Akanit tattananurat - หมอกิ๊ก

Akanit tattananurat - หมอกิ๊ก เพจ feel good แชร์ประสบการณ์ แชร์เรื่องราวจากหนังสือ ให้คำปรึกษา และทำ inner work session

วีธีสร้าง boundaries ค่า 💚
15/03/2023

วีธีสร้าง boundaries ค่า 💚

ถ้าเราเป็นเราที่แท้จริง.. แล้วคนอื่นจะยังโอเคกับเราอยู่ไหม? -- เคยมีคำถามนี้ในใจกันมั้ยคะ

วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการสร้าง boundaries กันตามที่เราเคยได้บอกกันไว้ ก่อนที่เราจะพูดถึงการสร้าง boundaries เราจะพูดถึงอุปสรรคในการสร้าง boundaries สั้นๆ เพื่อให้เราเห็นภาพและเข้าใจการ set boundaries ได้มากยิ่งขึ้น โพสนี้มีประโยชน์และมีคุณค่ามากหวังว่าทุกคนจะได้อ่านมันจนจบน้า 😊
อุปสรรคในการ set boundaries หรือในการสร้าง boundaries ที่ดีก็คือเรากลัวว่าเราจะทำให้คนที่เรารักหรือคนที่เราแคร์นั้นไม่พอใจในการกระทำของเรา ในการปฏิเสธของเรา
เราคาดหวังให้คนที่เรารักหรือคนรอบข้างเราเข้าใจว่า การที่เราปฏิเสธหรือการที่เราไม่อยากที่จะทำอะไรบางอย่าง ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้มีเจตนาหรือรู้สึกที่ไม่ดีกับคนที่เราปฏิเสธ แต่เราเพียงแค่อยากที่จะซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อเราปฏิเสธออกไปแล้วพวกเขากลับไม่เข้าใจในสิ่งนั้น มันเลยกลับทำให้คุณรู้สึกผิด(Guilt)ที่คุณไม่สามารถทำตามความต้องการของพวกเขาได้ และคุณรู้สึกว่าการปฏิเสธของคุณ(Say no )มันทำให้คนที่คุณรัก/แคร์นั้นไม่พอใจ หรือรู้สึกแย่กับคุณ และลึกๆคุณก็ยังกลัวด้วยว่า หากคุณทำให้เขารู้สึกแย่กับคุณมากๆแล้ว สุดท้ายก็จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขามันจะแย่ลงไปด้วย
ความกลัวนี้(Fear based) เป็นสิ่งที่ทำให้คุณมองข้าม/ละทิ้งความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่จะไปตอบสนองความต้องการและความรู้สึกของคนอื่น คุณให้ความสำคัญกับความต้องการ/ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง(putting others first) ซึ่งก็คือการที่คุณทำลาย boundaries ของตัวเอง
การทำแบบนี้จะส่งผลโดยตรงกับคุณค่าในตัวเองของคุณ(Self-worth) เมื่อคุณให้ความสำคัญกับความต้องการ/ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่า คุณกำลังลดคุณค่าของตัวเองลง และมันจะทำให้คนรอบข้างหรือคนที่คุณรักนั้นแคร์ความต้องการ/ความรู้สึกคุณน้อยลง เพราะคุณได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่าความรู้สึกของพวกเขานั้นสำคัญกว่าความรู้สึกคุณ และในบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่ให้เกียรติคุณหรือไม่แคร์ความรู้สึกคุณ เพราะพวกเขาอาจสัมผัสได้ว่าคุณไม่มี boundaries ดังนั้นพวกเขาเลยคิดไปเองว่า คุณน่าจะโอเคถ้าพวกเขาทำแบบนั้นกับคุณ
ดังนั้นการ set boundaries จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพูด บอก หรือยืนหยัดกับคนรอบข้างว่า boundaries ของเรานั้นอยู่ตรงไหน แต่ว่าทำด้วยคำพูดที่ดี น้ำเสียงที่ดี ด้วยความจริงใจและใจเย็น อธิบายว่า “เราจะทำแบบนี้เพราะอะไร” “เราไม่สามารถแบบนั้นได้เพราะอะไร” และปล่อยวางความคาดหวังต่างๆที่เรามีต่อความรู้สึกของคนอื่น ถ้าเขาจะรู้สึกไม่ดีเพราะเรายืดหยัด/ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง เปิดโอกาสให้เขาได้ดูแลความรู้สึกของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเขาว่าเขาจะสามารถทำความเข้าใจความไม่พึงพอใจของเขาที่มีต่อเราได้
แต่ถ้าหากว่าจนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดของเขาได้ เขายังคงโกรธและโทษว่าเป็นความผิดของคุณที่ไม่รับผิดชอบความรู้สึกเขา คุณก็แค่ยอมรับว่าเขารู้สึกแบบนั้นและเคารพการตัดสินใจของเขา/ทางที่เขาเลือกเดินแม้ว่ามันอาจจะทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด แต่คุณจะผ่านมันไปได้เองเพราะ การยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง/ตามแบบที่มันเป็นนั้น จะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่าง และความอิสระนั้นจะทำให้คุณรู้สึกมีความสุขสบาย สงบ(peaceful) ในการใช้ชีวิตของคุณในแบบที่คุณต้องการ

