DR.Thira0268 ผู้ใช้แล้ว 578,832 คน
รีวิว: ️⭐️⭐️⭐️⭐️
✔️เ

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติ โดยเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ที่สร้างจากตับอ่อน ส่วนเบตาเซล...
21/07/2022

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติ โดยเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ที่สร้างจากตับอ่อน ส่วนเบตาเซลล์ผิดปกติ โดยในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดการทำงานของหลอดเลือด และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่รุนแรงมากขึ้น
ประเทศไทยมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานเฉลี่ยปีละ 8,000 คน ซึ่งโรคเบาหวานนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้สูงอายุเพียงเท่านั้น แต่พบว่าคนรุ่นใหม่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวานสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้มาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต และการรับประทานอาหารในปัจจุบัน
อาการของผู้ป่วยโรคเบาหวานในระยะแรก ถ้าน้ำตาลในเลือดไม่สูงมาก จะยังไม่มีการแสดงอาการใดๆ ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้โดยตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะสามารถบ่งบอกได้ว่า คุณมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานหรือไม่?!
เบาหวาน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะโคมาจากน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่วนภาวะแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง เช่น ภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต ระบบประสาท ปัญหาที่เท้าจากเบาหวาน รวมทั้งโรคที่มักพบร่วมกับเบาหวาน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง
การที่ไม่สามารถคุมเบาหวานได้ ปล่อยให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้คุณเสี่ยงโรคร้ายแรงเหล่านี้ได้!!!
โรคหลอดเลือดหัวใจ : หัวใจล้มเหลว
โรคหลอดเลือดสมอง : อัมพฤกษ์,อัมพาต
หลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบตัน : ชาปลายมือ-เท้า, เป็นแผลหายยาก
ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีเป็นระยะเวลานานอาจจะเกิด ภาวะเส้นเลือดตีบแข็งเร็วขึ้น ทำให้เกิดปัญหาหากับอวัยวะที่เส้นเลือดนั้นไปหล่อเลี้ยง เช่น เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตันก็จะทำให้เกิดอัมพาต เส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย หรือหากเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาไม่เพียงพอทำให้ขาอ่อนแรง และมักมีอาการปวดขาเวลาเดิน กรณีหลังนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียขาของผู้ป่วยเบาหวานด้วย เนื่องจากจะทำให้แผลหายยาก
ภาวะแทรกซ้อนทางตา : จอประสาทตาเสื่อม, ตาบอด
“เบาหวานขึ้นตา” เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ทำให้หลอดเลือดในจอประสาทตาเริ่มอักเสบ โป่งพอง มีเลือด และน้ำเหลืองซึมออกมาทั่วๆ จอประสาทตา จะแสดงอาการค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวและละเลยการตรวจสภาพตาตามคำแนะนำของแพทย์ หากรั่วซึมถึงจุดศูนย์กลางของการรับภาพ อาจทำให้มีอาการตาพร่ามัว ยิ่งถ้าหลอดเลือดและพังผืดเกิดใหม่ยังมีผนังไม่แข็งแรง ฉีกขาดง่าย จะเป็นตัวที่ยึดดึงจอประสาทตาให้หลุดลอกออกมาและตาบอดสนิท
ภาวะแทรกซ้อนทางไต : ไตวาย
เบาหวานเป็นสาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด ที่ 2 ร้อยละ 20.0-40.0 มีโอกาสเกิดภาวะโรคไต เรื้อรัง และเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท แบ่งพิจารณาตามอาการ โดยแบ่งได้เป็น ประสาทส่วนปลายเสื่อม ความผิดปกติของเส้นประสาทเส้นใดเส้นหนึ่ง
ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท แบ่งพิจารณาตามอาการ โดยแบ่งได้เป็น ประสาทส่วนปลายเสื่อม ความผิดปกติของเส้นประสาทเส้นใดเส้นหนึ่ง
เบาหวาน หากยิ่งปล่อยไว้นาน ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาได้!!!! เพราะผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากๆ เป็นเวลานาน จะส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือด เกิดภาวะอักเสบและอุดตันได้ง่ายกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย ดังนั้น ทางที่ดีควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติอย่างต่อเนื่อง ควรตรวจสุขภาพประจำทุกปี เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่อาจเกิดขึ้นได้
โปรแกรมตรวจสุขภาพผู้ป่วยเบาหวาน
โรคเบาหวาน ภัยร้ายที่ถูกละเลย
โรคเบาหวานกับการดูแลเท้า
สังเกตตัวเองด่วน!! สัญญาณเตือน อาการ…โรคเบาหวาน
คุณสามารถติดต่อโดยตรงกับผมหรือหมอพรทิพย์: 0992920074
หรือฝากเบอร์โทรไว้เราจะโทรกลับครับ

👍 👍 👍อาหารต่างๆที่ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบ🎉โรคข้ออักเสบเกิดขึ้นเมื่อข้อต่อเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยซึ่งนำไปสู่โรคข้ออักเสบและ...
21/07/2022

👍 👍 👍อาหารต่างๆที่ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบ
🎉โรคข้ออักเสบเกิดขึ้นเมื่อข้อต่อเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยซึ่งนำไปสู่โรคข้ออักเสบและอาการปวดข้อ หากไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม
🎉โรคจะรุนแรงขึ้น มาดูอาหารบางชนิดที่ช่วยรักษาโรคข้ออักเสบด้วย Vinamilk ด้านล่างกัน
แท้จริงแล้วไม่มีอาหารชนิดใดที่สามารถรักษาโรคข้ออักเสบได้แต่การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มุ่งรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อและฟื้นฟูการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
✅ ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบควรเสริมด้วยวิตามิน เช่น วิตามิน D, C, B, K, กรดโฟลิก, (Axit Folic) ธาตุเหล็กที่มีอยู่ในผักและผลไม้ เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมระหว่างการสร้างกระดูก นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก ... และปลาน้ำเย็น เพื่อช่วยให้ข้อต่อทำงานคล่องตัวขึ้น
✅ ปลาแซลมอน: อุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 คอลลาเจนที่ดีต่อข้อต่อและกระดูกอ่อน นอกจากนี้ ปลาแซลมอนยังมีแคลเซียมอยู่มากซึ่งดีต่อกระดูก
✅กล้วย: มีทริปโตเฟน (Trytophan) และเซโรโทนิน (Serotonin) ในปริมาณสูง โดยเฉพาะโพแทสเซียม ซึ่งเป็นอิเล็กโทรไลต์ที่ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมของร่างกาย ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และป้องกันโรคกระดูกพรุน
✅ ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ส้มโอ... ช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดี
✅ พริกหวาน : มีวิตามินซี วิตามินบี 6 และโฟเลต (Folate) เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับระบบกระดูกและข้อ
✅ กุ้ง: ประกอบด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม พร้อมด้วยสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพโดยทั่วไป และโดยเฉพาะระบบกระดูกและข้อ อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่ากุ้งทะเลมีมีพิวรีน (Purine) จำนวนหนึ่ง จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์
✅ ถั่วเหลือง: ประกอบด้วย ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) โอเมก้า 3 (omega) วิตามินอี แคลเซียม เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพและกระดูก เสริมสร้างการดูดซึมแคลเซียมและการสร้างกระดูกอ่อน
✅ ชาเขียว: มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและมะเร็ง
✅นม: นอกจากจะให้แคลเซียมและวิตามินดีแล้ว นมยังเสริมด้วย คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ (Collagen Hydrolysate) ซึ่งช่วยให้กระดูกอ่อนเพิ่มความทนทาน ยืดหยุ่นและยืดหยุ่นได้ดี ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
นอกจากการเพิ่มอาหารเพื่อช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบแล้ว ผู้ป่วยควรรวมระบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม และรักษาสุขภาพกระดูกกจากนี้ ชาเขียวยังช่วยป้องกันหรือลดอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้อีกด้วย

21/07/2022
อาหารมื้อเช้าสำคัญ ดูแลสมองความจำ แบ่งปันอาหารคลีน สำหรับคนทานยาก และเหมาะกับคนชอบแซ่บ ชอบทานน้ำพริก เพื่อสุขภาพหุ่นดีกั...
21/07/2022

อาหารมื้อเช้าสำคัญ ดูแลสมองความจำ แบ่งปันอาหารคลีน สำหรับคนทานยาก และเหมาะกับคนชอบแซ่บ ชอบทานน้ำพริก เพื่อสุขภาพหุ่นดีกันจ้าา
👉ลดหวาน ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
👉 ลดโซเดียม
👉 เลือกน้ำพริกสำหรับคีโต กับคลีน
👉 เลือกต้ม ลวก มากกว่าทอด
👉 ออกกำลังกาย อาทิตย์ละ 3 วัน อย่างน้อย 25 นาที
👉ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร จิบได้ทั่งวันไม่ดื่มครั้งเดียว
👉 พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ นะคะ
ทำทานเองที่บ้านง่าย ๆ จ้า

โทษของน้ำตาล1. การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบ...
21/07/2022

โทษของน้ำตาล
1. การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบบการย่อยอาหารไม่ดี มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้ฟันผุ ฯลฯ[1]
2. น้ำตาลมีผลเพิ่มปริมาณของไขมันร้าย หรือ ไขมันเลว (LDL) และไปลดปริมาณของไขมันดี (HDL)
3. การรับประทานน้ำตาลทรายมากจนเกินไปจะทำให้ต้องใช้อินซูลินมากเกินไป ถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานานก็สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ และในคนที่บริโภคน้ำตาลมากจนเกินไปในช่วง 40 ปีแรกของชีวิต จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะน้ำตาลจะไปทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเสื่อมสมรรถภาพ เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น[1]
4. นอกจากน้ำตาลจะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานแล้วน้ำตาลยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงอีกด้วย[3]
5. การรับประทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้การขับออกของโครเมียมทางไตมีมากขึ้น ซึ่งโครเมียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเพิ่มการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้น การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก จะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินได้
6. สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารหวานบ่อย ๆ สมดุลของแร่ธาตุในร่างกายจะไม่ค่อยสมดุล ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยมีรายงานว่าการรับประทานหวานมากจะทำให้เลือดมีแคลเซียมมากขึ้น ฟอสฟอรัสลดลง ซึ่งอาจไปตกตะกอนทำให้เกิดนิ่วในไตได้ นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อย ๆ ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นระยะเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น[3]
7. น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากจนเกินไป ตับจะส่งไปยังกระแสเลือดแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น หน้าท้อง ขาอ่อน เป็นต้น และการรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ซึ่งอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มไปด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายก็เริ่มมีความผิดปกติ ความดันเลือดก็จะสูงขึ้น สรุปก็คือถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากเพียงพอ น้ำตาลที่ได้ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย[3]
8. เมื่อเรารับประทานน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลทราบ น้ำผึ้ง น้ำตาลในนม น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลเหล่านี้จะเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดความไม่สมดุล ทำให้มีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ มาแก้ไขความไม่สมดุล[3]
9. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน เป็นสิว ผื่น ตกกระ เป็นตะคริวช่วงมีรอบเดือน แผลพุพอง แผลริดสีดวงทวาร มะเร็งตับ เบาหวาน โรคหัวใจ วัณโรค เหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการรับประทานน้ำตาลที่มากเกินไป[3]
10. ผลการวิจัยพบว่า โรคฟันผุมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับประทานน้ำตาล เมื่อรับประทานน้ำตาลจะทำให้สภาพของกรดในปากเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุมากจะรู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว Bacillus acidi lactici คือแบคทีเรียที่ชอบอาศัยและเจริญเติบโตอยู่ตามร่องฟัน ซอกฟัน หรือแอ่งฟันที่มีสภาพเป็นกรด ทำให้แคลเซียมในฟันหลุดและเกิดโรคฟันผุ (แมงกินฟัน)[1]
11. การรับประทานน้ำตาลซูโครสมากจะทำให้กรดอะมิโน "ทริปโตเฟน" ถูกเร่งให้ผ่านเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้สมดุลของฮอร์โมนในสมองเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง[3]
12. การรับประทานน้ำตาลทรายก็ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้เช่นกัน เพราะถ้ารับประทานน้ำตาลทรายในปริมาณมากจะทำให้วิตามินบีในร่างกายถูกใช้ไปมาก เมื่อวิตามินบีในร่างกายน้อยลง จะส่งผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง น้ำย่อยและน้ำลายก็ลดน้อยลง ทำให้เบื่ออาหารมากขึ้น[1]
13. การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป จะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงนอน[3]
14. น้ำตาลทรายเมื่ออยู่ในกระเพาะอาหารมากจนเกินไป จะทำให้สภาพกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ในลำไส้ ทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง[1]
15. มีผู้เชื่อว่าการรับประทานมากเกินไป จะส่งผลต่อการเผาผลาญแคลเซียม ถ้าปริมาณน้ำตาลสูง 16-18% ของอาหารที่กิน จะทำให้การเผาผลาญของแคลเซียมในร่างกายเกิดความสับสนได้[1]
16. สำหรับคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ฯลฯ เพราะจะทำให้อวัยวะภายในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันสูง อ้วน กระดูกพรุน เนื้องอก และมะเร็ง ที่สำคัญน้ำตาลยังทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น หากดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ อาการของโรคภูมิแพ้จะมีความรุนแรงเป็น 2 เท่า หรือทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคทุกชนิดจะใช้น้ำตาลเป็นอาหาร และน้ำตาลยังเป็นแหล่งอาหารของเซลล์มะเร็ง เป็นอาหารของยีสต์ในลำไส้ ทำให้ยีสต์เพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้เกิดภาวะไส้รั่ว[3]
17. น้ำตาลนอกจากจะส่งผลร้ายต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าเด็กรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ฟันผุ เป็นโรคกระดูกเปราะ อาจทำให้เด็กเป็นคนโกรธง่ายและไม่มีสมาธิได้[3]
18. น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจน (ไกลเคชั่น) ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ลดความยืดหยุ่น และยังไปลดปริมาณของฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ (Growth Hormone) ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น และอ้วนได้
19. จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้คนรับประทานน้ำตาลเพียงวันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน (โรคเบาหวานถูกยกระดับให้เป็นโรคอันตรายเทียบเท่ากับโรคเอดส์) แต่จากการสำรวจของ สสส. กลับพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ 3 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ช้อนชา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนทำให้สถิติอ้วนลงพุงของเด็กไทยพุ่งสูงขึ้นที่สุดในโลก และในรอบห้าปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กไทยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า และยังพบว่าคนไทยจำนวนมากถึง 17 ล้านคน ที่ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน โดยน้ำอัดลมน้ำดำ น้ำอัดลมสี และน้ำอัดลมน้ำใส (เพียงกระป๋องเดียว) จะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่มากถึง 34-46 กรัม หรือคิดเป็น 8.5-11.5 ช้อนชาเลยทีเดียว (แค่เฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวัน ร่างกายของเราก็ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็นแล้ว)

โรคเบาหวานคืออะไรโรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่...
21/07/2022

โรคเบาหวานคืออะไร
โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีอินสุลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและกล้ามเนื้อ ในภาวะที่อินสุลินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินสุลินในร่างกาย หรือการที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตอบสนองต่ออินสุลินลดลง (หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินสุลิน) จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง จนทำให้ไตดูดกลับน้ำตาลได้ไม่หมด ซึ่งปกติไตจะมีหน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากสารที่ถูกกรองจากหน่วยไตไปใช้ ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่วออกมากับปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคเบาหวาน” หากเราปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ไปนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาในที่สุด
ชนิดของโรคเบาหวาน
เบาหวานชนิดที่ 1 – เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์สร้างอินสุลินในตับอ่อน ทำให้เกิดภาวะขาดอินสุลิน
เบาหวานชนิดที่ 2 – เกิดจากภาวะการลดลงของการสร้างอินสุลิน ร่วมกับภาวะดื้ออินสุลิน และมักเป็นกรรมพันธุ์
เบาหวานชนิดพิเศษ – สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้อาจเกิดจากความความผิดปกติของตับอ่อน หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงานที่ผิดปกติของอินสุลินโดยกำเนิด
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ – เบาหวานชนิดนี้เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์และหายไปได้หลังคลอดบุตร แต่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
อาการของโรคเบาหวาน
เบาหวานที่พบได้บ่อยที่สุด คือเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากกรรมพันธุ์และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารประเภทแป้ง ของหวานมากเกินไป ภาวะน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง การขยับร่างกายที่น้อยลง ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น
เบาหวานชนิดนี้ มักเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เช่น อายุ 20 – 30 ปี ซึ่งสัมพัทธ์กับการรับประทานอาหารที่เป็นแป้ง ของหวาน หรือการออกกำลังกายที่ลดลง และ โรคอ้วน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อายุยังน้อย มีโอกาสจะควบคุมอาการโรคได้ยากกว่า เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่า และมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในช่วงอายุที่น้อยกว่า
ดังนั้น การควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ปกติ จึงมีความสำคัญอย่างมากรวมถึงการค้นหาโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันและการรักษาโรคเบาหวานได้อย่างทันท่วงที จะส่งผลให้ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานระยะยาวได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเป็นระยะเวลานาน น้ำตาลที่สูงจะส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยทำให้เกิดภาวะอักเสบ และภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ง่ายกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยในภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ทำให้น้ำตาลส่วนเกินไปเกาะกับเม็ดเลือดขาวที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย

โรค...เบาหวานเป็นอย่างไร?              เป็นภาวะที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ จากการที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินลดลงหรือไ...
21/07/2022

โรค...เบาหวานเป็นอย่างไร?
เป็นภาวะที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ จากการที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินลดลงหรือไม่สร้างเลย ร่วมกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน (อินซูลินออกฤทธิ์ลดลง) จัดเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายขาด จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนของเบาหวานทั้งชนิดเฉียบพลัน และเรื้อรังต่าง ๆ ในหลายอวัยวะ เช่น ตาบอด, ไตวายรื้อรัง, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, อัมพาต สำหรับในประเทศไทยพบผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 10 %
โรคเบาหวานมีอาการเริ่มต้นอย่างไร ?
เมื่อมีน้ำตาลในเลือดสูงเล็กน้อยมักไม่มีอาการผิดปกติ อาจตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี ภาวะน้ำตาลสูงมากอาจมีอาการได้หลายอย่าง เช่น ปัสสาวะบ่อย (มากกว่า 1 ครั้งต่อคืน) หิวน้ำบ่อย ทานอาหารมาก น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว ชามือ ชาเท้า แผลเรื้อรัง เชื้อราที่ผิวหนัง ตกขาว สมรรถภาพทางเพศเสื่อมหรืออาจพบอาการของโรคแทรกซ้อนของเบาหวานตั้งแต่วินิจฉัย
โรคเบาหวานมีกี่ชนิด ?
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1
เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย จำเป็นต้องฉีดอินซูลินสม่ำเสมอ พบได้ประมาณ 5-10% ของผู้ที่เป็นเบาหวาน มักพบในคนอายุน้อย น้ำหนักน้อย
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2
เป็นชนิดที่พบมากที่สุด (ประมาณ 90 - 95%) มักเป็นจากกรรมพันธุ์ สามารถใช้ยาเบาหวานชนิดทานได้
3. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุเฉพาะ
จากกลุ่มโรคอื่น เช่น MODY, Cushing, ยาบางชนิด, การติดเชื้อบางอย่าง (CMV, Rubella)
4. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
พบได้ประมาณ 2.1% ของการตั้งครรภ์ มักพบช่วงสัปดาห์ที่ 24 – 48 ของการตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อมารดา และบุตรในครรภ์ได้
คุณสามารถติดต่อโดยตรงกับผมหรือหมอพรทิพย์: 0992920074
หรือฝากเบอร์โทรไว้เราจะโทรกลับครับ

ุ6 ผักต้องกินสุก
21/07/2022

ุ6 ผักต้องกินสุก

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลใ...
21/07/2022

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำตาลอยู่กระแสเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ทั้งนี้ระดับน้ำตาลในเลือดยังบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ด้วย (Prediabetes) ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเป็นเบาหวานสามารถพัฒนาการเกิด โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (เบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้) โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองในอนาคตได้ง่ายขึ้น

ขอความอนุเคราะห์ตอบแบบสอบถามกรมควบคุมโรคโพลออนไลน์ (DDC poll online) ครั้งที่ 54: ความคิดเห็นประชาชน เรื่องการป้องกันควบ...
21/07/2022

ขอความอนุเคราะห์ตอบแบบสอบถามกรมควบคุมโรคโพลออนไลน์ (DDC poll online) ครั้งที่ 54: ความคิดเห็นประชาชน เรื่องการป้องกันควบคุมโรคโควิด19 เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคระดับประเทศต่อไป ขอบพระคุณค่ะ #โควิด19 #ดีดีซีโพลออนไลน์ #กรมควบคุมโรค #วัคซีนโควิด #ไทยรู้สู้โควิด
https://forms.gle/1XKVLp2Q27BJ91Eq7

โรคเบาหวาน อาจเป็นโรคที่ขึ้นชื่อว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โ...
21/07/2022

โรคเบาหวาน อาจเป็นโรคที่ขึ้นชื่อว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โดยวันนี้เราก็ได้รวบรวมเคล็ดลับการลดน้ำตาลในเลือดอย่างได้ผลมาฝากกัน ซึ่งก็รับรองเลยว่าจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมเบาหวานได้อย่างอยู่หมัดแน่นอน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายเป็นที่สุดของการมีสุขภาพดีจริงๆ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง พร้อมการมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วย นั่นก็เพราะในขณะที่มีการออกกำลังกาย ร่างกายจะนำเอาน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดน้อยลงจากปกติ ดังนั้นหากออกกำลังกายบ่อยๆ ก็จะสามารถควบคุมเบาหวานได้
เน้นกินผักเป็นหลัก
การเน้นกินผักเยอะๆ เป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง นั่นก็เพราะในผักมีไฟเบอร์ที่จะชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดให้เป็นไปอย่างช้าๆ จึงไม่ทำให้น้ำตาลพุ่งปรี๊ดจนเป็นอันตราย ทั้งยังช่วยลดระดับไขมันเลวในร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะผักใบเขียว เมล็ดฟักทอง มะเขือเทศ และผักบุ้ง เป็นต้น เพราะฉะนั้นมาเน้นกินผักเพื่อสุขภาพกันดีกว่า
เลือกกินอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ
เพราะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว จึงไม่ควรกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงอย่างเด็ดขาด โดยให้เลือกกินเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลต่ำเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูปหรือปรุงเองก็ตาม ซึ่งก็ยกตัวอย่างอาหารน้ำตาลต่ำที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถกินได้ คือ ถั่วข้าวโพด ไข่ ข้าวโอ๊ต มันเทศและส้ม เป็นต้น
ดื่มน้ำขิงเป็นประจำ
น้ำขิง มีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือดได้ดี ดังนั้นหากต้องการควบคุมเบาหวาน จึงควรดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวัน โดยให้นำเหง้าขิงสด 1 เหง้ามาฝานแล้วต้มกับน้ำเปล่า จากนั้นนำมาดื่มอย่างต่อเนื่อง เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ทั้งยังทำให้อาการป่วยเบาหวานทุเลาลงไปจนอยู่ในระดับที่ไม่อันตรายอีกด้วย
ดื่มน้ำบ่อยๆ
ผู้ป่วยเบาหวานมักจะขาดน้ำได้ง่าย ซึ่งก็เป็นผลให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน โดยทั้งนี้เมื่อร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้ตับสามารถขับน้ำตาลส่วนเกินในเลือดออกไปพร้อมกับปัสสาวะได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงไปด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเลยเชียว
เพียงแค่ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ ก็จะช่วยลดน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างง่ายดาย แถมยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นมาเริ่มลดระดับน้ำตาลในเลือดของคุณด้วยวิธีเหล่านี้กันเถอะ
ขอขอบคุณ

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565  เวลา 11:30 น-สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ- ผู้ป่วยรายใหม่ 5,238 ราย ผู้ป่วยยืนยั...
21/07/2022

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 เวลา 11:30 น
-สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ
- ผู้ป่วยรายใหม่ 5,238 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 4,379,084 ราย
-หายป่วยแล้ว 4,282,767 ราย
-เสียชีวิตสะสม 29,512 ราย

โรคเบาหวานกำลังเป็นภัยเงียบของคนไทยและทั่วโลก สหพันธ์เบาหวานนานาชาติรายงานล่าสุด พบทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 371 ล้...
21/07/2022

โรคเบาหวานกำลังเป็นภัยเงียบของคนไทยและทั่วโลก สหพันธ์เบาหวานนานาชาติรายงานล่าสุด พบทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 371 ล้านคน จำนวนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดในปี พ.ศ.2573 จะมีมากถึง 552 ล้านคน โดยร้อยละ 80 อยู่ในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา
ในส่วนของไทย ผลการสำรวจสุขภาพคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศครั้งล่าสุด เมื่อปี 2552 พบคนไทยป่วยโรคเบาหวานกว่า 3.5 ล้านคน เสียชีวิตจากเบาหวานเฉลี่ยปีละเกือบ 8,000 ราย แนวโน้มพบในเด็กมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้เด็กไทยเผชิญความอ้วนและกินหวานมากขึ้น หากไม่มีการป้องกันควบคุมโรคที่ดีพอ คาดว่าในอีก8ปีข้างหน้า ไทยจะพบผู้ป่วยถึง 4.7 ล้านราย
ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1 ใน 3 หรือประมาณ 1.2 ล้านคน ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากไม่เคยได้รับการตรวจวินิจฉัยมาก่อน และผู้ป่วยบางส่วนรู้ตัวแล้ว แต่ไม่รักษา มีผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพียงร้อยละ 29 อีกประมาณร้อยละ 70 คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ เกิดโรคแทรกซ้อน ทั้งโรคหัวใจ เท้าเน่า ไตวาย แต่ละปีมีค่าดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานสูงถึง 47,596 ล้านบาท จึงต้องเร่งควบคุมป้องกัน ลดจำนวนคนป่วย
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณีนิธิยานันท์ ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้ร่วมรณรงค์ให้สังคมไทยตระหนักถึงภัยคุกคามจากโรคเบาหวาน เพื่อให้คนไทยทุกคนรู้จักโรคนี้ และตระหนักถึงปัญหาและภัยของโรค มีความตื่นตัวการดูแลสุขภาพ รู้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรค และในกรณีที่เป็นโรคเบาหวานแล้วหากดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และควบคุมให้ได้ตามแผนการรักษาของแพทย์ จะช่วยลดอัตราความพิการ การเสียชีวิต สามารถใช้ชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไป
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักๆ ของเบาหวานเกิดจากการเสื่อมของเซลล์หรืออวัยวะที่ผลิตอินซูลิน เรามีอินซูลินไว้ควบคุมน้ำตาลไม่ให้สูงเกินกว่าระดับปกติ ดังนั้น เมื่อมีการเสื่อมของเซลล์หรืออวัยวะตัวนี้ ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตามที่มีการทำลาย หรือว่าเสื่อมตามอายุ หรือว่าเสื่อมเพราะปัจจัยอื่น เช่น อ้วน ก็จะทำให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น เพราะฉะนั้น พันธุกรรมจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ แต่ต้องเป็นเพราะพันธุกรรม
แต่ด้วยวิถีชีวิตคนปัจจุบันที่มักจะเคร่งเครียดกับเรื่องราวต่างๆ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ชี้ว่าความเครียดนั้นไม่เพียงทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนต่างๆ หากแต่ยังมีส่วนในการทำให้เป็นโรคเบาหวานและเพิ่มระดับการเป็นโรคให้มากขึ้นด้วย
"ความเครียดกระทบหลายส่วน และเบาหวานก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะว่าเวลาเราเครียดจะมีฮอร์โมนหลายอย่างเพิ่มขึ้น และฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงกันข้ามกับอินซูลิน คือเป็นฮอร์โมนเพิ่มน้ำตาล ถ้าฮอร์โมนเพิ่มน้ำตาลมีมากขึ้น ระดับน้ำตาลก็จะสูงตามไปด้วยเป็นปกติ ทำให้เกิดเบาหวาน หรือสำหรับคนที่เป็นแล้วก็อาจจะทำให้ควบคุมได้ไม่ดีนัก" ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี กล่าว

📍ทุกคนมีความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ได้ทุกคน แต่รู้หรือไม่ ? หากเป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงติดเชื้อที่รุนแรงกว่า😱✔️โดยจะ...
21/07/2022

📍ทุกคนมีความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ได้ทุกคน แต่รู้หรือไม่ ? หากเป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงติดเชื้อที่รุนแรงกว่า😱
✔️โดยจะมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน เช่นเดียวกับผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
✔️เนื่องจากผู้เป็นเบาหวาน หากควบคุมน้ำตาลไม่ดี จะมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าคนปกติและเชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง

โรคเบาหวานหมายถึง สภาพที่ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าต่างจากระดับปกติมีผลต่อสภาพร่างกาย เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซ...
21/07/2022

โรคเบาหวานหมายถึง สภาพที่ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าต่างจากระดับปกติมีผลต่อสภาพร่างกาย เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้หรือเกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ได้ ความผิดปกติส่งผลทำให้การสร้างอินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะอินซูลินนั้นถือว่าเป็นฮอร์โมนที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของร่างกาย อินซูลินสร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิตโดยเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วร่างกายจะมีการเปลี่ยนแป้ง , โปรตีนต่างๆ ให้เป็นน้ำตาล แต่หากไม่มีอินซูลิน ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ และยังทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปนั่นเอง
ฮอร์โมนอินซูลินหลั่งจากตับอ่อน เพื่อช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่เนื่องจากปริมาณการหลั่งของอินซูลินลดลงด้วยเหตุผลข้างต้น จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ลดลง และร่างกายไม่สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้
แม้ว่าโรคเบาหวานสามารถควบคุมหรือทำการรักษาด้วยยาต่างๆ ตามแพทย์สั่ง แต่สิ่งสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพความสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดนั้น มีข้อแนะนำจากผู้ป่วยหลายรายในญี่ปุ่น คือการทบทวนแก้ไขวิถีชีวิตของตัวเอง แต่ก็คิดว่าบางคนมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ดังนั้นวันนี้จึงมีวิธีการมาแนะนำ
◇ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อพูดถึงการรับประทานอาหาร ต้องใส่ใจและพยายามที่จะทำให้มันมีความสมดุล ควรจะมีอาหารหลัก บางคนงดแป้งขาว เปลี่ยนเป็นทานข้าวซ้อมมือแทน , อาหารหลักๆ (เนื้อ, ปลา, ไข่, พืชตระกูลถั่ว, ฯลฯ), และอาหารเสริม (ผัก, เห็ด, สาหร่ายทะเล, ฯลฯ) ในมื้อนั้นๆ
◇อาหารต่างๆ ที่คุณจะรับประทาน ขอให้ระวังเรื่องอาหารที่ต้องสั่งซื้อจากร้านนอกบ้าน เกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ และเครื่องปรุงรสอาหาร การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยใยอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นสามารถช่วยป้องกันการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของระดับน้ำตาลในเลือด
◇อย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์มากเกินไป และถ้าคุณสามารถเลิกมันได้ควรงดมันตลอดไป เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีผลต่อการหลั่งและการทำงานของอินซูลินและส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการดื่มที่มากเกินไป และต้องจำไว้ว่าเสมอว่าสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานคือ เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ ที่จะส่งผลลบต่อร่างกายนั่นเอง
◇และอีกสิ่งที่สำคัญอย่างมากคือ อย่าขาดการออกกำลังกาย! ต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต แล้วสาเหตุของโรคเบาหวานยังเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและขาดการออกกำลังกายด้วย หากคุณมีน้ำหนักเกินกว่าน้ำหนักมาตรฐาน ต้องคิดเรื่องการควบคุมน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์ หลักการง่ายๆ โดยถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสมดุลทางอาหารที่รับประทานนั้นๆ แค่รับประทานแบบพอดี ครบหลักโภชนาการ ไม่ดื่มสุรา, และดูแลร่างกายของคุณโดยนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ทำจิตใจให้สงบสบาย ออกกำลังกายด้วย แค่นี้น้ำหนักของคุณจะลดลงตามธรรมชาติ
หรืออาจจะเปลี่ยนรูปแบบในชีวิตประจำวันที่พอจะทำให้เราได้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นได้ ก็จะยิ่งดียิ่งขึ้น เช่น การเดินขึ้นลงบันไดแทนที่จะได้ใช้บันไดเลื่อน การเดินไปนู้นนี่บ้าง ไม่นั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์เท่านั้น
◇หลีกเลี่ยงความเครียดทุกรูปแบบ จงอย่าเครียด และหยุดการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันโรคเบาหวาน! เพราะการสูบบุหรี่สามารถเพิ่มความเร็วในการลุกลามของโรคเบาหวาน เพราะมันมีผลลบต่อการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน
นอกจากนี้,อย่าห้ามและบังคับตัวเองมากเกินไป เช่นไม่ต้องวางข้อจำกัดด้านอาหารและการออกกำลังกายมากเกินไป เพราะแทนที่จะดีแต่กลับทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาแทน เพราะยิ่งเครียดจะยิ่งกระตุ้นทำให้อยากสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอร์ และจะยิ่งฉุดให้สุขภาพแย่ลง
◇การปรับปรุงไลฟ์สไตล์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่มีสิ่งตายตัวว่าแบบใดจึงจะดีที่สุด เพราะลักษณะรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อีกคนทำแล้วดีก็อาจจะไม่เหมาะกับตัวคุณก็เป็นได้ แค่คุณสามารถใช้ชีวิตในขอบเขตที่คุณไม่หักโหมมัน และเพื่อปรับปรุงวิถีชีวิตของคุณให้สมดุลก็เพียงพอ

โภชนบัญัติ 9 ประการสำหรับผู้สูงอายุกินอาหารให้หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม และหมั่นดูแลน้ำหนักตัวกินข้าวเป็นหลัก เน้นข้าว...
21/07/2022

โภชนบัญัติ 9 ประการสำหรับผู้สูงอายุ
กินอาหารให้หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
กินข้าวเป็นหลัก เน้นข้าวกล้อง ข้าวขัดสีน้อย
กินพืชผักและผลไม้ตามฤดูกาลให้มากเป็นประจำ
กินปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วเป็นประจำ
ดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงอาหาร ไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน
กินอาหารสะอาด ปลอดภัย
งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
กินเพลิน เจริญตา พาจำดี มีพลัง
กินเพลิน
สร้างบรรยากาศการรับประทานอาหารให้อร่อย ด้วยการรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว มีกิจกรรมทำร่วมกัน เช่น ร่วมกันปรุงประกอบอาหาร เปลี่ยนบรรยากาศรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือไปเที่ยวทั้งครอบครัวเป็นบางโอกาส
เจริญตา
เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน เอ บี1 บี12 ซี อี ลูทีน ซีแซนทีน ซิลิเนียม และสังกะสี ซึ่งช่วยในการทำงานของจอประสาทตา ชะลอการเกิดต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งพบใน ตำลึง ฟักทอง กะหล่ำดอก ผักบุ้ง บร็อคโคลี แครอท ข้าวโพด ฝรั่ง ส้ม มะละกอ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ตับ ไข่ หอยนางรม ปลา นม และน้ำมันพืช เป็นต้น
พาจำดี
บำรุงสมองและระบบประสาท ป้องกันการชาตามปลายมือปลายเท้า ด้วยการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า3 สารสื่อประสาทโคลิน เลซิตินและวิตามินบีต่างๆ ได้แก่ บี1 บี6 และบี12 เป็นต้น ซึ่งพบใน ปลาทะเลน้ำลึก ใบแปะก๊วย ไข่แดง กล้วย ถั่วเหลืองและข้าวกล้อง เป็นต้น
มีพลัง
ผู้สูงอายุ ต้องการพลังงาน 1,400 ถึง 1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนัก ส่วนสูง และการใช้พลังงานในแต่ละวัน ซึ่งควรเสริมสร้างกล้ามเนื้อและชะลอความเสื่อมของกระดูก ด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน แคลเซียม วิตามินดี เค และแมกนีเซียม ซึ่งพบใน นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม เต้าหู้แข็ง ปลาเล็กปลาน้อย และงาดำ เป็นต้น เลือกรับประทานโปรตีนที่ดี เช่น ปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำย่อยง่าย ถั่วและธัญพืชต่างๆ
รับประทานให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ไม่รับประทานของซ้ำๆเโภชนบัญัติ 9 ประการสำหรับผู้สูงอายุ
กินอาหารให้หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
กินข้าวเป็นหลัก เน้นข้าวกล้อง ข้าวขัดสีน้อย
กินพืชผักและผลไม้ตามฤดูกาลให้มากเป็นประจำ
กินปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วเป็นประจำ
ดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงอาหาร ไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน
กินอาหารสะอาด ปลอดภัย
งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
กินเพลิน เจริญตา พาจำดี มีพลัง
กินเพลิน
สร้างบรรยากาศการรับประทานอาหารให้อร่อย ด้วยการรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว มีกิจกรรมทำร่วมกัน เช่น ร่วมกันปรุงประกอบอาหาร เปลี่ยนบรรยากาศรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือไปเที่ยวทั้งครอบครัวเป็นบางโอกาส
เจริญตา
เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน เอ บี1 บี12 ซี อี ลูทีน ซีแซนทีน ซิลิเนียม และสังกะสี ซึ่งช่วยในการทำงานของจอประสาทตา ชะลอการเกิดต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งพบใน ตำลึง ฟักทอง กะหล่ำดอก ผักบุ้ง บร็อคโคลี แครอท ข้าวโพด ฝรั่ง ส้ม มะละกอ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ตับ ไข่ หอยนางรม ปลา นม และน้ำมันพืช เป็นต้น
พาจำดี
บำรุงสมองและระบบประสาท ป้องกันการชาตามปลายมือปลายเท้า ด้วยการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า3 สารสื่อประสาทโคลิน เลซิตินและวิตามินบีต่างๆ ได้แก่ บี1 บี6 และบี12 เป็นต้น ซึ่งพบใน ปลาทะเลน้ำลึก ใบแปะก๊วย ไข่แดง กล้วย ถั่วเหลืองและข้าวกล้อง เป็นต้น
มีพลัง
ผู้สูงอายุ ต้องการพลังงาน 1,400 ถึง 1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนัก ส่วนสูง และการใช้พลังงานในแต่ละวัน ซึ่งควรเสริมสร้างกล้ามเนื้อและชะลอความเสื่อมของกระดูก ด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน แคลเซียม วิตามินดี เค และแมกนีเซียม ซึ่งพบใน นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม เต้าหู้แข็ง ปลาเล็กปลาน้อย และงาดำ เป็นต้น เลือกรับประทานโปรตีนที่ดี เช่น ปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำย่อยง่าย ถั่วและธัญพืชต่างๆ
รับประทานให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ไม่รับประทานของซ้ำๆเดิมๆ มีปริมาณที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันตามตารางแนวทางการรับประทานอาหารของผู้สูงอายุ เพียงเท่านี้ผู้สูงอายุก็จะมีภาวะโภชนาการที่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ต่อสู้กับการเสื่อมถอยของร่างกายได้เป็นอย่างดี
ดิมๆ มีปริมาณที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันตามตารางแนวทางการรับประทานอาหารของผู้สูงอายุ เพียงเท่านี้ผู้สูงอายุก็จะมีภาวะโภชนาการที่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ต่อสู้กับการเสื่อมถอยของร่างกายได้เป็นอย่างดี

ช่วยลดน้ำตาลในเลือดด้วยสารสกัดจากลาเกอร์สโตรเมียในลาเกอร์สโตรเมียมีกรดโคโรโซลิก - สามารถลดน้ำตาลในเลือดกระตุ้นการดูดซึมก...
21/07/2022

ช่วยลดน้ำตาลในเลือดด้วยสารสกัดจากลาเกอร์สโตรเมีย
ในลาเกอร์สโตรเมียมีกรดโคโรโซลิก - สามารถลดน้ำตาลในเลือดกระตุ้นการดูดซึมกลูโคสเข้าสู่เซลล์
เป็นเวลานานลาเกอร์สโตรเมียถือเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน
ในลาเกอร์สโตรเมียโดยเฉพาะใบแก่มีเส้นใยจำนวนมากส่วนที่เหลือเป็นแคลเซียมธาตุธาตุโพแทสเซียมแมกนีเซียมแมกนีเซียมสังกะสี .... โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ประกอบของใบประกอบด้วยกรดโคโรโซลิก - มีผลในการลดน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการดูดซึมของกลูโคสเข้าสู่เซลล์
ส่วนผสมหลักของ Satochi คือสารสกัดจากใบลาเกอร์สโตรเมีย
ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ประสบความสำเร็จในการสกัดกรดโคโรโซลิกที่มีอยู่ในใบลาเกอร์สโตรเมียเพื่อสร้างสารสกัดจากลาเกอร์สโตรเมียรวมกับสารอาหารเช่น ไคโตซาน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 ผ่านเทคโนโลยีนาโนไมโครขั้นสูงเพื่อสร้าง อาหารเสริมบำรุงสุขภาพแบบเม็ดฟู่เพื่อการรักษาโรคเบาหวานซาโตชิ
อาหารเสริม Satochi มีผลหลัก 2 ประการ: ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติควรมีความปลอดภัยและใช้งานง่ายเป็นพิเศษ
Satochi - อาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในรูปแบบเม็ดฟู่ละลายในน้ำ
ด้วยเทคโนโลยีนาโนไมโคร เม็ดฟู่ Satochi มีความสามารถในการแยกสารอาหารออกเป็นขนาดซุปเปอร์นาโน ความสามารถในการละลายได้ดี สเปกตรัมการละลายได้มาก ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธิ์ที่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะมีผลอย่างมาก จึงมีประสิทธิภาพสูงมาก
Satochi เป็นเม็ดฟู่ สีส้มอ่อน รสหวาน ดื่มง่าย
เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ในตลาด Satochi มีข้อดีที่โดดเด่นหลายประการ ไม่เพียงเพราะเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพในรูปแบบของเม็ดฟู่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่านั้น แล้วรูปแบบของเม็ดฟู่จะมีประสิทธิภาพ มากกว่าแคปซูลหรือยาเม็ด
นอกจากนี้ เม็ดฟู่ของ Satochi ยังสะดวกต่อการใช้งาน พกพา และจัดเก็บง่ายๆ เมื่อละลายในน้ำ Satochi จะมีรสหวาน ดื่มง่าย เพราะมีน้ำตาล Mannitol ซึ่งเป็นน้ำตาลประเภทหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะ ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกลัวรสหวานนี้จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
การเกิดของ Satochi ถือเป็นความสำเร็จในการวิจัยสวนเม็ดฟู่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยสัญญาว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยก่อนเบาหวาน
สินค้าจัดจำหน่ายโดย บริษัท PATTHANA เท่านั้น
ปัจจุบันผมต้องช่วยคนไข้ร้อยกว่าคนทุกวันอยู่จึงยุ่งมากไม่มีเวลาแชทเยอะ หากคุณสนใจกับยาเม็ดฟู่ SATOCHI ตัวนี้
คุณสามารถติดต่อโดยตรงกับผมหรือหมอพรทิพย์: 0992920074
หรือฝากเบอร์โทรไว้เราจะโทรกลับค่ะ

ที่อยู่

399 อาคารอินเตอร์เชนจ 21 ถนน สุขุมวิท แขวง คลองเตยเหนือ เขตวัฒนา, Thailand
Bangkok
10110

เบอร์โทรศัพท์

+66992920074

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ DR.Thira0268ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง DR.Thira0268:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ตำแหน่งใกล้เคียง คลินิก