้าใจ fascia, nerve entrapment และกลไกของ pelvic floor ทำให้เราสามารถแก้เคสที่ซับซ้อนและเรื้อรังได้แม่นยำและปลอดภัย

เคสศึกษาลูกค้าปวดข้อศอกจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินวันละ 12 ชั่วโมงลูกค้ารายหนึ่ง อายุ 42 ปี ทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ ...
07/11/2025

เคสศึกษาลูกค้าปวดข้อศอกจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินวันละ 12 ชั่วโมง

ลูกค้ารายหนึ่ง อายุ 42 ปี ทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ใช้เมาส์มือขวาต่อเนื่องหลายปี โดยไม่เคยยืดกล้ามเนื้อแขนหรือเปลี่ยนท่าทางการทำงานอย่างเหมาะสม

อาการเริ่มต้นจากปวดจี๊ดเฉพาะจุดบริเวณข้อศอกด้านนอกเวลาคลิกเมาส์หรือพิมพ์นาน ๆ ต่อมาเริ่มมีอาการปวดลึกในข้อศอก ร้าวลงปลายนิ้ว
บางวันชานิ้วนางกับนิ้วก้อย และบางช่วงมืออ่อนแรง จับของแล้วหล่น
อาการเหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้แค่การอักเสบของกล้ามเนื้อ แต่แสดงให้เห็นถึงการเกี่ยวข้องของเส้นประสาทสำคัญรอบข้อศอกด้วย

ตำแหน่งของอาการปวด และโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง

1. ปวดข้อศอกด้านนอก (Lateral Elbow Pain)

ตำแหน่งที่ปวดอยู่บริเวณกระดูกปุ่มด้านนอก (lateral epicondyle)
มักพบในกลุ่มที่ใช้ข้อมือและนิ้วมือซ้ำ ๆ เช่น คลิกเมาส์ พิมพ์ หรือจับของหนัก

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง:
– Extensor carpi radialis brevis
– Extensor digitorum

หากมีจุดเกาะอักเสบหรือมี trigger point จะพบอาการปวดเฉพาะจุด ร้าวลงท่อนแขน หรืออ่อนแรงในการเหยียดข้อมือ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเส้นประสาท radial nerve

2. ปวดลึกในข้อศอก และร้าวลงปลายนิ้ว

บางครั้งลูกค้ารายนี้รู้สึกปวดเหมือนอยู่ลึก “ข้างในข้อศอก” โดยไม่มีรอยบวมหรือแดง ตรวจพบกล้ามเนื้อ supinator ตึงและเจ็บ กล้ามเนื้อนี้สามารถกดทับเส้นประสาท radial nerve โดยเฉพาะช่วง posterior interosseous nerve ซึ่งนำไปสู่อาการชาบริเวณหลังมือและนิ้วโป้ง

เส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับข้อศอก

Radial Nerve

วิ่งผ่านด้านหลังข้อศอก (posterolateral elbow)
ทำหน้าที่ควบคุมการเหยียดข้อมือและนิ้วมือ เมื่อถูกกดทับ อาจทำให้เกิด:
– ปวดลึกบริเวณข้อศอกด้านนอก
– ชาที่หลังมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้งและนิ้วชี้
– อ่อนแรงในการเหยียดข้อมือหรือใช้งานเมาส์

Median Nerve

ผ่านด้านหน้าของข้อศอก ใต้กล้ามเนื้อ pronator teres ในผู้ที่หมุนแขนหรือเกร็งมือซ้ำ ๆ อาจเกิด pronator syndrome

อาการที่พบ:
– ปวดแปล๊บด้านหน้าข้อศอก
– ชานิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
– กล้ามเนื้อมืออ่อนแรงเวลาใช้มือบีบหรือจับสิ่งของเล็กๆ

Ulnar Nerve

ผ่านด้านในข้อศอกที่บริเวณ cubital tunnel หากพิงศอกบนโต๊ะนาน ๆ หรืออยู่ในท่างอศอกซ้ำ จะเกิดการกดทับ

อาการที่พบ:
– ชานิ้วนางและนิ้วก้อย
– มืออ่อนแรงโดยเฉพาะตอนหยิบจับของเล็ก ๆ
– อาการแย่ลงในตอนกลางคืนหรือตอนขับรถ

