กวี ชูกิจเกษม

  • Home
  • กวี ชูกิจเกษม

กวี ชูกิจเกษม Contact information, map and directions, contact form, opening hours, services, ratings, photos, videos and announcements from กวี ชูกิจเกษม, Medical and health, .

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 11.95 จุด รับแรงกดดัน CPALL-CPAXT-กลุ่มรพ. ลุ้นโอกาสรีบาวด์พรุ่งนี้SET ปิดวันนี้ที่ 1,419.72 จุด ลดลง...
16/12/2024

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 11.95 จุด รับแรงกดดัน CPALL-CPAXT-กลุ่มรพ. ลุ้นโอกาสรีบาวด์พรุ่งนี้
SET ปิดวันนี้ที่ 1,419.72 จุด ลดลง 11.95 จุด (-0.83%) มูลค่าซื้อขายราว 40,533.11 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ลงแรงจากประเด็นกดดันหุ้น CPALL-CPAXT และแรงขายกลุ่มโรงพยาบาล ขณะที่ขาดปัจจัยใหม่หนุน แนวโน้มพรุ่งนี้ลุ้นดัชนีอาจรีบาวด์ทางเทคนิค สัปดาห์นี้เกาะติดตามภาพรวมการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้กรอบแนวรับ 1,414 จุด ถัดไป 1,410 จุด และแนวต้าน 1,422 จุด ถัดไป 1,430 จุด
SET ปิดวันนี้ที่ 1,419.72 จุด ลดลง 11.95 จุด (-0.83%) มูลค่าการซื้อขายราว 40,533.11 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงแรง โดยทำจุดต่ำสุด 1,414.86 จุด และทำจุดสูงสุด 1,424.68 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 119 หลักทรัพย์ ลดลง 375 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 171 หลักทรัพย์
นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ลงไปค่อนข้างแรง เพราะถูกกดดันจากการเทขายหุ้น CPALL-CPAXT ออกมาอย่างหนักจากปัจจัยเฉพาะตัว ประกอบกับ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับลงมาด้วย ขณะที่ภาพรวมยังไร้ปัจจัยในประเทศเข้ามาช่วยขับเคลื่อนดัชนี-ขาดอัพไซด์ ส่งผลให้เมื่อมีประเด็นลบเข้ามากระทบตลาดจึงปรับลงทันที
แนวโน้มวันพรุ่งนี้ลุ้นโอกาสเกิด Technical Rebound โดยคาดว่าหุ้น CPALL-CPAXT ที่กดดันตลาดวันนี้ค่อนข้างมากอาจมีจังหวะรีบาวด์หรืออย่างน้อยราคาหุ้นคงไม่ลงไปมากกว่านี้
และสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เกี่ยวกับภาพรวมเศรษกิจไทยและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าพร้อมให้กรอบแนวรับ 1,414 จุด ถัดไป 1,410 จุด และแนวต้าน 1,422 จุด ถัดไปให้ไว้ที่ 1,430 จุด

10 อันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2567
15/12/2024

10 อันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2567

14/12/2024

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการประชุม กนง. วันที่ 18 ธ.ค. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% และอาจปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีหน้า

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 234.44 จุด หลังสหรัฐฯ เผยดัชนี PPI สูงกว่าคาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 ธ.ค....
13/12/2024

