Happybook Public สำนักพิมพ์แห่งความสุข
จากใจถึงใจ

23/10/2025

โลกให้รางวัลใหญ่
กับคนที่สู้
และไม่ยอมแพ้
อะไรทั้งนั้น!

📚 เทคนิคการอ่านหนังสือกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ✅1. อ่านด้วย “ #โครงสร้างก่อนเนื้อหา” • เริ่มจากดูภาพรวม เช่น แผนผัง บทบั...
23/10/2025

📚 เทคนิคการอ่านหนังสือกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
✅1. อ่านด้วย “ #โครงสร้างก่อนเนื้อหา”
• เริ่มจากดูภาพรวม เช่น แผนผัง บทบัญญัติสำคัญ หรือหัวข้อใหญ่
• จะช่วยให้เข้าใจ “ #ระบบของกฎหมาย” ก่อนลงรายละเอียด

✅2. ใช้สีและสัญลักษณ์ช่วยจำ
• ไฮไลต์ต่างสีตามประเภท เช่น
🔹 คำพิพากษา – สีฟ้า
🔹 หลักกฎหมาย – สีเหลือง
🔹 ข้อยกเว้น – สีชมพู
• เขียนสัญลักษณ์ เช่น ⭐ = จำ, ⚖️ = หลักสำคัญ

✅3. อ่านให้เข้าใจ ไม่ท่องจำ
• พยายาม “ #เล่าเรื่องกฎหมาย” ด้วยคำของตนเอง
• ถามตัวเองว่า “ #ทำไมศาลถึงวินิจฉัยแบบนี้?” เพื่อเข้าใจเหตุผลทางกฎหมาย

✅4. ทบทวนด้วย Mind Map หรือ Short Note
• เขียนสรุปย่อหลังอ่านเสร็จทุกบท
• ใช้แผนผังช่วยเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับคดีจริง

✅5. แบ่งเวลาอ่านเป็นรอบ
• รอบแรก: อ่านเข้าใจภาพรวม
• รอบสอง: อ่านเชื่อมโยงฎีกา
• รอบสาม: ทบทวนและทำข้อสอบเก่า

✅6. สร้างบรรยากาศที่จุดไฟในใจ
• โต๊ะที่เป็นระเบียบ แสงไฟอุ่น หนังสือที่เปิดไว้กลางหน้า
• เป็นสัญลักษณ์ของ “ #ความพยายามและความฝัน” ของนักกฎหมาย

#ฎีกาน่าสนใจ #ฎีกาใหม่น่าสนใจ #ความพยายาม #เรียนรู้ #ฎีกานักกฎหมาย

ทำไมความไม่สมบูรณ์แบบคือเสน่ห์ของชีวิตหากคุณลองมองรอบตัวดี ๆ คุณจะเห็นว่า สิ่งที่งดงามที่สุดในโลก มักไม่ได้สมบูรณ์แบบเลย...
23/10/2025

ทำไมความไม่สมบูรณ์แบบคือเสน่ห์ของชีวิต

หากคุณลองมองรอบตัวดี ๆ คุณจะเห็นว่า สิ่งที่งดงามที่สุดในโลก มักไม่ได้สมบูรณ์แบบเลยสักอย่าง

ดอกไม้ที่บานบางดอกมีรอยช้ำเล็ก ๆ ที่กลีบ

พระอาทิตย์ตกบางวันถูกเมฆบังจนไม่กลมเกลี้ยง

แม้แต่คนที่คุณรัก ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน

แต่นั่นเองที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ “มีเสน่ห์”

ความไม่สมบูรณ์แบบทำให้ชีวิต “จริง”

ถ้าทุกอย่างในชีวิตถูกจัดเรียงอย่างไร้ที่ติ ไม่มีรอยตำหนิ ไม่มีข้อผิดพลาดเลย ชีวิตก็คงจะเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรม ไม่มีรสชาติ ไม่มีสีสัน ความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้ชีวิตดู “จริง” และทำให้เราเชื่อมโยงกับมันได้

รอยแผลคือเรื่องราว

ทุกบาดแผล รอยยับ หรือความผิดพลาด ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกลบออกไป แต่คือ “บทเรียน” และ “เรื่องเล่า” ที่บอกว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง

เหมือนถ้วยดินเผาที่มีรอยแตก แต่ถูกซ่อมด้วยทองตามศิลปะญี่ปุ่นที่เรียกว่า คินสึงิ (Kintsugi) รอยแตกนั้นไม่ใช่ความน่าอาย แต่กลายเป็นความงามที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะมันสะท้อนว่า สิ่งนี้เคยแตก เคยเจ็บปวด แต่ก็ถูกซ่อมแซมจนมีคุณค่ามากขึ้น

ความไม่สมบูรณ์แบบทำให้เราอ่อนโยนต่อกัน

เพราะทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่อง เมื่อเราเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่น เราจะเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัยได้ง่ายขึ้น
และเมื่อเรายอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองได้ เราก็จะหยุดเปรียบเทียบ และเริ่มต้นรักตัวเองในแบบที่เราเป็นจริง ๆ

ความงามที่ซ่อนอยู่ในความผิดพลาด

ดนตรีเพราะไม่ได้มาจากการเล่นโน้ตถูกทุกตัว แต่มาจากอารมณ์ในเสียงที่บางครั้งไม่เป๊ะ แต่กลับทำให้เรารู้สึก

งานศิลปะยิ่งใหญ่ไม่ได้งดงามเพราะเส้นตรงไร้ที่ติ แต่งามเพราะมันมีลายเส้นเฉพาะตัวของศิลปิน

ชีวิตก็เช่นกัน มันงดงามเพราะการผสมปนเปของสิ่งที่ถูกและผิด สำเร็จและล้มเหลว

ตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ผมเคยเห็น

ผมเคยเจอคุณลุงคนหนึ่งทำงานไม้ขาย โต๊ะของลุงไม่ได้เรียบเนียนแบบโรงงานอุตสาหกรรม มีรอยขรุขระบ้าง แต่ลุงบอกว่า
“รอยเหล่านี้แหละ ที่ทำให้โต๊ะของแต่ละตัวไม่เหมือนกัน มันเหมือนชีวิตคน ไม่มีใครไร้รอยตำหนิ แต่เพราะมีรอยนี่แหละ เราจึงแตกต่างและพิเศษ”

ประโยคนั้นทำให้ผมเข้าใจว่า ความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้แต่ละชีวิต “มีเอกลักษณ์”

บทสรุป

ชีวิตไม่จำเป็นต้องไร้ที่ติ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ทุกด้าน ความไม่สมบูรณ์แบบไม่ใช่สิ่งที่ต้องซ่อน แต่มันคือเสน่ห์ที่บอกว่าเราเป็นมนุษย์จริง ๆ ที่มีชีวิต หัวใจ และเรื่องราว

เพราะในท้ายที่สุด…
สิ่งที่ทำให้เราน่าจดจำ ไม่ใช่ความเพอร์เฟกต์ แต่คือ รอยยิ้ม น้ำตา ความล้มเหลว และความพยายามที่ยังคงเดินต่อไป แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม

#ลุงตี่inspiration #ข้อคิดชีวิต #แรงบันดาลใจ #ชีวิตคิดบวก #พลังในตัวเอง

23/10/2025

ไอเดียที่ดีที่สุด
คือไอเดีย
ที่ลงมือทำ!!

อย่าเปรียบเทียบเส้นทางของคุณกับใครเพราะเส้นทางของคุณ… ถูกสร้างมาเพื่อคุณเท่านั้นการเปรียบเทียบ… ขโมยความสุขจงภูมิใจในควา...
22/10/2025

อย่าเปรียบเทียบเส้นทางของคุณกับใคร
เพราะเส้นทางของคุณ… ถูกสร้างมาเพื่อคุณเท่านั้น
การเปรียบเทียบ… ขโมยความสุข
จงภูมิใจในความก้าวหน้าของตัวเอง
แม้จะเล็กน้อยก็ตาม
บทความโดย ลุงตี่ inspiration
=============================
อยากเรียนรู้กับคนที่ประสบความสำเร็จ ต้องถามคนที่ประสบความสำเร็จ
==========================

อย่าเปรียบเทียบเส้นทางของคุณกับใคร
เพราะเส้นทางของคุณ… ถูกสร้างมาเพื่อคุณเท่านั้น
การเปรียบเทียบ… ขโมยความสุข
จงภูมิใจในความก้าวหน้าของตัวเอง
แม้จะเล็กน้อยก็ตาม
บทความโดย ลุงตี่ inspiration
=============================
อยากเรียนรู้กับคนที่ประสบความสำเร็จ ต้องถามคนที่ประสบความสำเร็จ
=============================
#ลุงตี่inspiration #ฝันให้ไกลไปให้ถึง #เรียนรู้ไม่มีวันจบ #ให้ด้วยใจได้ด้วยรอยยิ้ม #อดทนวันนี้ชนะพรุ่งนี้ #ใช้เวลาสร้างคุณค่า #พัฒนาตนสู่ความยิ่งใหญ่ #คิด #คําคม #พลังบวก

22/10/2025

รอนิดทุกคน
เขียนด้วยAI
จะครบ100เล่ม
ขายจริงทั่วโลก แล้วจะมาสอนให้!

เดินลดสมองเสื่อม สุขภาพดีด้วยหมอขอนะ....ป้า: หมอ ป้าต้อง ออกกำลังกายเท่าไหร่ จะลด stroke ลดสมองเสื่อม หมอ: เดินรอบหมู่บ้...
22/10/2025

เดินลดสมองเสื่อม สุขภาพดีด้วย
หมอขอนะ....
ป้า: หมอ ป้าต้อง ออกกำลังกายเท่าไหร่ จะลด stroke ลดสมองเสื่อม
หมอ: เดินรอบหมู่บ้าน 5 วันต่อสัปดาห์ ครับ จริงๆ เป็น การกะประมาณ บ้าง บอก 30 นาทีต่อวัน x 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ก็ มีการอัพเดทเรื่อยๆ ว่า ขอให้ขุดตัว ขุดใจ ออกมาจาก ที่นอน ให้ได้ก่อนนะ แค่เดิน ก็ ดีแล้ว
งานวิจัยว่าอย่างนี้ครับ
บอก “ขอแค่วันเดียว”… เดินวันละ 4,000 ก้าว ก็ลดความเสี่ยงตายก่อนวัยได้ เอาว่ะ มีกำลังใจแล้ว คือ คนที่ออกกำลังลังนะ ก็ออกอยู่นั่นแหละ แต่คนไม่ออก ยังไงก็ ไม่ออก เกี่ยงนุ่นนี่
บางวันก็งานยุ่ง บางวันก็ฝนตก บางวันก็ “เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน”
สุดท้ายผ่านมา 7 วัน… เดินจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ
แต่ข่าวดี ล่าสุดจากนักวิจัยที่ Harvard University ประเทศสหรัฐอเมริกา บอกว่า…(เอาใจคนขี้เกียจ)
“ไม่ต้องเดินทุกวันก็ยังดีต่อสุขภาพ!”
เขาศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “จำนวนก้าวเดินต่อวัน” กับ “อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ” ในผู้หญิงสูงอายุ จากกลุ่มตัวอย่าง
• จำนวน: 16,741 คน
• อายุเฉลี่ย: 72 ปี
• สวมอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (accelerometer) เป็นเวลา 7 วัน
• ติดตามผลเฉลี่ย 4.3 ปี
ผลการวิจัย
• กลุ่มที่เดินเฉลี่ย 4,400 ก้าว/วัน มีอัตราการเสียชีวิตลดลงชัดเจน เทียบกับกลุ่มที่เดินเฉลี่ย 2,700 ก้าว/วัน
• ความเสี่ยงเสียชีวิต ลดลงต่อเนื่อง จนถึงประมาณ 7,500 ก้าว/วัน
• หลังจาก 7,500 ก้าว/วัน ผลลดลงเริ่ม “นิ่ง” (plateau effect)
• “ความเร็วในการเดิน” (stepping intensity) ไม่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตอย่างชัดเจนเมื่อควบคุมปริมาณก้าวต่อวันแล้ว
สรุป
“แม้เพียงวันละ 4,400 ก้าว ก็มีความหมายต่อการลดความเสี่ยงเสียชีวิตในผู้หญิงสูงอายุ”
เดินมากขึ้น = ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดอิ่มตัวที่ราว 7,500 ก้าว/วัน
เดินเหอะ หมอขอนะ

หนึ่งในเนื้อหาของหนังสือ "ทำแบบนี้สิ สมองดีทันที 100 เท่า"
ด้วยความห่วงใยโดย รศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบประสาทและสมอง.................
หนังสือดีในเครือแฮปปี้บุ๊ค พับลิชชิ่ง เร็วๆ นี้ทั่วไทย

