20/12/2025
“ศิลปะของการไม่ทำอะไร“ ไม่มีอยู่จริง
เป็นอีกครั้งที่วิทยาศาสตร์เดินมาถึงจุดที่พุทธศาสนาพูดไว้
ในวัยหนุ่ม ผมมักได้ยินพวกเพื่อน ๆ พูดกันเล่น ๆ เวลาเห็นคนนั่งเหม่อไปข้างหน้า โดยไม่ได้ทำอะไรว่า นี่แหละคือศิลปะของการไม่ทำอะไร เราพูดเล่นกันแล้วก็หัวเราะเหมือนเห็นไปตามนั้น แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า อาการที่ผมเห็นมันไม่ใช่ทั้งศิลปะหรือศาสตร์ที่ดีเลย
“ขอพักเฉย ๆ ไม่ทำอะไรบ้าง”
“ขออยู่เฉย ๆไม่ต้องคิดอะไรสักแป๊บนะ”
“ขออยู่คนเดียวเงียบ ๆ นะ อยากพัก ไม่อยากคิดมาก”
ประโยคเหล่านี้ฟังดูเหมือนการพักผ่อน แต่ทั้งวิทยาศาสตร์ด้านสมองและพุทธศาสนา เห็นตรงกันว่า การไม่ทำอะไรนั้นไม่มีจริง สิ่งที่มีคือ “เราไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
เพราะแท้จริงแล้วธรรมชาติของสมองมันไม่เคยว่างเลย มันแค่เปลี่ยนโหมด
ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ เมื่อเราไม่ได้จดจ่อกับงานตรงหน้า สมองจะเข้าสู่โหมดหนึ่งโดยอัตโนมัติ เรียกว่า DMN (Default Mode Network) คำนี้ถูกอธิบายโดยทีมนักประสาทวิทยาศาสตร์จาก Washington University in St. Louis ที่มี มาคัส อี ไรเชล Marcus E. Raichle เป็นหัวหน้าทีม
มาร์คัสพบว่า ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ไม่ใช่โหมดพัก แต่คือโหมดที่สมอง เริ่มขุดอดีต แล้วก็วาดอนาคต จากนั้นก็เริ่มจินตนาการให้ทุกคนหมุนรอบตัวฉัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในโหมดนี้ สมองคิดวนอยู่สามเรื่องเสมอ
1.เรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไม่ได้
2.เรื่องที่ยังไม่เกิดและควบคุมไม่ได้
3.เรื่องที่ว่าคนอื่นคิดกับเราอย่างไร
และสามเรื่องนี้แหละ คือแหล่งผลิตความทุกข์ทางใจอันมหึมาของมนุษย์
เรามักคิดว่า การขับรถกลับบ้านแล้วจำไม่ได้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง หรือการฟังเพลงไปแล้วไม่รู้ว่าฟังเพลงอะไรอยู่ คือการปล่อยอารมณ์ชิล ๆ แต่จริงแล้ว สมองกำลังทำงานหนักมาก เพียงแค่ไม่ทำงานที่ “อยู่ตรงหน้า” มันกำลังคิดซ้ำ ตีความซ้ำ ตัดสินตัวเองซ้ำ โดยที่เราไม่รู้ตัว
หรือนี่มันไม่ใช่การพัก?