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 234.44 จุด หลังสหรัฐฯ เผยดัชนี PPI สูงกว่าคาด
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 ธ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงเกินคาด และจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไร
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,914.12 จุด ลดลง 234.44 จุด หรือ -0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,051.25 จุด ลดลง 32.94 จุด หรือ -0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,902.84 จุด ลดลง 132.05 จุด หรือ -0.66%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต พุ่งขึ้น 3.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.6% หลังจากปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 3.4% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.2% หลังจากปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือนต.ค.
ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 98% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. แต่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนม.ค.ปีหน้า หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาเรียกร้องให้คณะกรรมการเฟดใช้ความระมัดระวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง
ร็อบ ฮาเวิร์ธ นักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท U.S. Bank Wealth Management กล่าวว่า นักลงทุนพยายามประเมินว่าเฟดจะตัดสินใจอย่างไรในการประชุมสัปดาห์หน้า รวมทั้งจับตาว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเฟดหรือไม่ นอกจากนี้ ฮาเวิร์ธกล่าวว่า มีแรงขายทำกำไรเข้ามาในตลาด หลังจากดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ปรับตัวลง 0.84% และ 0.83% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคดีดตัวขึ้นสวนทางภาพรวมตลาด โดยปรับตัวขึ้น 0.18%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ดิ่งลง 1.41% ส่วนหุ้นอะโดบี (Adobe) ทรุดตัวลง 13.69% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2568 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
หุ้นวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery) พุ่งขึ้น 15.4% หลังจากวอร์เนอร์ประกาศแผนแยกธุรกิจเคเบิลทีวีที่กำลังซบเซาลงในขณะนี้ ออกจากธุรกิจสตรีมมิงและสตูดิโอ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 17,000 ราย สู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ Stifel คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงขับเคลื่อนตลาด (momentum) ในปัจจุบันและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีอาจจะปรับตัวลง 10-15% ในช่วงครึ่งหลังของปี พร้อมกับคาดการณ์ว่าเฟดจะหยุดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมม.ค. 2568 ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงให้กับตลาดในช่วงกลางปี 2568

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เคลื่อนไหวผสมผสาน ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ รอลุ้นผล ประชุมเฟดสัปดาห์หน้าKrungthai XSpring •-ตลาด...
13/12/2024