กล้ามเนื้ออื่นที่มีผลต่อข้อศอก

Triceps Brachii

กล้ามเนื้อด้านหลังต้นแขน มีจุดเกาะที่กระดูก ulna (olecranon)
หากมี trigger point ใน triceps จะส่งปวดลงข้อศอกด้านหลัง และอาจร้าวขึ้นไหล่ โดยเฉพาะในคนที่ใช้แขนดันพื้น ค้างท่าเหยียดศอกนาน ๆ ขณะนั่งหน้าคอม

Anconeus

กล้ามเนื้อเล็กด้านหลังข้อศอก
มีหน้าที่ช่วยเหยียดศอก ร่วมกับ triceps
อาจมีอาการปวดจุดเล็ก ๆ เฉพาะที่หลังข้อศอก หากถูกใช้งานซ้ำ

Biceps Brachii

แม้กล้ามเนื้อนี้จะไม่เกาะตรงข้อศอก แต่ tendon ของมันเกาะที่กระดูก radius
ในท่านั่งพิมพ์หรืองอศอกทั้งวัน กล้ามเนื้อ biceps อาจตึงและทำให้ข้อศอกเหยียดไม่สุด บางรายรู้สึกเจ็บข้อศอกด้านหน้า หรือเมื่อพยายามเหยียดแขนเต็มที่

เมื่ออาการปวดไหล่เรื้อรัง พาเราย้อนกลับไปหาต้นเหตุที่ “เท้า”ลูกค้ารายหนึ่งเข้ามารับการรักษากับเราด้วยอาการปวดไหล่ขวาเรื้...
07/07/2025

เมื่ออาการปวดไหล่เรื้อรัง พาเราย้อนกลับไปหาต้นเหตุที่ “เท้า”

ลูกค้ารายหนึ่งเข้ามารับการรักษากับเราด้วยอาการปวดไหล่ขวาเรื้อรัง ยกแขนสูงแล้วเจ็บ เอื้อมหยิบของก็ไม่ถนัด เหมือนมีอะไรตึงค้างอยู่ตลอดเวลา หลังจากประเมินครั้งแรก เราพบว่ากล้ามเนื้อรอบไหล่และสะบัก เช่น trapezius, levator scapulae และ rotator cuff ตึงและมี trigger point หลายจุด

การรักษาเน้นการคลายกล้ามเนื้อและ fascia รอบไหล่ ปรับการเคลื่อนไหวและยืดกล้ามเนื้อ ผลลัพธ์ช่วงแรกดีมาก ลูกค้ากลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ ยกแขนได้ดีขึ้น เจ็บน้อยลง

แต่เพียงหนึ่งเดือนถัดมา ลูกค้ากลับมาอีกครั้งพร้อมอาการเดิม ทั้งที่ไม่ได้ทำกิจกรรมหนักหรือมีอุบัติเหตุใดๆ เราเริ่มสงสัยว่าปัญหานี้อาจมีอะไรมากกว่าแค่ความตึงตัวของกล้ามเนื้อในจุดที่เจ็บ

ครั้งนี้ เราตัดสินใจเริ่มต้นประเมินใหม่ทั้งหมด

สิ่งที่พบเปลี่ยนมุมมองของเราทั้งหมด ลูกค้ามีการลงน้ำหนักขาซ้ายมากกว่าขวา สะโพกขวาต่ำกว่า และการเดินมีการหมุนลำตัวเล็กน้อย เมื่อถามลึกขึ้น ลูกค้าจึงบอกว่าเคยข้อเท้าขวาหักเมื่อปีที่แล้ว แม้จะหายดีแล้ว แต่ยังคงรู้สึกไม่มั่นคงเวลาลงน้ำหนัก

เหตุผลที่ทำให้อาการไหล่กลับมาอีกครั้ง

เมื่อข้อเท้าขวาขาดความมั่นคง ร่างกายต้องหาทางชดเชยทั้งแนว kinetic chain การเดินผิดรูปทำให้สะโพก กระดูกสันหลัง และท้ายที่สุด ไหล่ ต้องปรับตัวตลอดเวลาเพื่อรักษาสมดุล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมกล้ามเนื้อรอบไหล่ถึงทำงานเกินกำลังจนกลับมาเจ็บอีก

จากมุมมองของ fascia เครือข่ายเนื้อเยื่อที่เชื่อมโยงทั้งร่างกายส่งแรงตึงจากเท้าขึ้นมาถึงสะโพกและไหล่ โดยเฉพาะตามแนว lateral line และ superficial back line ที่ต่อเนื่องกันเป็นเส้นเดียว การแก้เฉพาะที่ไหล่จึงเป็นเพียงปลายเหตุ