Healthy relationships 💕
08/03/2023

Healthy relationships 💕

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนที่ทำงานกี่ครั้ง แต่ทำไมก็เจอแต่ปัญหาเรื่องคนแบบเดิม ๆ หรือ เรื่องความรัก ทำไมเราถึงโชคร้าย ที่ไม่ว่าจะเริ่มใหม่กับใครกี่ครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องราวก็จบลงแบบเดิม ... คำตอบของคำถามว่าทำไมความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเรา มักเจอปัญหาแบบเดิมเสมอนั้นก็คือ รูปแบบความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อตัวเอง (relationship with ourselves)

"เราเรียนรู้รูปแบบและวิธีการสร้างความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตมาจากพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว"

กล่าวคือ เราจะสร้างความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเอง(relationship with ourselves)แบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับต้นแบบที่เราเรียนรู้มา ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อแม่(relationship with parents) เช่น

ถ้าพ่อแม่มีความคาดหวังต่อเรา เช่น อยากให้เราเรียนเก่ง อยากให้เรามีระเบียบวินัย อยากให้เราเป็นคนเรียบร้อย อยากให้เราเป็นคนเข้มแข็ง
เราก็จะแนวโน้มมีความคาดหวังต่อตัวเองสูง ว่าเราจะต้องเรียนให้เก่ง มีระเบียบวินัย ประสบความสำเร็จ เป็นคนเรียบร้อย มีความเข้มแข็ง

ถ้าพ่อแม่ไม่เคยเคารพ boundaries ของเรา เราก็จะมีแนวโน้มที่จะไม่มี boundaries

ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถที่จะจัดการอารมณ์ด้านลบของตัวเองได้ อย่างเช่น อารมณ์โกรธ/อารมณ์โมโห เราก็จะมีแนวโน้มที่จะจัดการอารมณ์โกรธและอารมณ์โมโหของตัวเองไม่ได้

ถ้าพ่อแม่มีความรักให้เราอย่างไม่มีเงื่อนไข(unconditional love) ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น(accepted) เราเองก็จะมีแนวโน้มที่จะรักตัวเอง(self love) และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองเป็นและเห็นคุณค่าในตัวเอง(self-worth)

ซึ่งความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเองนี้( relationship with ourselves ) จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ทำให้ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนที่ทำงานกี่ครั้ง คุณก็จะยังรู้สึกว่าคุณมีเพื่อนร่วมงานสไตล์ใกล้เคียงเดิม หรือแม้กระทั่งคนรัก ที่บ่อยครั้งก็มักจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์แต่ละครั้งก็มักจะจบลงแบบเดิมๆ

เปรียบเทียบได้กับความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อแม่ ที่คุณรู้สึกไม่ว่าคุณจะพยายามเท่าไรความสัมพันธ์ที่มีก็ไม่เคยจะเปลี่ยนไปเลย จนทำให้บางครั้งคุณก็เลิกที่จะพยายามและปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่มันเป็นอยู่ หรือในบางครั้งที่คุณมีความคิดอยู่ภายในใจว่า ถ้าแม่คุณ/พ่อคุณเลิกทำ…....(พฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง) ความสัมพันธ์ของคุณกับแม่/พ่อคุณก็คงจะดีกว่านี้ แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านั้นที่คุณเฝ้ารอให้เปลี่ยนแปลงก็ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะทั้งตัวคุณและพวกเขาต่างก็ไม่เคยเปลี่ยน

การที่เราจะปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรอบตัว(relationship with others)ได้นั้น เราต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเอง(relationship with ourselves) ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะเรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ที่มีต่อตัวเองมาจากพ่อและแม่ตั้งแต่วัยเด็กก็ตาม แต่นั่นก็ไม่หมายความว่าเราจะเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ความจริงก็คือ เราสามารถเรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์กับตัวเองที่ดีขึ้นได้ และทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเราเอง และเมื่อไรก็ตามที่เรามีความสัมพันธ์กับตัวเองที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ของเรากับครอบครัวเรา รวมไปถึงความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนรัก หรือเพื่อนร่วมงาน ก็จะดีขึ้นเองโดยธรรมชาติ จนในบางครั้งเราเองก็อาจรู้สึกแปลกใจว่า มันกลายเป็นเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็คือความจริง (truth) ที่เกิดขึ้นได้นั่นเอง

💚
01/03/2023

💚

เมื่อพูดถึงดราม่าแต่ละเรื่องแล้ว หากพิจารณาดู จะพบว่าจะต้องมีองค์ประกอบหรือตัวละครที่นับว่าขาดไม่ได้เลย 2 ฝ่ายคือ 1.ฝ่ายเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ(Victim) และ 2. ผู้กระทำความผิด(Perpetrator) ซึ่งมีบทบาทตรงกันข้ามกับเหยื่อนั่นเอง

เมื่อเราซึ่งเป็นคนนอกมองเข้าไป สิ่งที่เรามักจะเผลอทำก็คือ ตัดสิน หรือการติดป้ายชื่อ(Label) ให้กับฝ่ายเหยื่อว่าเป็นคนดี และมักจะเผลอติดป้ายชื่อให้กับผู้กระทำผิดว่าเป็นผู้ร้ายหรือเป็นคนเลว อันเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดราม่าเรื่องนั้นๆในที่สุด โดยที่เราเองก็จะเข้ามาเป็นอีกบทบาทหนึ่งในวงจรดราม่าในฐานะของผู้ตัดสินนั่นเอง

เราจะเริ่มเข้าไปทำตัวเป็นกรรมการเป็นผู้ตัดสินถูกผิด เป็นผู้ที่ชี้หรือบอกว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ สิ่งไหนควรเกิดขึ้น และสิ่งไหนไม่ควรเกิดขึ้น และเราจะเริ่มมีอารมณ์โกรธเมื่อสิ่งต่างๆมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น ราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับเราหรือกับคนใกล้ตัวที่เรารัก หรือที่เราเรียกว่า "อิน" ไปกับเหตุการณ์นั่นเอง

แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราทำความเข้าใจได้ก็คือ บนโลกนี้ไม่มีคนที่ดีหรือคนที่เลวแบบ 100% คนทุกคนนั้น ล้วนแต่มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดีกันทั้งนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจและรับได้ถึงความจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งส่วนดีและส่วนเลว คุณก็จะรับได้เวลาที่คุณมองเห็นส่วนไม่ดีในตัวของคุณเอง ซึ่งการที่คุณยอมรับในสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองเองได้ จะทำให้คุณไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธมัน ไม่ต้องหนีมัน หรือไม่ต้องรู้สึกว่าคุณไม่อยากที่จะมีสิ่งไม่ดีเหล่านี้อยู่ในตัวคุณเอง แต่คุณจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ก็เท่านั้นเอง