21/10/2025

ถ้าอยากให้
ผลงานออกมาดี
รักในสิ่งที่ทำ
แล้วทำสุดกำลัง

ให้ถุงใบนี้เป็นครู มันใช่เลย คือ กำลัง จะเอา ถุงไปทิ้ง หลังจาก เอาของ ออก ถุงนี้ ซื้อ ของจากญี่ปุ่น มองลงไป มันเขียนไว้ว...
21/10/2025

ให้ถุงใบนี้เป็นครู มันใช่เลย
คือ กำลัง จะเอา ถุงไปทิ้ง หลังจาก เอาของ ออก
ถุงนี้ ซื้อ ของจากญี่ปุ่น

มองลงไป มันเขียนไว้ว่า
Focus. Passion. Discipline. Consistency.

จง จดจ่อ มีแรงใจ มีวินัย และ ต่อเนื่อง

ผ่านๆ ก็แค่คำ หากพินิจ นี่คือความลับชีวิต

คนเราไม่เท่ากัน ถ้าตัดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ทิ้งไป นี่คือ ปัจจัยวัดความสำเร็จ

1. Focus — จงจดจ่อ เพนาะการจดจ่อ คือการทำให้สำเร็จ เหมือนการตอกตะปูบนเนื้อไม้ เน้นย้ำตามรูเดิม ไม่นานจะฝังแน่น ไม่สั่นคลอน

2. Passion — พลังหัวใจที่จุดไฟให้ชีวิต
ทำอะไร ด้วยหัวใจ มันจะมีความสุข ไม่แค่นั้น มันหลอมรวม การทำงานและการใช้ชีวิตไปด้วยกัน ชีวิตจะปราบปลื้มยินดี

3. Discipline — วินัยคือโค้ชส่วนตัวของชีวิต
เรามักชอบ “ความสบาย” แต่การมีวินัยคือการท้าทายและเป็นบททดสอบที่คัดแยกคนที่สำเร็จและไม่สำเร็จ

4. Consistency — ทำซ้ำคือคาถาแห่งความสำเร็จ
หลายคนเริ่มต้นดี แต่จบไม่เคยถึงฝั่ง
หันเห โลเล จนต้องใช้เวลา “เชื่อมวงจรใหม่”

จากการทำซ้ำ ๆ การเรียนรู้ทักษะใด ๆ ก็ตาม ตั้งแต่เล่นดนตรี เขียนหนังสือ ไปจนถึงการคิดบวก ต้องผ่านการทำซ้ำจนสมองจดจำเป็นอัตโนมัติ เกิดทักษะและเกิดผลลัพย์ ทั้งต่อตัวเอง และ สิ่งแวดล้อมภายนอก

Consistency คือสิ่งที่เปลี่ยน “แรงบันดาลใจ” ให้กลายเป็น “นิสัย”

เกือบทิ้งและเป็นแค่ถุงใบนึง
สังเกต ถุงผ้าใบหนึ่ง ไม่นึกว่า จะสอนหลักสำคัญ
Focus ช่วยให้ชีวิตไม่หลงทาง
Passion เติมพลังให้เดินต่อ
Discipline เป็นโค้ชคอยกำกับ
และ Consistency คือสะพานพาไปถึงเป้าหมาย

ถือว่าเป็นถุงของขวัญก่อนนอน ละกัน

- อจ สุรัตน์

หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์โรคหัวใจมือหนึ่ง เป็นไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจ รักษาด้วยธรรมชาติจนหาย!ผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟังนะค...
21/10/2025

หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์โรคหัวใจมือหนึ่ง เป็นไขมันสูง
หลอดเลือดหัวใจ รักษาด้วยธรรมชาติจนหาย!

ผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟังนะครับ คือตัวผมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ ความชำนาญของผมก็คือผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดหัวใจตีบหรือที่เรียกว่าผ่าตัดบายพาส การใช้ชีวิตในวัยทำงานของผมก็ค่อนข้างใช้แบบสำบุกสำบันเหมือนกับหลายท่านในนี้ซึ่งผ่านวันเวลาแบบนั้นมาหมาดๆ คือทำงานมาก มากเกินไป และไม่ได้สนใจที่จะฟูมฟักดูแลร่างกายมากนัก เพราะมันก็ดีๆของมันอยู่

การผ่าตัดหัวใจเป็นงานที่มักจะต่อเนื่อง พูดง่ายๆว่าติดลม บางวันกว่าจะเสร็จก็สามสี่ทุ่ม กลับถึงบ้านก็ใกล้เที่ยงคืนไปแล้ว ลูกเมียเขาหลับกันหมดแล้ว ผมต้องไปค้นตู้เย็นหาอะไรกิน เมียเขาจะจัดอาหารโปรดของผมไว้ คือเค้กซาราลี บัทเทอร์เค้ก นั่นแหละของชอบ ผมกินมันทุกคืน แล้วผมเนี่ยสมัยที่ทำงานอยู่ไม่ดื่มน้ำเปล่านะครับ ดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า วันหนึ่งก็หนึ่งลิตรขึ้นไป เพราะดื่มน้ำเปล่ามันไม่สะใจ แล้วเราก็มีเงินซื้อ ใครจะทำไม

ในที่ทำงานผมดื่มกาแฟวันละหลายแก้วเพราะทำงานบริหารด้วย เวลานั่งประชุมฟังลูกน้องพูดเพ้อเจ้อผมก็จิบกาแฟไป วิธีชงกาแฟของผมก็เป็นมาตรฐานไทยแลนด์ คือ ทรี-อิน-วัน หมายความว่าน้ำตาล ครีมเทียม กาแฟ ผสมกันมาเสร็จเรียบร้อยในซองเดียว ใช้ชีวิตแบบนี้เรื่อยมา จนถึงวันที่เริ่มป่วย

ตอนนั้นผมอายุห้าสิบปลายๆแล้ว มันเริ่มด้วยอาการเวลาทำงานมากๆแล้วแน่นๆหน้าอกไม่สบาย จิตใจก็ค่อนข้างหงุดหงิดงุ่นง่านจนลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด ตอนนั้นทำสองจ๊อบ คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจด้วย เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย วันหนึ่งตอนเลิกงานประมาณเกือบสามทุ่ม เลขาหน้าห้องมาดักรอผมอยู่ที่ประตู แล้วรวบรวมความกล้าบอกผมว่า “อาจารย์รู้ตัวหรือเปล่าคะ ว่าอาจารย์นะ...หงุดหงิด”

พอเจอจิ้งจกทัก ผมก็มานั่งมองตัวเอง เออ..สงสัยเราจะป่วยจริงๆแฮะ จึงหยุดงานไปให้หมอรุ่นน้องตรวจประเมินสุขภาพอย่างจริงจัง โดยธรรมชาติของหมอจะเหมือนกันทั้งหมอไทยและหมอฝรั่ง คือไม่เคยทำการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะถือว่าตัวเองเป็นหมอดูแลตัวเองอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เมื่อผมตัดสินใจไปตรวจสุขภาพประจำปี ก็ได้มาหลายโรค

อย่างแรกก็คือความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา อย่างที่สองก็คือไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา อย่างที่สามก็คือเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ซึ่งทราบได้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจดูแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ อย่างที่สี่ก็คือลงพุง คือน้ำหนักเกิน และส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง ไม่อ้วน แต่หุ่นเป็นแบบไอ้เท่งหนังตะลุง คือหลังค่อมพุงแอ่น นั่นคือตัวผมเมื่ออายุราว 56 ปี หมอรุ่นน้องซึ่งเป็นหมออายุรกรรมหัวใจก็ให้ยามาหลายตัว หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว แถมอีกตัวหนึ่งคือยากล่อมประสาท

ผมกินยาตามหมอสั่งได้สองเดือนโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม อาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น แถมมีอาการซึมกะทือจากยากล่อมประสาทอีกด้วย จิตใจก็แย่ การเป็นคนป่วยนั่นก็แย่ระดับหนึ่งแล้ว ยังมีความเบื่องานบวกเข้าไปอีก ทั้งๆที่เป็นเจ้านายเขาแต่มันก็เบื่อ มองอนาคตตัวเองด้วยความกังวล

ว่าวันนี้เราเป็นความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคืออะไรผมมองออกหมดแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส อย่างที่ผมทำให้คนไข้ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ ทำแล้วบ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ไม่ดีขึ้น บ้างก็ตาย เพียงแต่คราวนี้จะเปลี่ยนเป็นตัวผมนอนอยู่บนเขียง ให้หมอรุ่นน้องคนอื่นเป็นคนผ่าตัดให้

ในช่วงที่ผ่าตัดอยู่ วันไหนอารมณ์ดีๆผมจะบอกหมอที่เป็นลูกศิษย์ว่าคุณรู้ไหม วันหนึ่งข้างหน้าคนรุ่นหลานของเราจะเล่าสู่กันฟังด้วยความตลกขบขันว่าสมัยคุณปู่เนี่ย คนเราทำไมโง่จังนะ แค่ไขมันอุดหลอดเลือดหัวใจ หมอสมัยนั้นต้องเอาคนไข้มาผ่าแบะหน้าอกออกเพื่อทำบายพาสหลอดเลือด

คือผมพูดอย่างนี้กับลูกน้องเพื่อจะย้ำให้เขาเห็นว่าการผ่าตัดบายพาสเป็นการรักษาแบบเกาไม่ถูกที่คัน แต่เราก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่มี เพื่อให้เขาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ขยันค้นคว้าวิจัยหากวิธีรักษาที่ดีกว่านี้

แต่ว่ามาถึงตอนนี้ผมเป็นคนป่วยแล้ว และวันหนึ่งผมจะต้องมารับการรักษาด้วยวิธีซึ่งผมรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า “ไม่ใช่” ผมจะทำอย่างไรดี มีวิธีอื่นอีกไหมที่จะดูแลตัวเองโดยไม่ต้องผ่าตัด คิดไปคิดมาแล้วคำตอบก็มีอยู่คำเดียว คือ...“ไม่ทราบ”

ณ ตอนนั้นผมเรียนจบแพทย์มาได้สามสิบปีแล้ว ผ่านการเป็นแพทย์ทั่วไป แล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทั่วไป ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมต่างประเทศเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ทำงานพักหนึ่งแล้วก็ค่อยๆจำกัดชนิดการผ่าตัดลงจนแทบจะเหลือแต่การผ่าตัดบายพาส คือมุดรูเล็กลงๆเรื่อยๆ เหลือความรู้อยู่แต่เรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญอยู่นิดเดียว สามสิบปีที่ผ่านไป มีความรู้อะไรใหม่ๆเกิดขึ้นในวิชาแพทย์บ้าง ผมไม่ได้ติดตามเลย

ผมตัดสินใจถอยกลับมาเรียนวิชาแพทย์ใหม่ด้วยตนเอง ทั้งๆที่ยังทำงานอยู่นั่นแหละ ผมทำในสิ่งที่นักวิชาการเขาเรียกว่า “การทบทวนวรรณกรรม (literature review)“ คือถอยไปตั้งต้นย้อนยุคเมื่อผมจบแพทย์ใหม่ๆ แล้วไล่มาทีละปีพ.ศ.ว่านับตั้งแต่นั้นมามีงานวิจัยทางการแพทย์อะไรใหม่ๆเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ทราบบ้าง

ผมได้พบว่ามีงานวิจัยการรักษาโรคหัวใจที่ให้ผลเหลือเชื่อเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นหมอหัวใจ ผมจะยกตัวอย่างงานวิจัยบางงานที่เตะตาผมจังๆให้ท่านทราบนะ

งานวิจัยนี้ชื่อ EUROSAPIRE เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ และมีระยะติดตามดูนานถึง 12 ปี คือเขาติดตามดูคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาส คือจะดูว่าถ้าเป็นคนไข้ที่ดี หมอบอกให้กินยาก็กิน และรักษาอยู่กับโรงพยาบาลที่ดี หมอดี เครื่องมือดี ดูซิว่าผ่านไป 12 ปี แล้วคนไข้จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม ผลวิจัยที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย อย่างเรื่องความอ้วน ยิ่งรักษากันไปก็ยิ่งอ้วนเผละยิ่งขึ้น ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

มาดูความดันเลือดบ้าง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง มาดูการเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% คือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลง พูดเป็นภาษาจิ๊กโก๋ก็คือ

“..วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน..ไม่เวอร์ค”

คราวนี้มาดูงานวิจัยนี้นะ หมอคนนี้ชื่อ Caldwell Esselstyn เขาเป็นหมอทางด้านต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน จับทุกคนสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้ แล้วให้คนไข้เหล่านี้กินแต่อาหารมังสะวิรัต กินอยู่นาน 5 ปี แล้วเอาคนไข้ทั้งหมดกลับมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน

ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น อย่างตัวอย่างคนไข้คนนี้ ก่อนเริ่มวิจัย ผลฉีดสีเป็นอย่างนี้ คือเวลาเราฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดแล้วถ่ายเอ็กซเรย์ออกมาเป็นภาพยนตร์ ตัวสีจะเห็นเป็นสีขาวอย่างนี้ เวลาที่สีวิ่งผ่านจุดที่หลอดเลือดหัวใจมันตีบแคบหรือขรุขระ เนื้อสีสีขาวมันก็จะถูกบีบให้แคบและเห็นขอบขรุขระด้วยอย่างนี้ ส่วนภาพนี้เป็นผลการฉีดสีหลังจากกินมังสะวิรัติไปแล้วห้าปี จะเห็นว่ารอยตีบรอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป เหลือแต่ลำสีที่วิ่งได้เต็มหลอดเลือดตามปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มันหายคือการปรับอาหารการกิน

ผมเห็นงานวิจัยนี้ครั้งแรกผมทึ่งมาก ทั้งๆที่เขาทำไว้ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ผมเองเป็นหมอหัวใจผมกลับไม่ทราบเลย เห็นอย่างนี้ผมเชื่อแล้วว่าโรคหลอดเลือดหัวใจมันหายได้

แต่ผมยังมีข้อกริ่งเกรงอยู่ประเด็นหนึ่ง คือตัวผมเองก็เป็นนักวิจัย งานวิจัยที่ไม่ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มไว้เปรียบเทียบกันนั้น จะสรุปเอาดื้อๆว่าหลอดเลือดตีบหายเพราะปรับอาหารย่อมไม่ได้ มันต้องมีงานวิจัยแบบเดียวกันที่เอาคนไข้มาสุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกันดู จึงจะพิสูจน์ได้จะจะว่ามันหายเพราะปรับอาหารจริงหรือไม่

แล้วผมไม่ต้องรอนานเลย หมอคนนี้ชื่อ Dean Ornish เขาเป็นหมอหัวใจ เขาได้ทำงานวิจัยที่เอาไข้โรคหัวมาเกือบร้อยคนจับฉลากแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ใครจับได้เบอร์ดำ ไปเข้ากลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ ใครจับได้เบอร์แดงไปเข้ากลุ่มที่ต้องปรับชีวิต คือต้องทำสามอย่าง ได้แก่ (1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน (2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง (3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน

ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอบตีบเดินหน้าตีบแคบลง ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า

มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้ด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แล้วความดันเลือดสูงละ

ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ผมสรุปมาให้ดูตรงนี้คือถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิล ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14 มิล ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิล ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิล ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

คราวนี้โดยบังเอิญ ผมก็ไปพบงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวานเข้า งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย DPPRG เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวานซะเลยรู้แล้วรู้รอด กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้ครับ

กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดและลดการเป็นโรค เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ดอันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด

โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่าเข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าไขมันทรานส์นี้แต่ก่อนมันมีในอาหารของมนุษย์เราน้อยมาก เพราะมันไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแบบขี้ขึ้นสมอง คนก็หันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์

มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนคนเคยเป็นเสื้อเหลืองตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง มันคนละเรื่องแล้ว แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์
ผมถึงบางอ้อเลย เพราะผมดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกลับบ้านโซ้ยเค้กซาราลีเป็นมื้อเย็นอีก เรียกว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดมาซะนานนะเนี่ย อุตส่าห์เลิกแคบหมูของโปรดนึกว่าจะได้ดี..ที่ไหนได้

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือผมทบทวนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน จนผมสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันเก็บไว้ และทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้น และเมื่อผมตามไปดูงานวิจัยที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน ก็พบว่า 35% มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ อ้าว..เอาอีกแล้วผม เพราะผมดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า ผมรับมาเต็มๆอีกแล้ว

มาถึงจุดนี้ เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย...ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง

ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์

เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย
ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย

แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท

ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน

เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดินไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก

การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง

ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่า elliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า.. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ

ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น
ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที

ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสียไม่ดีกว่าหรือ

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มที่

อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวหรือ Family Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย

จาก:http://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html

ที่อยู่

1/141 ต. ท่าวังตาล อ. สารภี จ. Chiang Mai
Chiang Mai
50140

เบอร์โทรศัพท์

+66930785999

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Happybook Publicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

happybook

องค์กรแห่งความสุข