แนวทางใหม่ที่แก้ทั้งระบบ

เราปรับแผนการรักษาใหม่ทั้งหมด เริ่มต้นจากข้อเท้า ขา สะโพก และกระดูกสันหลัง ร่วมกับการคลาย fascia ทั้งเส้นจนถึงไหล่ เราทำการ mobilization ข้อเท้า ปรับ pelvic alignment และแก้ pattern การเดิน พร้อมทั้งฝึก proprioception ให้ข้อเท้ากลับมาทำงานได้มั่นคง

ผลลัพธ์ครั้งนี้ต่างออกไป ลูกค้าบอกว่ารู้สึกทั้งร่างกายเบาสบาย การยืนและเดินมั่นคงขึ้น อาการไหล่หายไปโดยไม่กลับมาอีก

บทเรียนจากเคสนี้

อาการปวดของร่างกายหลายครั้งไม่ได้เกิดจากจุดที่เจ็บ แต่เป็นผลจากความไม่สมดุลที่ซ่อนอยู่ในที่ที่เราอาจไม่ได้มอง การรักษาที่ได้ผลจริง คือการมองร่างกายทั้งระบบ ไม่ใช่แค่จุดเจ็บ

รู้ไหมคะ? ทุกครั้งที่คุณหายใจ ขยับแขน หรือก้าวเดิน…คุณกำลังช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงาน!ระบบน้ำเหลืองของร่างกายเปรียบเหมือน...
06/28/2025

รู้ไหมคะ? ทุกครั้งที่คุณหายใจ ขยับแขน หรือก้าวเดิน…คุณกำลังช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงาน!

ระบบน้ำเหลืองของร่างกายเปรียบเหมือน "ทางระบายน้ำ" ที่ช่วยพาของเสียและของเหลวส่วนเกินกลับเข้าสู่กระแสเลือด และที่น่าทึ่งคือ ร่างกายเรามีจุดและการเคลื่อนไหวธรรมชาติที่ช่วยผลักน้ำเหลืองกลับไปยังจุดเดรนหลักได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องมือพิเศษเลย!

จุดสำคัญที่ร่างกายใช้ผลักน้ำเหลือง ได้แก่:
Diaphragm (กระบังลม)
ทุกครั้งที่คุณหายใจลึก กระบังลมจะทำตัวเหมือนปั๊มน้ำ ดูดและผลักน้ำเหลืองจากช่องท้องและขาล่าง ขึ้นไปยังท่ออก (thoracic duct) และในที่สุดกลับเข้าสู่กระแสเลือด การฝึกหายใจลึกสามารถช่วยเสริมการระบายน้ำเหลืองได้ดีขึ้น

รักแร้ (Axillary region)
เวลาคุณขยับไหล่หรือเหยียดแขน กล้ามเนื้อรอบไหล่และอกช่วยบีบต่อมน้ำเหลืองรักแร้ ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการเดรนน้ำเหลืองจากแขนกลับเข้าสู่ลำตัว

ขาหนีบ (Inguinal region)
การเดิน วิ่ง หรือแม้แต่การลุกนั่ง จะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขา ช่วยผลักน้ำเหลืองจากขากลับไปยังต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ

ข้อพับ (Popliteal และ Cubital fossa)
การเหยียด งอ ข้อศอกและเข่า ทำงานเหมือนปั๊มเล็กๆ ในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองก่อนส่งต่อไปยังจุดเดรนใหญ่

การหายใจลึกๆ และการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืดเหยียด หรือแม้แต่การลุกนั่ง ล้วนช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายเราออกแบบมาเพื่อจัดการของเสียและลดอาการบวม เพียงแค่เราให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวและการหายใจอย่างถูกวิธี ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลสุขภาพแล้วค่ะ

เคสวันนี้: ลูกค้ากรามค้างบ่อย ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด อ้าปากแล้วปากเบี้ยว เวลาพูดนาน ๆ จะรู้สึกล้า พอหาวแรง ๆ กรามก็เหมือนจะห...
06/27/2025