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เคลื่อนไหวผสมผสาน ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ รอลุ้นผล ประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
Krungthai XSpring •-ตลาดหุ้นจีน เคลื่อนไหวแดนลบ โดย HSKI-1.66% SSEC-1.49% จากแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มบลูชิพขนาดใหญ่ Meituan-3%, East Money-2.4% ฯลฯ เพราะผลประชุม Central Economic Work Conference ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนถึงขนาดของมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากการส่งสัญญาณภาพรวมว่า
ทางการ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ผ่านมาตรการ การคลัง จะเพิ่มมาตรการใช้จ่ายของรัฐ ผ่านการเพิ่มการขาดดุลทางการคลัง ส่วนมาตรการการเงิน จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเพิ่ม Consumption และ Stablized property and stock markets รวมถึงการผ่อนคลายค่าเงินหยวน แทนที่เน้น Stability เพื่อตอบรับ การปรับขึ้น US Tariff
•+/-ตลาดหุ้นเอเชียพัฒนาแล้ว เคลื่อนไหว Mix โดยตลาดหุ้นที่ปรับ ลดลง ได้แก่ Nikkei-1.05% นำลงโดยหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ Mitsubishi Heavy-3.2% Sony Group-3.2% ฯลฯ ตามการปรับ ลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และการให้โอกาสที่ BOJ ปรับขึ้น ดอกเบี้ย ในสัปดาห์หน้า ลดลงเหลือ 23% โดยรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะ อดทนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อรอดูสัญญาณ Wage Growth ที่ชัดเจนก่อนดำเนินนโยบาย XAO-0.38%
•ส่วนตลาดหุ้นที่ปรับสูงขึ้น ได้แก่ Kospi พลิกจากลบมาเป็นบวก +0.63% คาดความเสี่ยงทางการเมืองอาจคลี่คลาย หลังจาก วันเสาร์ นี้ สภาฯจะมีกระบวนการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ยุนซุกยอล (Impeachment) จากการประกาศกฎอัยการศึกที่ผ่านมา Taiex +0.02% นำขึ้นโดยหุ้น TSMC+0.94%
•+/-ตลาดหุ้น ASEAN เคลื่อนไหวคละ โดยตลาดหุ้นที่ปรับลดลง ได้แก่ PSE-0.5% JKSE-0.41% VNI-0.34% ส่วนตลาดหุ้นที่ ปรับสูงขึ้น ได้แก่ FBKLCI+0.43% STI+0.2%
ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ
ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหว ใน กรอบ 1431.97-1438.35 จุด (-7.92 จุดถึง -1.54 จุด) โดยดัชนีฯ ฟื้นตัวเล็กน้อย หลังจากร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดใน 15 นาทีแรก หลังเปิดตลาด ปัจจัยลบมาจาก การร่วงลงของตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะกังวลต่อ US Bond Yield 10 ปีกลับมาเปลี่ยนเป็น ทิศทาง ขาขึ้น สัปดาห์แรกรอบ 4 สัปดาห์ และ US Dollar Index แข็งค่า ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง จากคาดการณ์ US Dot Plot ใหม่ มี โอกาสที่เฟดจะชะลอการปรับลดดอกเบี้ยปี 2025E ลงเหลือ น้อยกว่าเดิมที่ 4 ครั้ง
ภาวะตลาดโดยรวม (Market Breadth) เป็น Negative เห็นได้ จาก จำนวนบจ.ที่ปรับลดลง > จำนวนบจ.ที่ปรับสูงขึ้น ที่ 218 ต่อ 196 บจ. Gainers นำโดย PTT IVL มีผลต่อดัชนีฯ +1.13 จุด ส่วน Losers หุ้นที่ร่วงและมีผลต่อดัชนีฯสูงสุด ได้แก่ DELTA มีผล ต่อ ดัชนีฯ -3 จุด
Sectors & Stock Price Performance:
• +กลุ่มอุตฯที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ Petro+2.67% Media+0.73% Transport+0.69% Tourism+0.68%
•-กลุ่มอุตฯที่ปรับลดลง ได้แก่ Electronic-1.63% Agri-1.6% Health-1.25% Auto-0.72%
•+หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น >3% ได้แก่ BEM IVL CCET BTS VGI BYD AAI
•-หุ้นที่ปรับลดลง >3% ได้แก่ BH STA MCOT SISB
ประเด็นต้องติดตาม วันนี้ :
• EU: Industrial Production เดือน ต.ค. คาด -0.1% MoM, -1.9% YoY (Vs เดือน ก.ย. -2% MoM, -2.8% YoY) แต่คาดปรับตัว ดีขึ้นในช่วงที่เหลือปีนี้ โดย Consensus คาดสิ้นเดือน ธ.ค. ขยายตัว +1.5% YoY
Strategy Update: คาดดัชนีฯเคลื่อนไหว Sideways แนวรับ 1,431 จุด (EMA 75 วัน)/1425 จุด แนวต้าน 1442 จุด (EMA 10 วัน)/1447 จุด (EMA25วัน) แนะนำ ขึ้นขายทำกำไร เพื่อรอสัญญาณเทคนิค ยืนยันขาขึ้นรอบใหม่

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ผันผวนตามทิศทางหุ้น DELTAKrungthai XSpring : ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในกรอบ 1445.39-1456.92 จุด ...
12/12/2024

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ผันผวนตามทิศทางหุ้น DELTA
Krungthai XSpring : ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในกรอบ 1445.39-1456.92 จุด (+2.34 จุดถึง +13.87 จุด) โดยปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของวัน หลังเปิด ตลาดซื้อขาย 30 นาทีแรก ก่อนอ่อนตัวในช่วงที่เหลือของการซื้อขาย ตาม การเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA (สูงสุด +10 บาท ก่อนอ่อนตัว)
หลังจาก ออก จากเกณฑ์ Cash Balance ของตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นวันแรก และมี โมเมนตั้ม บวกจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ (ดัชนี Philadelphia Semiconductor Index วานนี้ +2.72% ขณะที่ Nasdaq +1.77% พร้อมทำ All-time high)
ภาวะตลาดโดยรวม (Market Breadth) เป็น Slightly Negative เห็นได้ จาก จำนวนบจ.ที่ปรับสูงขึ้น > จำนวนบจ.ที่ปรับลดลง ที่ 189 ต่อ 221 บจ. Gainers นำโดย DELTA มีผลต่อดัชนีฯ +7.5 จุด ส่วน Losers หุ้นที่ร่วง และ มีผลต่อดัชนีฯสูงสุด ได้แก่ PTT GULF มีผลต่อดัชนีฯ -1.04 จุด
Sectors & Stock Price Performance:
• +กลุ่มอุตฯที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ Electronic+4.69% Conmat+1.32% Pkg+0.96% Bank+0.82%
•-กลุ่มอุตฯที่ปรับลดลง ได้แก่ Tourism-1.05% Construction-0.89% Energy-0.78% Property-0.72%
•+หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น >3% ได้แก่ DELTA JAS
•-หุ้นที่ปรับลดลง >3% ได้แก่ BCP TIDLOR EE MOSHI
ประเด็นต้องติดตาม วันนี้ :
•ECB: ECB Meeting คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 3.15% (เดิม 3.4%) และ Consensus คาดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องอีก 100 bps ในปี 2025 (ลด 50 bps. เหลือ 2.65% ในเดือน มี.ค. 2025 และอีก 50% bps เหลือ 2.15% ในเดือน มิ.ย. 2025)
•Switzerland: ผลประชุมธนาคารกลาง คาดมีมติลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 0.75%
•US: รายงาน PPI เดือน พ.ย. คาด +0.2% MoM, +2.6% YoY (Vs เดือน ต.ค. +0.2% MoM, +2.4% YoY)
Strategy Update: คาดดัชนีฯเคลื่อนไหว Sideways แนวต้าน 1454/1457 จุด แนวรับ 1,442 จุด (EMA 50 วัน)/1437 จุด แนะนำ ขึ้นขายทำกำไร เพื่อรอ สัญญาณ ยืนยันขาขึ้นรอบใหม่

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกรับดัชนี Nasdaq พุ่งทำนิวไฮ ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ (12 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากดัช...
12/12/2024

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกรับดัชนี Nasdaq พุ่งทำนิวไฮ
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ (12 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากดัชนี Nasdaq ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ (11 ธ.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ และทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวที่ระดับ 39,849.97 จุด เพิ่มขึ้น 477.74 จุด หรือ +1.21% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,213.24 จุด เพิ่มขึ้น 58.19 จุด หรือ +0.28% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,432.28 จุด ลดลง 0.21 จุด หรือ 0.006%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดพุ่งขึ้น 1% ส่วนดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียดีดตัวขึ้น 0.1% หลังจากสำนักงานสถิติของออสเตรเลียรายงานว่า อัตราว่างงานลดลงแตะระดับ 3.9% ในเดือนพ.ย. จากระดับ 4.1% ในเดือนต.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.2%

หุ้น IVF ปิดเทรดวันแรกที่ 2.02 บาท ลดลง 1.08 บาท หรือลดลง -34.84% จากราคา IPO ที่ 3.10 บาท บล.ดาโอ : IVF (IPO/เป้า 4.40 ...
11/12/2024

หุ้น IVF ปิดเทรดวันแรกที่ 2.02 บาท ลดลง 1.08 บาท หรือลดลง -34.84% จากราคา IPO ที่ 3.10 บาท
บล.ดาโอ : IVF (IPO/เป้า 4.40 บาท) เป็นผู้ให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก (infertility treatment) ชั้นนำโดยมีรายได้หลักๆจากการทำ infertility treatment ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วิธี Intracytoplasmic s***m injection (ICSI), การตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อน (Preimplantation genetic testing: PGT)
รวมจนถึง การรักษาภาวะการเจริญพันธุ์ (Fertility preservation) นอกจากนี้ บริษัทยังมีให้บริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู (Preventive and regenerative medicine: PRM) ซึ่งบริษัทเริ่มให้บริการตั้งแต่กลางปี 2023 ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะระดมทุนเพื่อนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาและเพื่อเป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
เราประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่ (2023-2026E CAGR) +29% เป็น 88 ล้านบาทในปี 2026E หนุนด้วย จำนวนรอบการเก็บไข่ของบริการ ICSI (Oocyte Pick-up Cycle: OPU cycle) ที่สูงขึ้น รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ดีขึ้นจากสัดส่วน (revenue mix) ที่ดีขึ้น และส่วนประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ที่ขยายขึ้นจากฐานรายได้ที่สูงขึ้น
เราประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับ IVF ที่ 4.40 บาท อิง 2025E PER ที่ 26.5x ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ของคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่ 17.6x โดยเรามองว่า IVF สมควรซื้อขายที่ premium เนื่องจากอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงกว่าคู่แข่ง (peers)
.

คลัง ธปท. สถาบันการเงิน เปิดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2....
01/05/2024

คลัง ธปท. สถาบันการเงิน เปิดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี �เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท
หนี้ครัวเรือนเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความสำคัญและร่วมกันผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
โดยหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี 2567 เป็นการวางรากฐานแนวทางแก้ไขปัญหาให้ลูกหนี้อย่างยั่งยืน ผ่านความเข้มงวดในการกำกับสถาบันการเงินให้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งก่อนและหลังการเป็นหนี้เสีย อย่างไรก็ดี การเติบโตของเศรษฐกิจยังมี�ความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน รายได้ของครัวเรือนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) บางกลุ่มยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ขณะที่ภาระหนี้และค่าครองชีพหรือต้นทุนการประกอบธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังเผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้อยู่
กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง จึงได้ร่วมกันผลักดันมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม ภายใต้ชื่อโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม โดยมีกลไกการส่งเสริมวินัยทางการเงินควบคู่ไปกับการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการเสียวินัยในการชำระหนี้ (moral hazard) ในภายหลัง
โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” นับเป็นการประสานบทบาทของทั้งภาครัฐ เอกชน และลูกหนี้ ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในกลุ่มเปราะบาง โดยลูกหนี้จะต้องลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการและชำระหนี้ตามเงื่อนไข ขณะที่ภาครัฐและสถาบันการเงินจะร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง (50%) เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ร่วมโครงการ
โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินไม่สูงมาก ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและพักภาระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้น หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ (ชำระเงินตรงเวลาและไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกของการเข้าโครงการฯ) มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” มีวัตถุประสงค์หลัก�ในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้กับลูกหนี้ โดยค่างวดที่ลดลงจะทำให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเหลือสำหรับดำรงชีพเพิ่มเติมระหว่างอยู่ในมาตรการ ขณะที่ดอกเบี้ยที่ได้รับยกเว้นจะช่วยให้ภาระหนี้โดยรวมของลูกหนี้ลดลง
มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” เป็นการช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่สูง (ไม่เกิน 5,000 บาท) โดยลูกหนี้จะต้องเข้ามาเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้บางส่วน ซึ่งมาตรการ “จ่าย ปิด จบ” นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกหนี้ รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” �และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น
ในช่วงเริ่มต้น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ �ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม�ในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยบรรเทา�ความเดือดร้อนและช่วยดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ภาครัฐและเอกชนจึงร่วมกันออกโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี �เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท ทั้งนี้ การแก้หนี้ที่ยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับการเพิ่มทักษะ (upskill/reskill) และเสริมสร้างรายได้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งเป็นอีกด้านที่รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาและยกระดับรายได้ของครัวเรือนให้ดียิ่งขึ้น”
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นงานที่ ธปท. ให้ความสำคัญและผลักดันมาต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเศรษฐกิจเติบได้อย่างยั่งยืน โดยโครงการนี้มี 2 จุดสำคัญที่ต่างจากที่ผ่านมา คือ
(1) การปรับโครงสร้างหนี้ที่เน้นตัดเงินต้น และลดภาระผ่อนในช่วง 3 ปี เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้
(2) การร่วมสมทบเงิน �(Co-payment) จากภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อช่วยลดภาระจ่ายของลูกหนี้ โดยชื่อของโครงการนี้สะท้อนความตั้งใจของทุกฝ่าย โดย “คุณสู้” สะท้อนถึงลูกหนี้ที่พร้อมจะสู้ต่อในการแก้ไขปัญหาหนี้ ส่วน “เราช่วย” คือ ภาครัฐและสถาบันการเงินที่พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อลดภาระและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ความสำเร็จของโครงการนี้ จึงถือเป็นความร่วมมือจากทั้งลูกหนี้ ภาครัฐ และเจ้าหนี้ ในการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน”
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า “สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนภาครัฐในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มได้ราว 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4 แสนล้านบาท โดยการร่วมมือกับภาครัฐเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้โครงการนี้ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของสมาคมธนาคารไทยในการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ไม่ทำให้�ใครต้องตกไปอยู่นอกระบบจากโครงสร้างหรือข้อจำกัดของระบบ และภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” นั้น ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบอย่างเป็นธรรม กระตุกพลังในการปรับโครงสร้าง เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน”
Mr. Giorgio Gamba ประธานสมาคมธนาคารนานาชาติ กล่าวว่า “สมาคมธนาคารนานาชาติพร้อมสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs และมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศอย่างเต็มที่ โดยเห็นพ้องกับแนวทางการดำเนินการของโครงการ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของสถาบันการเงินในการช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการสมทบเงินร่วมกับภาครัฐ �(Co-payment)
ผ่านกลไกการจัดตั้งแหล่งเงินทุนกลางภายใต้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) โดยสมาคมธนาคารนานาชาติยินดีให้ความร่วมมือและดำเนินการตามโครงการ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางให้สามารถชำระหนี้และไปต่อได้”
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า “สถาบันการเงินของรัฐ พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ และ ธปท. ในการสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อย่างเต็มที่ โดยโครงการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ และยังมีการออกแบบกลไกการส่งเสริมวินัยทางการเงินควบคู่กับการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ด้วย
ทั้งนี้ สถาบันการเงินของรัฐอยู่ระหว่างการหารือกับ ธปท. และกระทรวงการคลัง ในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ลูกหนี้ของกลุ่ม Non-bank รวมถึงการพิจารณามาตรการเพิ่มเติม เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะไม่ทับซ้อนกับกลุ่มลูกหนี้ของโครงการนี้ ทั้งนี้ คาดว่ามีลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ทั้ง 2 มาตรการของสถาบันการเงินของรัฐ จำนวนประมาณ 6 แสนบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4.5 แสนล้านบาท”
กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) มุ่งหวังว่าโครงการนี้จะช่วยให้ลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ที่ประสบปัญหาใน�การชำระหนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุด สามารถฟื้นตัวและกลับมาชำระหนี้ได้หลังสิ้นสุดโครงการ นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างบูรณาการต่อไป

ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวผสมผสาน ตลาดหุ้นไทย แกว่งกรอบแคบ รอลุ้นผลประชุม ครม.และรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯKrungthai XSpring : •...
03/04/2024

ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวผสมผสาน ตลาดหุ้นไทย แกว่งกรอบแคบ รอลุ้นผลประชุม ครม.และรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ
Krungthai XSpring : •+/-ตลาดหุ้นจีน เคลื่อนไหว Mix โดย HSKI สลับบวกและลบ ตลอดการ ซื้อขาย โดยล่าสุด -0.94 จุด แต่ SSEC+0.22% โดยโมเมนตั้มบวกมาจาก วันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการ Politburo ส่งสัญญาณจะผ่อนคลาย นโยบาย การเงิน (ครั้งแรกรอบ 14 ปี) ใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้น พยุงตลาดหุ้น
และกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย 5% โดยมีประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เป็นประธาน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงเชิงลบคือ อาจไม่มีรายละเอียดใหม่ ๆหลังประชุมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
•+/-ตลาดหุ้นเอเชียพัฒนาแล้ว เคลื่อนไหว Mix โดยตลาดหุ้นที่ปรับลดลง นำโดย Taiex-0.71% หุ้น TSMC ร่วง-1.4% XAO-0.47% ตามการปรับลดลง ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ Nikkei-0.33% นำลงโดยหุ้นกลุ่มเทคฯ Disco-3% Tokyo Electron-0.9% หลังวานนี้ ดัชนี Philadelphia SE Semiconductor Index) ดิ่งลง 2.5% (NVIDIA-2.69%)
ส่วนตลาดหุ้นที่ปรับสูงขึ้น ได้แก่ Kospi+0.69% นำขึ้นโดยกลุ่มผู้ผลิตแบตเตอรี่ และกลุ่มการเงิน Samsung SDI+0.4% LG Energy Solution +0.3% KB Financial +2.2% โดยมี Positive Sentiment จากทางการอาจพิจารณาลดภาษี รวมถึงยกเว้น Capital Gain Taxes
•+/-ตลาดหุ้น ASEAN เคลื่อนไหวคละ โดยตลาดหุ้นที่ปรับลดลง ได้แก่ STI-0.50%% FBKLCI -0.39% PSE-0.38% VNI-0.04% ส่วนตลาดหุ้น ที่ ปรับสูงขึ้น ได้แก่ JKSE+0.67%
ตลาดหุ้นไทย แกว่งกรอบแคบ รอลุ้นผลประชุม ครม.และรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในกรอบ 1444.55-1454.32 จุด (-2.98 จุดถึง +6.79 จุด) โดยขึ้นไปทำระดับสูงสุดของวันในครึ่งชั่วโมงแรกหลังเปิดตลาด ก่อน อ่อนตัวลดลงในช่วงที่เหลือของการซื้อขาย ท่ามกลางการเคลื่อนไหวไร้ ทิศทาง ของตลาดหุ้นภูมิภาค
ปัจจัยลบคือการปรับลดลงของหุ้นกลุ่มเทคฯ ตามการร่วงลงวานนี้ของดัชนี Philadelphia Semiconductor Index -2.5% ส่วนปัจจัยบวกคือ การคาดว่าจะมีข่าวดีจากผลประชุมครม.วันนี้ อาทิ มาตร การแก้หนี้ ฯลฯ
ทั้งนี้ภาวะตลาดโดยรวม (Market Breadth) เป็น Neutral เห็นได้จาก จำนวน บจ.ที่ปรับสูงขึ้น < จำนวนบจ.ที่ปรับลดลง ที่ 208 ต่อ 216 บจ. Gainers นำ โดย AOT PTT มีผลต่อดัชนีฯ +2.59 จุด ส่วน Losers หุ้นที่ร่วงและมีผล ต่อ ดัชนีฯสูงสุด ได้แก่ DELTA GULF ADVANC มีผลต่อดัชนีฯ -2.86 จุด
Sectors & Stock Price Performance:
• +กลุ่มอุตฯที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ Tourism+1.92% Media+1.8% Pkg +1.43% Transport+1.21%
•-กลุ่มอุตฯที่ปรับลดลง ได้แก่ Electronic-0.74% Bank-0.6% Auto-0.51% (แม้ยอดจองรถยนต์งาน Motor Expo 2024 ดีขึ้นเป็น 54,634 คัน +0.6% YoY) Insurance-0.4%
•+หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น >3% ได้แก่ CCET VGI EE ONEE
•-หุ้นที่ปรับลดลง >3% ได้แก่ IVF TMAN AS
ประเด็นต้องติดตาม วันนี้ :
•US: เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +0.3% MoM, 2.7% YoY (Vs เดือน ต.ค. +0.2% MoM, +2.6% YoY) Core Inflation Rate เดือน พ.ย. คาด +0.3% MoM, +3.3% YoY (Vs เดือน ต.ค. +0.3% MoM, +3.3% YoY)
•DELTA สิ้นสุดเกณฑ์ซื้อขายด้วยเกณฑ์ Cash Balance วันสุดท้ายวันนี้
Strategy Update: คาดดัชนีฯเคลื่อนไหว Sideways แนวต้าน 1454/1457 จุด แนวรับ 1,442 จุด (EMA 50 วัน)/1437 จุด แนะนำเก็งกำไร กลุ่มการเงิน อิงรับโมเมนตั้มบวกจากมาตรการแก้หนี้ของทางการ แนะนำ KKP TTB KTC

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when กวี ชูกิจเกษม posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to กวี ชูกิจเกษม:

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share