เมื่อคุณยอมรับด้านไม่ดีของตัวเองได้แล้ว ต่อมาหากคุณได้เห็นด้านไม่ดีของคนอื่น คุณจะสามารถมองเห็นมันด้วยความเข้าใจ และเมื่อคุณยอมรับในทุกด้านของตัวเองได้ คุณจะสามารถมองมันได้อย่างที่มันเป็น โดยที่ไม่ต้องไปกำหนดนิยามว่าความรู้สึกแบบนี้ดี ความรู้สึกแบบนั้นไม่ดี การกระทำแบบนี้ดี การกระทำแบบนั้นเลว และสุดท้ายแล้ว เราจะสามารถมองทุกอย่าง แค่ในแบบที่มันเป็น มองเห็นว่าความรู้สึกที่เรารู้สึกอยู่นั้น โดยธรรมชาติแล้วเป็นอย่างไร เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์หรือสาเหตุใด หรือการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลหรือเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากความเจ็บปวดใดที่อยู่ภายในจิตใจของเรา และส่งผลให้เราตัดสินใจกระทำ หรือ มีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเพื่อที่จะช่วยให้เราหลีกหนีจากความเจ็บปวดนั้นได้นั่นเอง

ความมั่นใจในตัวเองเริ่มต้นจากข้างใน
22/02/2023

ความมั่นใจในตัวเองเริ่มต้นจากข้างใน

เมื่อพูดถึงความมั่นใจในตัวเอง (Confidence) เรามักเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มหรือลดได้โดยการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง รูปลักษณ์หรือสิ่งต่างๆภายนอก เช่น ถ้าเราเก่งขึ้น สวยขึ้น หล่อขึ้น หรือดูดีขึ้นเราก็จะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หรือถ้าเรามีหน้าที่การงานที่ดี มีการศึกษาที่ดี รวย หุ่นดี มี six packs มีร่อง 11 มีความสามารถพิเศษ เก่งหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะช่วยทำให้เรารู้สึกมีความมั่นใจและภูมิใจในตัวเอง เพราะเราจะไม่รู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความมั่นใจของเรานั้น เป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้จากภายใน จากการรู้จักตัวเอง(knowing yourself) รักตัวเอง(loving yourself) เห็นคนคุณค่าในตัวเอง(self-worth) นั่นก็คือทุกๆคนนั้นมีคุณค่าในตัวเอง และทุกๆคนนั้นล้วนแต่มีความแตกต่างกันในแบบของตัวเอง และถ้าคุณรู้ความจริงข้อนี้ และคุณรักและเห็นคุณค่าในตัวเองมากพอแล้ว คุณจะไม่เห็นประโยชน์อะไรในการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเลย

การที่คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เปรียบเสมือนว่าคุณกำลังเอาของ 2 สิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ของ 2 สิ่งนั้นไม่สามารถเทียบกันได้ และเมื่อเห็นว่ามันเทียบกันไม่ได้แล้ว คุณก็พยายามเทียบมันเป็นบางด้าน ใส่เงื่อนไขหรือตัวชี้วัดบางอย่างเข้าไป เพื่อให้คุณรู้สึกว่า มันสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ แล้วคุณก็จะได้ข้อสรุปบางอย่างที่คุณมีอยู่แล้วในใจ
-เห็นไหมล่ะ ฉันดีกว่าคนนี้
-เห็นไหมล่ะ ฉันแย่กว่าคนนั้น
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการที่คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการลดคุณค่าในตัวเองของคุณ

เมื่อไรที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นแล้ว ให้ดึงตัวเองกลับมาที่ร่างกาย ดึงตัวเองกลับมาที่หัวใจ แล้วฝึกเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเอง ลองถามตัวเองว่า คุณเป็นใคร คุณต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ทำตามความต้องการของตัวเอง แล้วเห็นคุณค่าในตัวเองจากสิ่งที่ตัวเองเป็น
" You’re worthy, simply because you exist. "

ความรักที่ดีคือรักที่มีให้กับตัวเอง ( self love )
16/02/2023

ความรักที่ดีคือรักที่มีให้กับตัวเอง ( self love )

เนื่องในโอกาสของวันแห่งความรัก วันนี้เลยถือเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับ self love หรือการเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง self love คือการทำตามความต้องการ และความรู้สึกของตัวเอง โดยใช้การมี boundaries ที่ดีมาช่วย เพราะถ้าปราศจาก boundaries ที่ดี เราจะต้องใช้ชีวิตตามความต้องการ และความคาดหวังของคนอื่น
Boundaries คือขอบเขตหรือเขตแดนที่ช่วยปกป้องเราให้เราปลอดภัย ทั้งในทางร่างกาย(Physical) ความรู้สึก(Emotional) จิตใจ(Mental) และทางเพศ(Sexual) จากภายนอก และช่วยให้เราสามารถ connect กับตัวตนที่แท้จริงของเรา(Authentic self) รับรู้ความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง
การที่เราสามารถที่จะใช้ชีวิตตรงกับตัวตนที่แท้จริงของเรา ตอบสนองความต้องการของตัวเองและดูแลใส่ใจความรู้สึกของตัวเองนั้นเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เรามีให้กับตัวเอง(Self love) ซึ่งการกระทำเหล่าจะทำให้เรามีความสุข อิ่มเอม เบ่งบานจากภายใน และทำให้เรามีความรู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่(reason to stay alive) อยากจะใช้ชีวิตในแต่ละวันไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
กลับกันหากเราใช้ชีวิตโดยขัดกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง(Authentic self) ความต้องการของตัวเอง และความรู้สึกของตัวเอง นานวันเข้าเราจะเริ่มรู้สึก Burn out รู้สึกหมดไฟ หมดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต จนเริ่มเกิดคำถามขึ้นมาว่า เราเกิดมาทำไม? เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? ความหมายของการใช้ชีวิตคืออะไร? ยิ่งเราใช้ชีวิตห่างจากตัวตนที่แท้จริงของตัวเองมากเท่าไร ความรู้ต้องการที่จะอยากมีชีวิตอยู่ยิ่งน้อยลงเท่านั้น(don’t wanna live any more)
Boundaries ไม่ใช่สิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องฝึกที่จะ Set Boundaries (กำหนดขอบเขต) เราถึงจะสามารถมี Boundaries ได้ โดยทั่วไปแล้วเราจะเรียนรู้ในการกำหนด Boundary ของตัวเองตั้งแต่วัยเด็กผ่านการเรียนรู้ Boundaries ของพ่อแม่ หรือการปฏิสัมพันธ์(interact)กับคนรอบข้าง ช่วงตอน 2 ขวบ (terrible two) จะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มที่จะบอกความต้องการของตัวเอง ชอบ/ไม่ชอบ ต้องการ/ไม่ต้องการ อยากทำ/ไม่อยากทำ เป็นช่วงที่เด็กเริ่มที่จะเรียนรู้ boundaries ของตัวเอง หากพ่อแม่ได้มีการช่วยเหลือที่เหมาะสมเด็กก็จะสามารถที่จะเรียนรู้ที่จะ Set boundaries ที่ดีของตัวเองได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากพ่อแม่หรือผู้ปกครองมี boundaries ที่ไม่ดี เด็กก็จะเรียนรู้ที่จะ set boundaries ตามต้นแบบ boundaries ที่ไม่ดีเหล่านั้น เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่เขาได้รู้และเห็น และคือตัวอย่างจากคนที่เขารักมากที่สุดนั่นเอง
ในส่วนของวิธีสร้าง boundaries ที่ดีนั้น สัปดาห์หน้าจะมาแบ่งปันแนวทางให้ หากใครสนใจ สามารถกดไลค์ กดติดตามไว้ได้เลยนะคะ จะได้ไม่พลาด สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ♥