เคสวันนี้: ลูกค้ากรามค้างบ่อย ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด อ้าปากแล้วปากเบี้ยว
เวลาพูดนาน ๆ จะรู้สึกล้า พอหาวแรง ๆ กรามก็เหมือนจะหลุด ลิ้นแข็ง เหมือนขยับได้ไม่สุด พูดแล้วเสียงไม่ชัด เวลากลืนก็ดูฝืน ๆ ลูกค้าบอกว่า รู้สึกไม่โอเคกับตัวเองมานาน แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงไหน

ครูขอเล่าให้ฟังแบบนี้นะคะ
ปัญหาแบบนี้ไม่ได้เกิดจากแค่กราม หรือกล้ามเนื้อในปาก มันมาจากกล้ามเนื้อหลายมัดที่ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่หน้าอก คอ บ่า ไหล่ ไปจนถึงขากรรไกร และลิ้น

ถ้าเราเข้าไปนวดด้านในก่อน โดยที่กล้ามเนื้อรอบนอกยังเกร็งอยู่ ร่างกายเขาจะไม่ยอม และมักจะเจ็บ หรือยิ่งทำให้ตึงมากขึ้น

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับขากรรไกร (TMJ) และหน้าที่

- Masseter – ปิดปากและเคี้ยว
- Temporalis – ยกขากรรไกรขึ้น
- Medial Pterygoid – บดเคี้ยวและดึงกรามขึ้น
- Lateral Pterygoid – เปิดปากและพา joint เคลื่อน
- Digastric (anterior belly) – เปิดปากและเคลื่อนกรามลง

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับลิ้น และหน้าที่

- Mylohyoid / Geniohyoid / Stylohyoid – ยกและทรงตัวลิ้น
- Genioglossus – ดันลิ้นออกข้างหน้า
- Styloglossus / Hyoglossus – หดลิ้นกลับ

กล้ามเนื้ออก คอ บ่า ไหล่ ที่เกี่ยวข้อง

- Pectoralis minor / major – รั้งไหล่มาข้างหน้า ดึงคอลง
- SCM – รั้งฐานกะโหลก ทำให้กรามหมุนผิดแนว
- Scalenes – รบกวนเส้นประสาทที่ควบคุมลิ้น
- Upper trapezius / Levator scapulae – ศีรษะเอียง ขากรรไกรทำงานไม่สมดุล

ถ้ากล้ามเนื้อพวกนี้ตึงจะเกิดอะไรขึ้น?

- ขากรรไกรเปิดไม่สุด หรือเปิดเบี้ยว
- ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด กลืนลำบาก
- การทำงานไม่สัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อบดเคี้ยวกับลิ้น

ลำดับการแก้

1. หน้าอก – คลาย pec minor / major
2. คอ – คลาย SCM / scalenes
3. บ่าและไหล่ – คลาย upper traps / levator scapulae
4. ขากรรไกรภายนอก – คลาย masseter, temporalis, platysma
5. ใต้คาง – คลาย digastric, mylohyoid, geniohyoid
6. ในปาก – คลาย medial/lateral pterygoid

หลังจากคลายกล้ามเนื้อรอบขากรรไกร ลิ้น คอ บ่าไหล่ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว… งานเรายังไม่จบนะคะ

เพราะถ้าแค่คลายแต่ไม่ “ตั้งระบบใหม่”
ร่างกายเขาจะค่อย ๆ กลับไปชดเชยเหมือนเดิมอีก โดยเฉพาะคนที่มี postural pattern ไม่ดี มานาน เช่น forward head

ครูจะให้ลูกค้าทำการ activate กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว โดยเฉพาะ “กล้ามเนื้อหน้าท้อง” (transverse abdominis)
เพื่อให้ระบบโครงสร้างมันทรงตัวได้เองโดยไม่ต้องดึงจากคอหรือขากรรไกร

ทำไมต้องใช้ “กล้ามเนื้อท้อง” ช่วย TMJ?

- เพราะเวลาที่ core ไม่ทำงาน ร่างกายจะเอาคอ ไหล่ และแม้แต่กรามมาใช้พยุงการทรงตัวแทน
- โดยเฉพาะเวลานั่งทำงาน ใช้คอม หรือพูดนาน ๆ คนที่ core ไม่ทำงานจะค้างอยู่ในท่าทางที่รั้ง TMJ ตลอดเวลา
- กล้ามเนื้อที่ตึงก็จะกลับมาตึงอีก
- การ activate กล้ามเนื้อท้อง จะช่วยส่งแรงพยุงจากลำตัวขึ้นไปถึงฐานกะโหลก ลดภาระบนคอ บ่า และขากรรไกร