แต่มันคือ การปล่อยให้สมองทำงานโดยไม่มีผู้ควบคุม ไอ้ที่เราใจลอยนั้นยิ่งไม่ถือว่าเป็นการพักผ่อนเลย มองอีกมุมหนึ่งมันคือการทำงานล่วงเวลาของสมองต่างหาก
พระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งนี้มานานแล้ว
ในพุทธศาสนาไม่ได้ใช้คำว่า DMN แต่ใช้คำว่า “อุทธัจจกุกกุจจะ” คำบาลีนี้แยกออกเป็น 2 คำ คือ อุทธัจจะ หมายถึง ความ ฟุ้งซ่าน กลัดกลุ้ม ความหงุดหงิด ความประหม่า ความขวยเขิน ส่วน กุกกุจจะ หมายถึง ความรำคาญใจ ความวิตก ความอึดอัด
ทั้งหมดมาจากสิ่งเดียวกันคือ การที่จิตที่ไม่ได้ฝึก และถูกปล่อยให้ไหลไปตามความเคยชิน
คนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเข้าใจ จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า “อย่าคิด” แต่พระองค์สอนว่า “ให้รู้ทันว่ากำลังคิดอะไร และคิดอย่างไร”
เพราะความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากการคิด แต่เกิดจากการคิดโดยไม่รู้ตัวต่างหาก หลวงปู่หลายรูปเรียกสิกขานี้ว่าว่า “การดูจิต”
ลองมาดูคนรอบ ๆ ตัวเราที่เขาอ้างว่าเขาชิล ๆ ดู
-สมศักดิ์นั่งเฉย ๆ แต่ในใจเขาวนเวียนกับคำพูดเมื่อสิบปีก่อนของภรรยาเก่า เขารู้สึกเหนื่อยโดยไม่รู้ว่าทำอะไร
-อรอุมาบอกว่าตัวเองว่ากำลังพักผ่อนด้วยการไถมือถือ แต่จบด้วยความอิจฉา โกรธ หดหู่ สุดท้ายเธอ ไม่ได้พัก แต่เพิ่มภาระให้ใจ
-ผู้จัดการเด่นชัยคนที่ชอบคุยโวว่า ผมไม่ทำอะไรเลย นั่งเล่นนอนเล่นได้ทั้งวัน แต่พอตกเย็น เขาปวดหัว ใจหนัก เพราะสมองทำงานทั้งวันในโหมดฟุ้ง
และนี่คือเหตุผลที่ลุงชิด ที่นั่งสานไม้ไผ่เกือบทั้งบ่ายเหมือนคนทำงานหนัก แต่ใจของลุงชิดกลับสงบ ขณะที่เจ๊ติ๋วที่ไม่ได้ทำอะไรแค่มานั่งรอสามีทั้งบ่ายเช่นกัน แต่เจ๊ติ๋วกลับทุกข์มาก เหนื่อยมาก เพราะคิดไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับสามีตัวเอง เขาไปหาอีหนูใช่ไหม หรือเขาขับรถประสบอุบัติเหตุ
ดังนั้น การไม่ทำอะไรที่แท้จริง ต้องมีสติรองรับ หลวงพ่อจึงสอนให้”วางใจลง“ และการ“วางใจลง” ไม่ได้มีความหมายว่า ”ลอยใจไป“
สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “การวาง” คือการอยู่กับลมหายใจ คือการอยู่กับเสียง และคือการอยู่กับการเคลื่อนไหวของตัวเอง ที่สำคัญ“การวาง”ในความหมายของธรรมะคือการวางอยู่กับสิ่ง ๆ เดียวตรงหน้า
ในทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาอธิบายว่าวิธีการนี้คือการ ปิดปุ่ม DMN และเปิดปุ่มเครือข่ายสมองใหม่อีกชุดหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการรับรู้ปัจจุบัน
ทั้งวิทย์และพุทธจึงพูดตรงกันว่า การไม่ทำอะไรโดยไม่มีสติจึงไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นศาสตร์มืด เพราะมันทำงานเงียบ ๆ แต่มันทำให้เราเหนื่อยโดยไม่รู้สาเหตุ ทุกข์โดยไม่มีตัวร้าย และหลงคิดว่า “นี่คือธรรมชาติของชีวิต” ทั้งที่จริงมันคือผลจากการที่จิตที่ไม่ได้ฝึก
จะว่าไปแล้วมนุษย์เรานั้นไม่เคยอยู่เฉยเลย มีแต่ “อยู่กับปัจจุบัน” หรือ “หลงอยู่กับความคิด”
ศิลปะที่แท้จริงของชีวิตจึงไม่ใช่การไม่ทำอะไร แต่คือการ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อรู้ทัน ความคิดก็เบาลง จนความคิดนั้นมลายหายไป ใจไม่ต้องแบกอดีต ไม่ต้องวิ่งไล่กวดอนาคต และไม่ต้องเฝ้าระวังตัวเองตลอดเวลาว่าใครเขาจะคิดอย่างไรกับเรา รู้สึกอย่างไรกับเรา
นั่นแหละ คือการพักที่แท้จริง ทั้งในทางวิทยาศาสตร์ และในทางธรรม
………