Rest in peace.🤍
06/02/2023

Rest in peace.🤍

“ใครว่าทำงานจนตายไม่มีจริง” เป็นข้อความจากเพจจอดับที่มีให้กับสถานการณ์ของเบิร์ด ชายหนุ่มวัย 40 กว่าๆ ที่มีโรคประจำตัวคือความดันและเบาหวาน
เบิร์ดเป็นคนเงียบๆ สุภาพเรียบร้อย ไม่ค่อยมีปากมีเสียง เบิร์ดทำงานอยู่ในวงการทีวีในฐานะฝ่ายจัดทำผังรายการตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเคเบิ้ลทีวี เปลี่ยนมาเป็นยุคดิจิทัล งานของเบิร์ดก็หนักขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เบิร์ดนั้นต้องรับผิดชอบผังรายการเพียงคนเดียวถึง 2 ช่องโดยไม่มีทีมงานคอยช่วยเหลือ เพื่อนๆที่เคยร่วมงานกับเบิร์ด ล้วนแต่เคยได้ยินเบิร์ดพูดเชิงตัดพ้อว่า
“คงต้องให้ผมตายก่อนละมั้ง เขาถึงจะหาคนมาช่วยงาน” ผลจากการทำงานหนักและพักผ่อนน้อยต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ทำให้ร่างกายของเบิร์ดเริ่มป่วย แต่ด้วยฝ่ายที่เบิร์ดทำนั้นมีเบิร์ดแค่เพียงคนเดียว สถานีโทรทัศน์ไม่ได้มีทีมงานที่จะช่วยเหลืองานฝ่ายของเบิร์ด เมื่อเบิร์ดป่วยหยุดงานได้ไม่นาน ทางสถานีโทรทัศน์นั้นก็ได้โทรตามให้เบิร์ดกลับมาทำงานต่อ ทำให้เบิร์ดไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่ และสุดท้ายเบิร์ดนั้นเสียชีวิตบนโต๊ะทำงาน เขาฟุบลงบนโต๊ะคนเดียวเงียบๆ คนที่ผ่านมาเห็นนั้นคิดว่าเบิร์ดแค่ฟุบหลับจึงไม่ได้เข้าไปปลุก เบิร์ดจึงฟุบอยู่อย่างนั้นจนข้ามคืน เช้าอีกวันแม่บ้านมาเจอตอนเช้าจึงพบว่าเบิร์ดไม่มีลมหายใจแล้ว

เพจจอดับนั้นยังให้ความเห็นว่า “ถ้าวงจรชีวิตดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น มีสัดส่วนที่เหมาะสม ทั้งการทำงาน การกิน และการพักผ่อน นาฬิกาชีวิตของเบิร์ดก็คงจะไม่หยุดเดินเร็วขนาดนี้ คงไม่ถึงขั้นฟุบไปกับโต๊ะ หยุดหายใจขณะยังทำงาน”

แล้วคุณล่ะ คุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเบิร์ดบ้างมั้ย สถานการณ์ที่เราแบกรับความรับผิดชอบหนักๆมากๆไว้เพียงคนเดียวจนไม่ไหวแต่เราก็ยังแบกมันต่อไป สถานการณ์ที่เราเอาคนอื่นหรืองานที่เรารับผิดชอบมาก่อนชีวิตหรือร่างกายของตัวเอง สถานการณ์ที่เราเลือกที่จะเงียบเพื่อที่เรื่องทุกอย่างมันจบที่เราเพราะเรากังวลถึงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นหากเราพูดออกไป หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เราทำเหมือนทุกอย่างยังปกติทั้งๆที่จริงแล้วเราต้องการความช่วยเหลือ

เราทำแบบนั้นไปทำไม? เบิร์ดทำแบบนั้นไปทำไม?
บางครั้งเราก็แค่อยากมีคุณค่าอยากรับผิดชอบงานที่ทำให้มันออกมาดี อยากทำให้คนอื่นพอใจ มีความสุข โดยที่แบกรับปัญหาทุกๆอย่างเอาไว้เอง และเลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือเพราะไม่อยากที่จะทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน จนเราลืมนึกถึงใครบางคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา นั่นก็คือ “ตัวเอง”

- เราถูกสอนโดยสังคมให้ทำตัวเองให้เล็กลงเพื่อที่จะได้เหมาะสม กลมกลืนไปกับสังคมหรือคนรอบข้างที่เราอยู่
-เราถูกสอนให้ไม่เคารพตัวเอง เพียงเพื่ออยากที่จะทำให้คนอื่นพอใจ
-เราถูกสอนให้เอาคุณค่าของตัวเองไปผูกกับประสิทธิภาพการทำงาน
-เราถูกสอนให้เงียบเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

แต่คุณรู้ไหมความเคยชินเหล่านี้ เราสามารถเรียนรู้ที่ไม่ทำมันต่อไปได้

มันไม่ผิดเลยที่คุณจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ และถ้าคุณเลิกทำมันได้ คุณจะพบว่าชีวิตคุณมีความสุขและสบายใจขึ้นมาก

ขอบคุณที่มาจากเพจจอดับ https://www.facebook.com/jordubandjubdor

🧡
01/02/2023

🧡

คุณเป็นคนใจดีกับตัวเองหรือไม่? คำถามนี้ ตอบได้ไม่ยาก … ลองทบทวนดูว่าเวลาที่คุณลืมของไว้ที่บ้านในเวลาที่คุณจำเป็นต้องใช้ ตื่นสายจนทำให้คุณไปสอบหรือไปนัดสำคัญไม่ทัน ทำของหายเวลาคุณไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เผลอวางมือถือไว้บนตักและทำมือตกพื้นหน้าจอแตกขณะที่ลุกขึ้นยืน…. คุณรู้สึกแย่และหงุดหงิดใจกับตัวเองมากแค่ไหน ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นแค่ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันที่สามารถเกิดขึ้นได้ แล้วถ้าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ๆในชีวิตล่ะ ? ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆในชีวิต มีเหตุการณ์ไหนบ้างมั้ยในชีวิตที่คุณรู้สึกว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร คุณก็ไม่สามารถที่จะให้อภัยตัวเองได้

ถ้าวันนั้นคุณไม่ทำแบบนั้น วันนี้ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้…
ถ้าวันนั้นคุณไม่ทำแบบนั้น วันนี้คุณคงไม่ต้องมารู้สึกแบบนี้…
ถ้าวันนั้นคุณพยายามมากกว่านี้ ถ้าวันนั้นคุณทำได้ดีกว่านี้ เรื่องนี้คงจะไม่เกิดขึ้น…
คุณอยากให้คุณสามารถย้อนเวลากลับไปได้จังเลย…

บางครั้งคุณอยากที่จะทำเป็นลืมๆเรื่องนี้ไป แต่แล้ววันดีคืนดีคุณก็กลับมาตำหนิตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าความรู้สึกผิด… ความรู้สึกผิดนั้นเหมือนคุณจับตัวเองขังไว้ในที่ที่นึง แล้วลงโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่คุณนั้นคาดหวังว่าการลงโทษตัวเองของคุณนั้น มันจะชดใช้ในความผิดพลาดที่คุณได้ทำลงไป แต่ไม่ว่าคุณจะลงโทษตัวเองแค่ไหน …คุณก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะเพียงพอสักที และไม่มีวันที่มันจะพอ

ความจริงที่คุณควรบอกตัวเองในวันนี้คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว และไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตได้ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะลงโทษตัวเองไปอีกนานแค่ไหน เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จงยอมรับ/โอบกอดเหตุการณ์ในวันนั้นในแบบที่มันเป็น และปลดปล่อยตัวเองจากที่คุมขังภายในจิตใจ เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกหงุดหงิดใจกับตัวเองที่ไม่เป็นในแบบที่คุณอยากให้เป็น พูดกับตัวเองเบาๆว่า
“ไม่เป็นไร มันเกิดขึ้นไปแล้ว และเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรนะ เราทำดีที่สุดแล้วในช่วงเวลานั้นๆ”
ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่เข้ามาในชีวิตให้เราได้เรียนรู้ เรียนรู้ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเรียนรู้เพื่อที่จะไม่ทำอีก แต่คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ด้วยความสบายใจ เพราะมันคือสิ่งที่เราไม่สามารถได้ และชีวิตก็คือการยอมรับในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เหล่านั้น(To surrender)นั่นเอง

บางทีเราอาจจะไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจ...  แต่เราแค่มีความต้องอะไรบางอย่างข้างในจิตใจเหมือนคนอื่นๆที่เราไม่เคยมองเห็น ...
25/01/2023

บางทีเราอาจจะไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจ... แต่เราแค่มีความต้องอะไรบางอย่างข้างในจิตใจเหมือนคนอื่นๆที่เราไม่เคยมองเห็น ...