วิธีที่ครูแนะนำให้ลูกค้าทำต่อหลังการนวด:
1. ฝึกหายใจลึกผ่านท้อง (diaphragmatic breathing)

ให้ลมลงลึกถึงท้อง แล้วค่อย ๆ รู้สึกว่าท้องยุบขณะหายใจออก — เพื่อกระตุ้น transverse abdominis แบบนุ่มนวล
ไม่ใช่เกร็งท้องแบบ sit-up แต่ให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อกลางลำตัวมัน “ตื่น”

2. ฝึก Chin Tuck เบา ๆ วันละ 10-20 ครั้ง

ให้ลูกค้านั่งพิงหลังเบา ๆ เอาคางถอยไปด้านหลังแบบไม่ก้ม ไม่เงย จินตนาการว่า “มีเส้นตรงลากจากปลายจมูกถึงกระดูกอก” แล้วค่อย ๆ ถอยคางตามแนวนี้ การฝึก chin tuck จะช่วยจัดแนวฐานกะโหลก – คอ – ขากรรไกร ให้กลับมาอยู่ในจุดสมดุล เหมาะมากกับคนที่คอยื่น จนส่งผลต่อ TMJ และลิ้นทำงานผิดจังหวะ

Case study : ปวดตึงจากคอถึงนิ้วกลาง…เพราะ C7 ถูกกดทับเมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนไข้ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่คลินิก ด้วยอาการปวดตึง...
06/26/2025

Case study : ปวดตึงจากคอถึงนิ้วกลาง…เพราะ C7 ถูกกดทับ
เมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนไข้ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่คลินิก ด้วยอาการปวดตึงตรงต้นคอ ปวดร้าวลงหัวไหล่ หลังแขน จนถึงนิ้วกลาง บอกว่าเป็นมาหลายสัปดาห์ จนแทบจับของไม่ไหว แถมมีอาการชา ๆ แปล๊บ ๆ ตลอดแนวแขนอีกด้วย ฟังอาการแบบนี้… ในหัวของเราก็คิดเลยว่า “น่าจะเป็น C7 Pinched Nerve”

C7 Pinched Nerve คืออะไร?
C7 เป็นรากประสาทบริเวณข้อกระดูกคอข้อที่ 7 มีหน้าที่ส่งสัญญาณไปควบคุมกล้ามเนื้อและรับความรู้สึกตั้งแต่ต้นแขน หลังแขน จนถึงนิ้วกลาง พอมีแรงกดทับตรงบริเวณนี้ (อาจมาจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน หินปูนเกาะข้อ หรือกล้ามเนื้อตึงสะสม) คนไข้จะรู้สึกทั้งปวด ตึง ชา แปล๊บ ๆ หรืออ่อนแรงได้

อาการเป็นแบบไหน?
- ปวดตึง ๆ ตั้งแต่คอ หัวไหล่ หลังแขน จนถึงนิ้วกลาง
- มีอาการชา แปล๊บ ๆ หรือตึงตลอดแนวแขน
- หยิบจับของหนัก ๆ ไม่ไหว
- ขยับหัวไหล่หรือคอแล้วรู้สึกตึงไปทั้งแนว

แผนการนวด
-คลายกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ เช่น Levator Scapulae, Upper Trapezius และ Scalene ด้วยเทคนิค Myofascial Release และ Neuromuscular Technique
-เปิดพื้นที่ให้เส้นประสาท ด้วย Pin & Stretch จัดท่านอนตะแคงหรือหงายเพื่อให้หัวไหล่และสะบักอยู่ในตำแหน่งคลายตัว
-Decompression & Traction ใช้ Manual Cervical Traction เพื่อดึงยืดแนวกระดูกสันหลังคอ ช่วยขยายพื้นที่และลดแรงกดทับบนรากประสาท C7
-คลายกล้ามเนื้อแขนและท่อนแขน ด้วย Stripping Technique, Compression และ Nerve Gliding Techniques เพื่อช่วยให้เส้นประสาทเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและลดอาการชา ปวด ตึง

Address

335 Doris Drive
Lakeland, FL
33813

Opening Hours

Monday 9am - 6pm
Tuesday 9am - 6pm
Wednesday 9am - 6pm
Thursday 9am - 6pm
Friday 9am - 6pm
Saturday 9am - 6pm

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Kesara Mai ngam -Ray LMT posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram