Happybook Public สำนักพิมพ์แห่งความสุข
จากใจถึงใจ

“ศิลปะของการไม่ทำอะไร“ ไม่มีอยู่จริง  เป็นอีกครั้งที่วิทยาศาสตร์เดินมาถึงจุดที่พุทธศาสนาพูดไว้ในวัยหนุ่ม ผมมักได้ยินพวกเ...
20/12/2025

“ศิลปะของการไม่ทำอะไร“ ไม่มีอยู่จริง

เป็นอีกครั้งที่วิทยาศาสตร์เดินมาถึงจุดที่พุทธศาสนาพูดไว้

ในวัยหนุ่ม ผมมักได้ยินพวกเพื่อน ๆ พูดกันเล่น ๆ เวลาเห็นคนนั่งเหม่อไปข้างหน้า โดยไม่ได้ทำอะไรว่า นี่แหละคือศิลปะของการไม่ทำอะไร เราพูดเล่นกันแล้วก็หัวเราะเหมือนเห็นไปตามนั้น แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า อาการที่ผมเห็นมันไม่ใช่ทั้งศิลปะหรือศาสตร์ที่ดีเลย

“ขอพักเฉย ๆ ไม่ทำอะไรบ้าง”
“ขออยู่เฉย ๆไม่ต้องคิดอะไรสักแป๊บนะ”
“ขออยู่คนเดียวเงียบ ๆ นะ อยากพัก ไม่อยากคิดมาก”

ประโยคเหล่านี้ฟังดูเหมือนการพักผ่อน แต่ทั้งวิทยาศาสตร์ด้านสมองและพุทธศาสนา เห็นตรงกันว่า การไม่ทำอะไรนั้นไม่มีจริง สิ่งที่มีคือ “เราไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

เพราะแท้จริงแล้วธรรมชาติของสมองมันไม่เคยว่างเลย มันแค่เปลี่ยนโหมด

ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ เมื่อเราไม่ได้จดจ่อกับงานตรงหน้า สมองจะเข้าสู่โหมดหนึ่งโดยอัตโนมัติ เรียกว่า DMN (Default Mode Network) คำนี้ถูกอธิบายโดยทีมนักประสาทวิทยาศาสตร์จาก Washington University in St. Louis ที่มี มาคัส อี ไรเชล Marcus E. Raichle เป็นหัวหน้าทีม

มาร์คัสพบว่า ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ไม่ใช่โหมดพัก แต่คือโหมดที่สมอง เริ่มขุดอดีต แล้วก็วาดอนาคต จากนั้นก็เริ่มจินตนาการให้ทุกคนหมุนรอบตัวฉัน

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในโหมดนี้ สมองคิดวนอยู่สามเรื่องเสมอ

1.เรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไม่ได้
2.เรื่องที่ยังไม่เกิดและควบคุมไม่ได้
3.เรื่องที่ว่าคนอื่นคิดกับเราอย่างไร

และสามเรื่องนี้แหละ คือแหล่งผลิตความทุกข์ทางใจอันมหึมาของมนุษย์

เรามักคิดว่า การขับรถกลับบ้านแล้วจำไม่ได้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง หรือการฟังเพลงไปแล้วไม่รู้ว่าฟังเพลงอะไรอยู่ คือการปล่อยอารมณ์ชิล ๆ แต่จริงแล้ว สมองกำลังทำงานหนักมาก เพียงแค่ไม่ทำงานที่ “อยู่ตรงหน้า” มันกำลังคิดซ้ำ ตีความซ้ำ ตัดสินตัวเองซ้ำ โดยที่เราไม่รู้ตัว

หรือนี่มันไม่ใช่การพัก?

แต่มันคือ การปล่อยให้สมองทำงานโดยไม่มีผู้ควบคุม ไอ้ที่เราใจลอยนั้นยิ่งไม่ถือว่าเป็นการพักผ่อนเลย มองอีกมุมหนึ่งมันคือการทำงานล่วงเวลาของสมองต่างหาก

พระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งนี้มานานแล้ว

ในพุทธศาสนาไม่ได้ใช้คำว่า DMN แต่ใช้คำว่า “อุทธัจจกุกกุจจะ” คำบาลีนี้แยกออกเป็น 2 คำ คือ อุทธัจจะ หมายถึง ความ ฟุ้งซ่าน กลัดกลุ้ม ความหงุดหงิด ความประหม่า ความขวยเขิน ส่วน กุกกุจจะ หมายถึง ความรำคาญใจ ความวิตก ความอึดอัด

ทั้งหมดมาจากสิ่งเดียวกันคือ การที่จิตที่ไม่ได้ฝึก และถูกปล่อยให้ไหลไปตามความเคยชิน

คนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเข้าใจ จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า “อย่าคิด” แต่พระองค์สอนว่า “ให้รู้ทันว่ากำลังคิดอะไร และคิดอย่างไร”

เพราะความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากการคิด แต่เกิดจากการคิดโดยไม่รู้ตัวต่างหาก หลวงปู่หลายรูปเรียกสิกขานี้ว่าว่า “การดูจิต”

ลองมาดูคนรอบ ๆ ตัวเราที่เขาอ้างว่าเขาชิล ๆ ดู

-สมศักดิ์นั่งเฉย ๆ แต่ในใจเขาวนเวียนกับคำพูดเมื่อสิบปีก่อนของภรรยาเก่า เขารู้สึกเหนื่อยโดยไม่รู้ว่าทำอะไร

-อรอุมาบอกว่าตัวเองว่ากำลังพักผ่อนด้วยการไถมือถือ แต่จบด้วยความอิจฉา โกรธ หดหู่ สุดท้ายเธอ ไม่ได้พัก แต่เพิ่มภาระให้ใจ

-ผู้จัดการเด่นชัยคนที่ชอบคุยโวว่า ผมไม่ทำอะไรเลย นั่งเล่นนอนเล่นได้ทั้งวัน แต่พอตกเย็น เขาปวดหัว ใจหนัก เพราะสมองทำงานทั้งวันในโหมดฟุ้ง

และนี่คือเหตุผลที่ลุงชิด ที่นั่งสานไม้ไผ่เกือบทั้งบ่ายเหมือนคนทำงานหนัก แต่ใจของลุงชิดกลับสงบ ขณะที่เจ๊ติ๋วที่ไม่ได้ทำอะไรแค่มานั่งรอสามีทั้งบ่ายเช่นกัน แต่เจ๊ติ๋วกลับทุกข์มาก เหนื่อยมาก เพราะคิดไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับสามีตัวเอง เขาไปหาอีหนูใช่ไหม หรือเขาขับรถประสบอุบัติเหตุ

ดังนั้น การไม่ทำอะไรที่แท้จริง ต้องมีสติรองรับ หลวงพ่อจึงสอนให้”วางใจลง“ และการ“วางใจลง” ไม่ได้มีความหมายว่า ”ลอยใจไป“

สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “การวาง” คือการอยู่กับลมหายใจ คือการอยู่กับเสียง และคือการอยู่กับการเคลื่อนไหวของตัวเอง ที่สำคัญ“การวาง”ในความหมายของธรรมะคือการวางอยู่กับสิ่ง ๆ เดียวตรงหน้า

ในทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาอธิบายว่าวิธีการนี้คือการ ปิดปุ่ม DMN และเปิดปุ่มเครือข่ายสมองใหม่อีกชุดหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการรับรู้ปัจจุบัน

ทั้งวิทย์และพุทธจึงพูดตรงกันว่า การไม่ทำอะไรโดยไม่มีสติจึงไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นศาสตร์มืด เพราะมันทำงานเงียบ ๆ แต่มันทำให้เราเหนื่อยโดยไม่รู้สาเหตุ ทุกข์โดยไม่มีตัวร้าย และหลงคิดว่า “นี่คือธรรมชาติของชีวิต” ทั้งที่จริงมันคือผลจากการที่จิตที่ไม่ได้ฝึก

จะว่าไปแล้วมนุษย์เรานั้นไม่เคยอยู่เฉยเลย มีแต่ “อยู่กับปัจจุบัน” หรือ “หลงอยู่กับความคิด”

ศิลปะที่แท้จริงของชีวิตจึงไม่ใช่การไม่ทำอะไร แต่คือการ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อรู้ทัน ความคิดก็เบาลง จนความคิดนั้นมลายหายไป ใจไม่ต้องแบกอดีต ไม่ต้องวิ่งไล่กวดอนาคต และไม่ต้องเฝ้าระวังตัวเองตลอดเวลาว่าใครเขาจะคิดอย่างไรกับเรา รู้สึกอย่างไรกับเรา

นั่นแหละ คือการพักที่แท้จริง ทั้งในทางวิทยาศาสตร์ และในทางธรรม
………

ชอบที่กล้าฝัน กล้าคิด...กล้าทำ
20/12/2025

ชอบที่กล้าฝัน กล้าคิด...กล้าทำ

"ผมไม่สนหรอกว่าใครจะทำอะไรได้ดีกว่าผม
ผมขอแค่ตัวเองในปีนี้
ทำได้ดีกว่าตัวเองในปีที่แล้วก็พอ..."

Elon Musk - กล่าวไว้

#คำคมคนดัง #คำคมการเงิน #คำคมการลงทุน

20/12/2025

เราแก่อายุมากขึ้น
ไม่ได้หยุดเติบโต
แต่เป็นการเติบโต
ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม!

หากชีวิต ต้องล้ม ! จำไว้ว่า จงล้มไปข้างหน้า Denzel Washington
19/12/2025

หากชีวิต ต้องล้ม ! จำไว้ว่า จงล้มไปข้างหน้า

Denzel Washington

หากชีวิต ต้องล้ม ! จำไว้ว่า จงล้มไปข้างหน้า

Denzel Washington - กล่าวไว้

#คำคม #ข้อคิดชีวิต

19/12/2025

อาชีพนักเขียน
เป็นอาชีพอิสระ
ทำเงินได้จริง
อยู่ไหนก็ทำได้!

การตลาดของคนโง่ ตอนเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นเผ่าเดียวกัน Tribe Marketing................................."แบรนด์ที่ยิ่งให...
19/12/2025

การตลาดของคนโง่ ตอนเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นเผ่าเดียวกัน
Tribe Marketing.................................
"แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เกิดจากการขายให้ทุกคน แต่เกิดจากการรวมคนที่เชื่อเหมือนกันให้มาอยู่ด้วยกัน"
Seth Godin

ในโลกยุคใหม่ที่ทุกแบรนด์สามารถเข้าถึงเครื่องมือการตลาดที่เท่าเทียมกันได้ สามารถยิงโฆษณาได้เหมือนกัน สร้างเพจหรือเว็บไซต์ได้ง่ายเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและอยู่รอดในระยะยาวไม่ใช่เรื่องของ "ใครยิงแอดได้มากกว่า" อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ "ใครสร้างความสัมพันธ์ได้ลึกกว่า"

และสิ่งที่ลึกซึ้งกว่า "ความภักดี" คือ "ความเป็นเผ่า"

Tribe Marketing คือการตลาดที่ไม่ได้เน้นการไล่ล่าลูกค้าใหม่แบบไม่หยุดหย่อน แต่เน้นการสร้างที่ยืนให้กับคนที่ "อิน" กับเราอยู่แล้ว เป็นการชวนให้พวกเขามารวมตัวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน เชื่อในสิ่งเดียวกัน และกลายเป็นพลังร่วมที่แบรนด์ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ

หากคุณมี Tribe ที่แข็งแรงและผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง...
พวกเขาจะขายแทนคุณ
พูดแทนคุณ และยืนเคียงข้างคุณ แม้ในวันที่โลกทั้งใบอาจจะหมุนต้านคุณ

ความต่างระหว่าง "ลูกค้า" กับ "คนในเผ่า"
● ลูกค้า: ซื้อแล้วจบ ความสัมพันธ์มักจะสิ้นสุดลงที่การทำธุรกรรม
● คนในเผ่า: ซื้อแล้วเล่า แชร์ บอกต่อ สร้างเนื้อหาแทนเรา และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขารู้สึกว่าตนเองเป็น "เจ้าของร่วม" ของแบรนด์

Tribe ไม่ได้หมายถึงจำนวนคนเยอะๆ เสมอไป แต่หมายถึง "กลุ่มคนเล็กๆ ที่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง" Tribe คือกลุ่มคนที่ไม่ต้องโน้มน้าว เขาเลือกที่จะอยู่กับคุณเองด้วยความสมัครใจ

Harley-Davidson ธุรกิจมอเตอร์ไซค์ที่ขาย “ตัวตน”
จนลูกค้ากลายเป็นเผ่าเดียวกัน
ถ้าวันหนึ่งคุณสร้างสินค้าขึ้นมาที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตน ลูกค้าเต็มใจควักเงินซื้อ รวมตัวกันเป็นกลุ่มเฉพาะ พร้อมที่จะปกป้องแบรนด์ มีการสักโลโก้ของคุณลงบนร่างกายตัวเอง นั่นไม่ใช่การตลาดธรรมดาแล้ว

แต่คือ การสร้างเผ่า (Tribe) ที่ถือว่าเป็นสุดยอดการตลาด
และนี่คือสิ่งที่ฮาร์เล่ย์ เดวิดสัน Harley-Davidson ทำสำเร็จ!

เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ จนกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษา
ที่ Harvard Business School ต้องนำมาสอนและเป็นต้นแบบธุรกิจในฝันทั่วโลกได้ค้นหาความลับนี้กัน

แต่ก่อนที่ Harley-Davidson จะโด่งดังสร้างเผ่าพันธุ์คนฮาร์เลย์ ใครเลยจะรู้ว่า ได้ก็เกือบจะจบข่าวไปเหมือนกันเพราะในปลายยุค 1970 มอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นเริ่มบุกตลาดโลก เจาะไปที่สหรัฐอเมริกา

ในวันนั้น Harley-Davidson แพ้มอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นแบบยับเยิน!

เพราะรถญี่ปุ่น มีจุดแข็งที่ราคาแมสมากกว่า ทั้งเร็วกว่า ใช้งานง่าย ทนกว่า
ในขณะที่ Harley-Davidson แพง สั่น เสียงดัง และพังง่ายกว่า
ถ้าแข่งกันที่ “สเปก” และ”ราคา” Harley-Davidson ไม่มีวันชนะ!!!

แต่แทนที่จะลดราคาสู้ แทนที่จะอัดโฆษณาแต่ Harley-Davidson เลือกเปลี่ยนคำถามที่กลายเป็นคำตอบของธุรกิจไปตลอดกาล

เรากำลังขาย “ใคร”

จุดเปลี่ยนของ Harley-Davidson ที่ทำให้ลูกค้าโดนใจ
คือหยุดถามตัวเองว่า “จะขายยังไง”
แล้วตั้งคำถามใหม่ว่า “ใครคือพวกเรา”

และแล้ว Harley-Davidson ค้นพบความจริงข้อหนึ่ง
ที่ทำให้กลายเป็นหัวหน้าเผ่าได้ตลอดกาล

คือคนที่ยอมเสียเงินซื้อ Harley-Davidson
ไม่ได้อยากได้ยานพาหนะ แต่ต้องการ “ตัวตน”
ตัวตนนั้นคือ อิสระชน ความเท่ห์ เป็นกบฏเล็กๆ การไม่ก้มหัวให้กับสังคมจอมปลอม และการอยู่เหนือกฏเกณฑ์ที่ผูกรัดเอาไว้

และนี่คือจุดกำเนิดของ Tribe Marketing
การตลาดที่ทำให้คน “เผ่าเดียวกัน” เผ่าที่ไม่เหมือนใคร

Harley-Davidson ไม่เริ่มหาคนเผ่าเดียวกันจากการหาลูกค้าใหม่ แต่เริ่มจากการทำให้ลูกค้าเก่า

พวกเขาก่อตั้ง Harley Owners Group (H.O.G.) ไม่ใช่ชมรมขายของ
แต่เป็นชุมชนของคนที่ “คิดเหมือนกัน” มีตั้งกลุ่มทริปขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวร่วมกัน มีเสื้อ มีสัญลักษณ์ มีกฏเกณฑ์พิธีกรรม มีเรื่องเล่า มีภาษาเฉพาะของคนเผ่า Harley-Davidson ที่กระจายไปทั่วโลก

น่าตื่นเต้นจน Harvard Business School ต้องบอกว่า H.O.G.
คือ “ระบบการตลาดที่ลูกค้าทำให้ลูกค้าด้วยกันเอง”

ไม่มี Hard Sell แต่ยอดขายกลับพุ่ง แทบไม่ต้องพูดว่า “รถเราดีอย่างไร”
เพราะคนในเผ่าจะพูดแทน เพื่อนชวนเพื่อน รุ่นพี่ดึงรุ่นน้อง คนที่ยังไม่ซื้อ…อยากซื้อต้องรีบซื้อเพราะไม่อยากเป็นคนนอกเผ่า

Harvard Business School เรียกสิ่งนี้ว่า “Belonging before Buying” กลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นการสร้างความรู้สึกว่าลูกค้า เป็นส่วนหนึ่ง (belonging) หรือเป็นเจ้าของสินค้า ก่อนที่จะจ่ายเงินซื้อ (before buying)
บทเรียนระดับโลกของ Harley-Davidson ทำให้เห็นว่า

-อย่าเริ่มจากสินค้าเริ่มจาก “ความเชื่อร่วม” ลูกค้าไม่ได้ผูกพันกับของ แต่ผูกพันกับ “ความหมาย”
-อย่าพยายามขายให้ทุกคน สร้างเผ่าของ “คนที่ใช่” อย่าไปแคร์คนที่ไม่เข้าใจ แต่โฟกัสคนที่ “อิน” เท่านั้น
-ยิ่งลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เป็นของเขา ยิ่งไม่ต้องขาย เมื่อแบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการซื้อคือเรื่องรอง

Harvard Business School สรุปบทเรียนธุรกิจของ Harley-Davidson ว่า
❝ The strongest brands don’t create customers.
They create communities. ❞
แบรนด์ที่แข็งแรงที่สุด ไม่สร้างลูกค้า แต่สร้างชุมชน

เนื้อหาการตลาดที่ทรงพลังในหนังสือยิ่งใหญ่แห่งปี
การตลาดของคน"โง่" โดยดร.ธนศักดิ์ วหาวิศาล
เจ้าของผลงานหนังสือระดับขายดีมากมาย
เร็วๆนี้ในราคาโง่ๆ ของแฮปปี้บุ๊ค พับลิชชิ่ง

จงกล้าเลือกในสิ่งที่คุณเชื่อแม้มันจะขัดใจคนทั้งโลกเพราะความจริงแท้… ไม่ต้องการเสียงปรบมือยืนอยู่กับสิ่งที่ถูกต้องแม้จะต้...
19/12/2025

จงกล้าเลือกในสิ่งที่คุณเชื่อ
แม้มันจะขัดใจคนทั้งโลก
เพราะความจริงแท้… ไม่ต้องการเสียงปรบมือ
ยืนอยู่กับสิ่งที่ถูกต้อง
แม้จะต้องยืนเพียงลำพัง
บทความโดย ลุงตี่ inspiration

จงกล้าเลือกในสิ่งที่คุณเชื่อ
แม้มันจะขัดใจคนทั้งโลก
เพราะความจริงแท้… ไม่ต้องการเสียงปรบมือ
ยืนอยู่กับสิ่งที่ถูกต้อง
แม้จะต้องยืนเพียงลำพัง

บทความโดย ลุงตี่ inspiration
=============================
อยากเรียนรู้กับคนที่ประสบความสำเร็จ ต้องถามคนที่ประสบความสำเร็จ
=============================
#ลุงตี่inspiration #ฝันให้ไกลไปให้ถึง #เรียนรู้ไม่มีวันจบ #ให้ด้วยใจได้ด้วยรอยยิ้ม #อดทนวันนี้ชนะพรุ่งนี้ #ใช้เวลาสร้างคุณค่า #พัฒนาตนสู่ความยิ่งใหญ่ #คิด #คําคม #พลังบวก

"ทุกคนต่างบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงโลก อยากช่วยเหลือ อยากแก้ไข แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือการแก้ไขตัวเอง และแค...
19/12/2025

"ทุกคนต่างบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงโลก อยากช่วยเหลือ อยากแก้ไข แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือการแก้ไขตัวเอง และแค่นั้นก็มากพอแล้ว เพราะเมื่อคุณแก้ไขตัวเองได้ มันจะเกิดแรงกระเพื่อมส่งต่อไปยังสิ่งอื่นๆ เอง" - ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับ นักแสดง และโปรดิวเซอร์ชื่อดังของฮอลลีวูด ที่เสียชีวิตในวัย 78 ปี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2025 เขาเป็นเจ้าของผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง Stand by Me, When Harry Met Sally..., A Few Good Men, The Princess Bride และ Misery
"Everybody talks about wanting to change things and help and fix, but ultimately all you can do is fix yourself. And that’s a lot. Because if you can fix yourself, it has a ripple effect." - Rob Reiner

"ทุกคนต่างบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงโลก อยากช่วยเหลือ อยากแก้ไข แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือการแก้ไขตัวเอง และแค่นั้นก็มากพอแล้ว เพราะเมื่อคุณแก้ไขตัวเองได้ มันจะเกิดแรงกระเพื่อมส่งต่อไปยังสิ่งอื่นๆ เอง" - ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับ นักแสดง และโปรดิวเซอร์ชื่อดังของฮอลลีวูด ที่เสียชีวิตในวัย 78 ปี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2025 เขาเป็นเจ้าของผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง Stand by Me, When Harry Met Sally..., A Few Good Men, The Princess Bride และ Misery

"Everybody talks about wanting to change things and help and fix, but ultimately all you can do is fix yourself. And that’s a lot. Because if you can fix yourself, it has a ripple effect." - Rob Reiner

Photo: Getty Images

การตลาดของคน"โง่"ทำของดีให้ถูก ทำให้คนหาเจอแบบคนโง่ (Organic Visibility, The “Dumb” Way)หากหลายคนยังอาจเชื่อว่า หาก “ขาย...
17/12/2025

การตลาดของคน"โง่"
ทำของดีให้ถูก ทำให้คนหาเจอแบบคนโง่
(Organic Visibility, The “Dumb” Way)

หากหลายคนยังอาจเชื่อว่า หาก “ขายถูก” จะเหนื่อยและไม่ยั่งยืน
มาอ่านกรณีศึกษาทางธุรกิจระดับโลกกัน

Harvard Business School ได้เอาธุรกิจของ Alibaba มาทำเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากๆ เพื่อสอนนักศึกษาระดับเทพของเขา และชี้ให้นักธุรกิจทั่วโลกเห็นอาวุธลับสำคัญ

ที่ทำให้ธุรกิจที่ดูเหมือนจะล้มตั้งแต่เริ่มคิด แต่กลับยิ่งใหญ่บนโลกธุรกิจที่ต้องยกนิ้วให้ ในฐานะตัวอย่างของการสร้างอาณาจักรจากราคาถูก

และชายที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดนี้คือคนบ้านๆ คือคนที่เคยสอบตกมหาวิทยาลัย สมัครงาน KFC ยังไม่ผ่าน สมัครงานเป็นสิบๆ แห่งไม่มีใครรับ เขาชื่อ “แจ๊ค หม่า”

ปลายยุค 90 โลกกำลังตื่นเต้นกับอินเทอร์เน็ต แต่ทุกแพลตฟอร์มมองตรงไปที่ แรงซื้อจากผู้บริโภคในเมือง บริษัทใหญ่ๆ คนมีเงินเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก

แต่แจ๊ค หม่า กลับมองไปอีกฝั่งหนึ่ง มองไปที่โรงงานเล็กๆ ธุรกิจของคนตัวเล็ก ร้านเล็กๆ ของคนที่ไม่มีเงินทำเว็บไซต์ ไม่มีภาษาอังกฤษ และไม่มีใครพาเขาไปสู่ตลาดที่ใหญ่ระดับโลก

แจ๊ค หม่าเห็นและเข้าใจหัวอกของธุรกิจคนตัวเล็กที่มีศักยภาพสูง
และเห็น “โอกาสมหาศาล” ที่ซ่อนอยู่!!!

ที่ Harvard Business School เรียกการมองเห็นขุมทรัพย์นี้ว่า
“Bottom-Up Strategy” เริ่มจากฐานล่าง ไม่ใช่ยอดพีระมิด

ในห้องเล็กของอพาร์ทเม้นท์ Alibaba ได้เริ่มต้นความยิ่งใหญ่ ไม่ได้แค่ขายของถูก แต่ “ทำให้ต้นทุนหายไปทั้งระบบ” สิ่งสำคัญที่หลายคนเข้าใจผิดกันมากๆ คือ Alibaba ไม่ได้ชนะเกมธุรกิจนี้เพราะกดราคา

แต่ชนะเพราะไม่ผลิตสินค้า ไม่สต๊อกของ ไม่เปิดร้าน ไม่แบกต้นทุนแบบธุรกิจดั้งเดิม

สิ่งที่ Alibaba สร้างคือ “แพลตฟอร์มที่ทำให้คนตัวเล็ก เข้าถึงตลาดโลกได้ในต้นทุนเกือบศูนย์”

เมื่อโครงสร้างต้นทุนหายไป ราคาที่ถูกจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่การตัดคุณค่า แต่คือการตัด “ส่วนเกินที่ไม่จำเป็น”

Harvard Business School สรุปสั้นๆ ถึงกลยุทธ์ที่ดูเหมือน”โง่”นี้ว่า “ไม่ใช่สงครามราคา แต่มันคือสงครามโครงสร้างธุรกิจ”

Alibaba เปิดให้ขายฟรี เพราะเข้าใจธรรมชาติของคนตัวเล็กและตลาดแบบทะลุหัวใจ ใครอยากขาย เข้ามาขายได้ทันที ใครอยากโตเร็วก็ค่อยจ่ายเพิ่มแล้วกัน...เอาเท่าที่ไหว

หลายคนบอกว่าโมเดลนี้บ้าและสุดจะโง่มากๆ แต่ Harvard Business School เรียกมันว่า “Freemium ที่ทรงพลังที่สุดในโลกธุรกิจ”

เหตุผลคือ คนไม่มีเงิน มีจำนวนมหาศาลมากกว่าคนมีเงิน เมื่อเขาเริ่มขายได้มีกำไร เขายอมจ่ายเอง Alibaba ไม่รีดเงินจากคนจน แต่สร้างรายได้จากคนที่ “พร้อมโต”

ในช่วงแรก Alibaba ขาดทุนต่อเนื่องแต่แจ๊ค หม่าเข้าใจสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
“ถ้าคุณครองตลาดได้ กำไรจะไม่มีทางหนีไปไหน” เมื่อผู้ขายเพิ่ม ผู้ซื้อก็เพิ่มตามมา

ในทางกลับกันเมื่อผู้ซื้อเพิ่ม ผู้ขายก็จะยิ่งมา วงจรนี้เรียกว่า”Network Effect” และเมื่อมันเริ่มทำงาน คู่แข่งที่เข้ามาทีหลัง ไม่มีวันไล่ทัน

จากร้านค้า โรงงานเล็กๆ ในจีน สู่แพลตฟอร์มที่ทั้งโลกต้องพึ่งพา Alibaba ไม่ได้ขายแค่ของแต่กลายเป็น โครงสร้างพื้นฐานของการค้า ช่องทางของ SME ทั่วโลก สะพานเชื่อมต้นทุนต่ำสู่ตลาดใหญ่ Harvard Business School เรียกสิ่งนี้ว่า

“Globalization for the Underdogs” โลกาภิวัตน์สำหรับคนตัวเล็ก

บทเรียนสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจตัวเล็กหรือตัวใหญ่แค่ไหน วันนี้คงต้องกลับมาคิดใหม่กัน ราคาถูกไม่ใช่ปัญหา แต่โครงสร้างแพงต่างหากที่อันตราย

ถ้าคุณช่วยคนที่ไม่มีโอกาส คุณจะได้ตลาดที่ไม่มีเพดาน
ขยายฐานให้ใหญ่ก่อน กำไรจะวิ่งตามมาเอง

แจ๊ค หม่าไม่ได้ชนะเพราะเขาเก่งกว่าคนอื่น
แต่เพราะเขาเข้าใจคนธรรมดา มากกว่าที่ใครเคยพยายามเข้าใจ

และนั่นคือเหตุผลที่ Harvard Business School ไม่ได้สอนให้เป็น Alibaba
แต่สอนให้ “คิดแบบ Alibaba”

เนื้อหาการตลาดที่ทรงพลังในหนังสือยิ่งใหญ่แห่งปี
การตลาดของคน"โง่" โดยดร.ธนศักดิ์ วหาวิศาล
เจ้าของผลงานหนังสือระดับขายดีมากมาย

เร็วๆนี้ในราคาโง่ๆ ของแฮปปี้บุ๊ค พับลิชชิ่ง

ที่อยู่

1/141 ต. ท่าวังตาล อ. สารภี จ. Chiang Mai
Chiang Mai
50140

เบอร์โทรศัพท์

+66930785999

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Happybook Publicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

happybook

องค์กรแห่งความสุข