🔸️จริงๆแล้วฉันแค่ต้องการให้มองเห็นฉัน เห็นตัวตนจริงๆของฉัน เห็นความรู้สึกของฉัน

🔸️จริงๆแล้วฉันแค่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจฉัน เข้าใจความรู้สึกฉันบ้าง รับฟังความรู้สึกฉัน และยอมรับความรู้สึกของฉันบ้าง

🔸️จริงๆแล้วฉันแค่ต้องการรู้สึกว่าฉันนั้นก็สำคัญเหมือนๆกับคนอื่นๆ เป็นที่รักและเป็นที่ต้องการเหมือนๆกับคนอื่นๆ

🔸️จริงๆแล้วฉันแค่ต้องการที่จะรู้สึกว่าฉันเองก็มีคุณค่า ได้รับการให้เกียรติในฐานะเพื่อนมนุษย์คนนึง และเป็นส่วนหนึ่งของทุกคน

ฉันก็แค่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง ที่มีความรู้สึกก็แค่นั้นเอง..💟

" เมื่อหัวใจเรารับรู้และเข้าใจอย่างแท้จริง นั่นคือช่วงเวลาที่เราพร้อมจะปล่อยวาง "   ปีใหม่ ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ ต...
20/01/2023

" เมื่อหัวใจเรารับรู้และเข้าใจอย่างแท้จริง นั่นคือช่วงเวลาที่เราพร้อมจะปล่อยวาง "
ปีใหม่ ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ ตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ในการที่จะสามารถเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ได้นั้น ก็คือ การปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจออกไป .. เพื่อสร้างพื้นที่ให้สิ่งใหม่ ๆ สามารถเข้ามาได้นั่นเอง
ในชีวิตนึง คงมีหลายครั้งที่เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ เผชิญกับความผิดหวัง ความเจ็บปวด หรืออาจจะมีใครคนใดคนนึงเขาพูดหรือทำอะไรที่เรารู้สึกเสียใจ และเรารู้สึกว่าความรู้สึกเราวนเวียนอยู่กับสถานการณ์นั้น คนรอบตัวบางคนพูดว่า “ช่างมันเถอะ ปล่อยเขาไปเถอะ ปล่อยวางเรื่องนี้ลงเถอะ” คุณจะได้ move on จากเรื่องนี้เสียที “เรื่องมันแค่นิดเดียว ยอมๆเขาไปเถอะ ” “ยึดถือเรื่องนี้ก็มีแต่ตัวเราเองที่ทุกข์” ใครๆต่างพูดกันว่าการปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องที่ดี วันนี้เราจะมาพูดถึงว่า การปล่อยวางในแง่ของการเยียวยานั้นทำอย่างไร
สำหรับเราเองการปล่อยวางนั้นไม่ใช่เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมาย แต่กลับเป็นผลพลอยได้(by product) หมายความว่าอะไร ...
หมายความว่ามันไม่มีสมการตรงตัวที่จะทำให้เราได้มาซึ่งการปล่อยวางได้โดยที่เราไม่ยอมที่จะกลับมาอยู่กับตัวเอง มาสำรวจว่าสิ่งที่เรากำลังถืออยู่ ยึดมั่นอยู่ นั้นเพื่ออะไร สิ่งนั้นมันคงต้องมีความหมายอะไรกับเราสักอย่าง ไม่งั้นเราคงไม่ถือมันจนมาถึงทุกวันนี้.. การที่เรากอดเรื่องนี้ไว้อยู่มันทำให้เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับอะไร..
เมื่อเรารู้ว่าเราพยายามทั้งชีวิตเพื่อหนีกับความรู้สึกไหน ลองเปลี่ยนมาพยายามโอบรับมันด้วยหัวใจ.. เมื่อเราอยู่กับความรู้สึกลึกๆที่แท้จริงของตัวเองได้ สิ่งที่เรายึดถือไว้ย่อมไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว และเมื่อมันไม่จำเป็นกับเรา เราก็จะปล่อยมันไปจากมือเราจากใจเราได้อย่างธรรมชาติ

ที่อยู่

Chiang Mai

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 20:00
อังคาร 09:00 - 20:00
พุธ 09:00 - 20:00
พฤหัสบดี 09:00 - 20:00
ศุกร์ 09:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66824293535

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Akanit tattananurat - หมอกิ๊กผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท